จากเคสของเมสัน กรีนวูด แต่ขอมาตั้งในวาไรตี้แล้วกันนะฮะ เพราะบางท่านอาจจะไม่ได้เล่นบอร์ดบอลนอก



อยากทราบว่าฮะว่ารากเหง้าหรือการหล่อหลอมที่แตกต่างกันอย่างไร ที่ทำให้ประเทศเรามีมุมมองต่อการใช้ความรุนแรงในครอบครัวต่างจากชาติยุโรปบางประเทศ case study จากกรีนวูดล่าสุด คนส่วนใหญ่ประเทศเรามีมุมมองว่าตอนนี้เค้ากับแฟนคืนดีกันแล้ว เรื่องก็น่าจะจบได้แล้ว ทุกคนเคยผิดพลาดมันกลับเนื้อกลับตัวและให้อภัยกันได้ แต่อย่างสังคมอังกฤษทำไมยังมุมมองที่แอนตี้กรีนวูดกันอยู่ ล่าสุดจะย้ายไปทีมในฝรั่งเศสก็โดนแฟนบอลฝรั่งเศสรวมตัวขึ้นแคมเปญไม่ต้อนรับ ไม่อยากให้ค้าแข้งในทีมที่ตัวเองเชียร์

ปล. ไม่ได้จะบอกว่ามุมมองแบบไหนถูกนะฮะ แค่อยากทราบความแตกต่าง

ต้องเข้าใจว่า Domestic Violence นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับบ้านเขา

บ้านเขาไม่มีภาพมายาเหมือนบ้านเราที่ว่าครอบครัวต้องอบอุ่น ต้องรักกัน คืนดีกัน อยู่ด้วยกัน ฯลฯ ตามมายาคติของไทยหรือของคนเอเชียโดยรวมๆ

บ้านเขามองว่าการอยู่ด้วยกันมันคือคน 2 คนตกลงปลงใจจะอยู่ด้วยกันเฉยๆ ถ้ามีการทำร้ายร่างกายจนถึงขั้นมีการฟ้องร้อง ก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับนึงแล้ว คนที่รักกันจริงๆไม่ควรจะลงไม้ลงมือแต่แรกแล้วรึเปล่า

ยังไม่นับอีกว่ามันมีเรื่องของ Dynamic ตรงนี้ที่ผญไม่ได้เป็นคนในสื่อแบบผช ข้อสงสัยทางสังคมจะเอียงไปทางผญมากกว่าอยู่แล้ว บางคนก็เลยไปถึงขนาดสงสัยว่าเรื่องทีเ่กิดขึ้นนี่เกิดจริงไหมหรือแต่งเรื่อง

ฉะนั้นแล้ว ฝรั่งก็เลยจะให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้มากกว่าเอเชียมาก (บ้านเรายังขำกันอยู่เลยเรื่องพ่อโดนแม่เตะ หรือพ่อบ้านใจกล้าอะไรแบบนั้น) มันก็เลยเป็นเรื่องใหญ่

ปล. เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ Woke ถ้าใครโยงไปเรื่อง Woke อาจจะมีปัญหาเรื่องการโลจิคแล้วนะ

บ้านเราเมาขับรถชนคนตาย ยังเตะบอลต่อได้ชิวๆเลยครับ

ส่วนตัวคิดว่าบ้านเรามันอีโวมาเฉพาะความเจริญทางวัตถุ แต่ทัศนะคติต่างๆในตัวบุคคลเรายังไม่ได้อีโวมาถึงจุดเดียวกับพวกประเทศใหญ่ๆหรือประเทศที่เจริญแล้ว เราเหมือนคนป่าที่ถูกบุคคลที่เจริญแล้วเอาความเจริญมายัดไว้ให้ มันไม่ได้มาจากการที่เราวิวัฒนาการได้ด้วยตัวเอง แนวโน้มทางสังคมต่างๆมันถูกชี้นำโดยกลุ่มคนที่มีโอกาสเข้าถึงความเจริญก่อนแล้วเขาควบคุมไว้ ไม่ต้องมองระหว่างบ้านเรากับต่างประเทศ แค่ระหว่างคนที่มีการศึกษากับคนที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงการศึกษามันก็ต่างกันแล้ว

ผมว่าวัฒนธรรมมากกว่าครับ คือถ้าพูดตรงๆ หลายอย่างในประเทศเค้าก็ไม่ได้เปิดรับเท่าบ้านเรา อย่างเช่น LGBTQIA+ หรือการเหยียดที่รุนแรงกว่าบ้านเรา

วัฒนธรรมการเติบโต คติ แต่ละประเทศ มันถูกสอนปลูกฝังมาแตกต่างกันอะ เพราะฉะนั้นไม่ได้มีประเทศไหนดีกว่าประเทศไหนหรอก

อาจจะเพราะด้วยนิสัยโดยรวมครับ
คนบ้านเรานั้นรวมๆ
ค่อนข้างจะจิตใจดีมีเมตตา
อลุ่มอล่วยง่าย ลืมง่าย
ส่วนชาติใหญ่ๆจะไม่ยอมกันง่ายๆ
ตรงไปตรงมา ออกแนวเข้มแข็งดุดันหน่อย

