[MANUTD]แปลบทสัมภาษณ์ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ จากบลูมเบิร์ก…
#INTERVIEW : สัมภาษณ์ เซอร์ จิม แรทคลิฟฟ์ โดยคุณ ฟรานซีน ลาควา (Francine Lacqua) นักข่าวจาก Bloomberg
[แปลโดย : คุณบาส]
บทที่แปล คือ ส่วนคัดเฉพาะเนื้อหาช่วงที่สัมภาษณ์เรื่องแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เซอร์จิม : "ผมคิดว่าพรีเมียร์ลีกต้องระมัดระวังสักหน่อยนะ เพื่อที่จะได้ไม่ทำให้ตัวเองต้องเข้าไปอยู่ในการพิพาททางกฎหมายอย่างไม่รู้จบกับสโมสรต่าง ๆ มากมาย“
”ในท้ายที่สุดพรีเมียร์ลีก เป็นลีกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก และเราได้เคยแสดงออกไปในฐานะอังกฤษตอนเหนือแล้วว่า อะไรที่มันไม่พังก็อย่าไปซ่อม ซึ่งมันก็ควรต้องระมัดระวังนะ ถ้าคุณ (พรีเมียร์ลีก) เข้ามาแทรกแซงมากเกินไป เอากฎระเบียบเข้ามาครอบมากเกินไป มันก็จะไปลงเอยด้วยประเด็นกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วก็ประเด็นกับเอฟเวอร์ตัน แล้วก็ลงเอยด้วยประเด็นกับน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ แล้วก็ไปเรื่อย.“
”ถ้าคุณไม่ระมัดระวัง พรีเมียร์ลีกจะลงเอยด้วยการใช้เวลาบนศาลมากกว่าใช้เวลาในการคิดว่าอะไรคือสิ่งที่ดีกับลีก คุณรู้ใช่มั้ยว่าพรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่ดีที่สุดในโลก ก็อย่าทำมันพังสิ เห็นแก่สวรรค์หน่อย ให้ตายเถอะ”
“และในตอนนี้เราก็ต้องมาพูดกันเรื่องกฎสมอเรือ (กฎสมอเรือแห่งความเสมอภาค - Top to Bottom Anchoring Rules; TBA), คุณรู้มั้ยว่ากฎสมอเรือมันจะทำให้เกิดอะไรขึ้น? สิ่งที่คุณไม่อยากให้เกิดขึ้นที่สุดในพรีเมียร์ลีกก็คือ สโมสรระดับท็อปของลีกไม่สามารถที่จะไปแข่งขันกับเรอัล มาดริด, บาร์เซโลน่า, บาเยิร์น มิวนิค, ปารีส แซงต์ แฌร็กแม็ง อะไรพวกนั้นได้ ซึ่งนั้นมันไร้สาระมากเลย ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนั้นล่ะก็ มันก็จะไม่ใช่ลีกที่ดีที่สุดในโลกอีกต่อไป”
“แล้วเราก็ยังมีผู้ตรวจสอบที่มาจากรัฐบาล ถ้าผู้ตรวจสอบจากรัฐบาลเข้ามา ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะแทรกแซง แล้วนั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย คือผมมีข้อกังวลอยู่หน่อย ๆ อย่างตอนที่ริชาร์ด สคูดามอร์ บริหารงานอยู่ ตอนนั้นมันเป็นลีกที่ดีมากเลย และมันก็ประสบความสำเร็จเอามาก ๆ จริง ๆ แล้วในช่วง 15 ปีที่ผ่านมามันประสบความสำเร็จสุดขั้วไปเลย แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็เริ่มเข้ามาแทรกแซงแล้วก็สร้างความยุ่งเหยิงเต็มไปหมด มันก็ไม่ค่อยดีเอามาก ๆ“
️ ”คุณสงสัยในกลุ่มคนที่นั่งบริหารงานหรือคะ? หรือมันเกี่ยวกับเรื่องขั้นตอนยุ่งยากที่เพิ่มเข้ามา? (Additionality Concern) "
เซอร์จิม : "ไม่นะ ผมรู้จักอลิสัน (อลิสัน บริตเทน Alison Brittain - ประธานผู้บริหารพรีเมียร์ลีก) เธอเป็นคนที่มีไอเดียที่ฉลาดเอามาก ๆ ไม่นะ ผมไม่คิดว่าเราต้องเข้าไปคิดอะไรที่ซับซ้อนขนาดนั้น มันไม่จำเป็นเลย ผมแค่คิดว่าผู้คนควรจะถอยหลังมาคนละก้าวแล้วคิดก่อนว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมั้ย (การจะเอากฎระเบียบเพิ่มเข้ามาให้ยุ่งยาก) ผมหมายความว