ตำรวจขี้เกียจตามเรื่อง ที่เจอกับตัวมีคนรู้จักหลายเคสเลย รุ่นน้องรหัสสมัยมหาลัย จบมาทำงาน ได้ผัว ผัวซ้อม โทรมาปรึกษา ว่าไปแจ้งความแล้ว ตำรวจรับเรื่อง แต่เรื่องไม่คืบ ให้เหตุผลว่า เรื่องผัวเมีย ควรไปตกลงกันเอง เคสนี้ แจ้งไปหลายรอบมาก น้องผู้หญิงก็โดนซ้อมเรื่อยๆ ตำรวจหลังๆก็รับเรื่องแล้วก็ปล่อยเงียบ และต้องบอกว่า ถ้าไม่มีแบค ไม่มีอิทธิพลเบื้องหลังนี่ เรื่องเดินต่อยากมาก ยกเว้นเรื่องมันแดงจนกลายเป็นเรื่องใหญ่
และเคสแบบนี้เจอเยอะมาก เจอแบบใกล้ชิดจริงๆ 2-3 เคส แบบข่าวเม้ามอยในบริษัทหรือย่านชุมชนก็เยอะ

ก็พ่อแม่ ครู ฟาดเด็กเป็นผักเป็นปลามาตั้งนานอะ

วลีที่ว่า รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี มีความหมายเชิงบวกได้อะ คิดดู

ส่วนเรื่องนักเตะที่ว่า ต้องแยกนะ

1. คิดว่าตีจริง แต่ก็คืนดีกันแล้ว ก็จบๆ ให้อภัย แบบนี้น่ากังวล

2. ไม่มีคำตัดสินเด็ดขาดจากศาล คลิปอาจจะตัดมาแค่ส่วนนึง ไม่รู้ใครเริ่มก่อน ต้องให้ความเป็นธรรมทั้งสอง แบบนี้ค่อยโอเค

ถ้าจำไม่ผิดเหมือนเคสนี้จะผิดข้อห้ามศาลไปแอบคุยกับฝ่ายหญิงด้วยมั้ง

หลังแอบไปคุย ฝ่ายหญิงก็ไม่ให้ความร่วมมือกับตำรวจ

ส่วนเรื่องแนวคิด ผมว่าส่วนนึง Greenwood มันฝีเท้าดีด้วย

สำหรับบางคนมันเลยมีอารมณืแบบเสียดาย เลยเลือกที่จะมองข้ามบางเรื่องไป

Thailand is the Land of Compromise

ภาพรวมในสังคมของเราเป็นแบบนั้น

กรณีแบบกรีนวู้ดถ้าเป็นคนที่มีชื่อเสียงบ้านเราทำ ผลกระทบที่สะท้อนกลับไปที่ตัวบุคคลนั้นมีแน่นอน เช่นโดนถอดสปอนเซอร์ ถอดจากพรีเซนเตอร์ ระดับความหนักเบามันต่างกัน เพียงแต่บทลงโทษทางสังคมซึ่งเราก็เป็น 1 ในสังคมก็คงไม่ได้รู้สึกอะไร

อารมณ์แบบก็ไม่ได้สนับสนุนอะไรในตัวคนๆนั้นอยู่แล้ว ไม่รู้จะไปวุ่นวายทำไม เอาจริงๆก็จำไม่ได้ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าดารา-คนมีชื่อเสียงคนไหน มีข่าวความรุนแรงในครอบครัวบ้าง

ขนาดไปแจ้งตำรวจ ตำรวจยังบอกว่าเรื่องผัวเมียให้ไปคุยกันก่อน จ้างทนายเรื่องหย่าทนายยังพูดว่าไม่ค่อยอยากทำคดีแบบนี้

ผมบอกเลยว่าหลายคนยังแอนตี้อยู่
พอบ่นเข้ามากๆ ข่าวคืนดีกับแฟน พยานหาย แฟนตั้งท้อง

มันก็เกิดว่าอีกฝ่ายก็ตีกลับ ศาลตัดสินไม่ผิดแล้วเอาอะไรนักหนาไม่เชื่อเหรอ แฟนคืนดีจนท้องเมื่อก่อนแฟนงอนแจ้งความรึเปล่า
ไอ้คนจะแย้งก็โดนด่ากลับ
เพราะงั้นมันไม่ได้เป็นเรื่องสังคมไทยถูกปลูกฝังโน่นนี่นั่น ชินกับการทำร้ายร่างกายหรอก

มันแค่เป็นเรื่องที่ไกลประเทศ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวขนาดนั้น เถียงไปก็ตีกันเปล่า กรีนวู๊ดไปลีคสเปนลีคฝรั่งเศส แทบไม่ได้จะดู
ลองกลับมาทีมพรีเมียร์สิ คนไทยดูเยอะเดี๋ยวก็มีวอร์ หรืออย่างถ้ามาไทยลีก เดี๋ยวบางทีก็จะเห็นคนขึ้นป้ายก็ได้

น่าจะเพราะคนไม่ค่อยตระหนักว่ามัน gaslighting กันได้

ผมว่าวัฒนธรรมก็เป็นส่วนหนึ่ง อีกอย่างแถวบ้านเราเรื่องผัวเมียตีกัน ส่วนใหญ่จะคิดว่าเป็นเรื่องในครอบครัวของคน2คน หากเขาดีกันแล้วบ้านเราไม่ค่อยเอาเรื่อง หรือเล่นเรื่องต่อ แต่โซนยุโรปเขาไม่ได้มองแบบนั้น ยิ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรุนแรงนี้ไม่ต้องพูดถึง วิวล์ สมิท ก็เป็นตัวอย่างที่ดีเลย บ้านเราแทงสวนทางพอสมควร

เคสไม้เขียวคือศาลไม่ได้ตัดสินว่าไม่ผิดนิ แต่ตัว ผญ ถอนฟ้องเองตำรวจก็เลยไม่ press charge ต่อ

อารมณ์ประมานคุยกันลงตัวทั้ง 2 ฝั่งแล้วแยกย้ายนั่นแหละ

Individualism vs Collectivism
เอาจริงมันก็มีข้อดีข้อเสียคนละแบบ แต่ก็ตามนั้น ผิดก็ว่าไปตามผิด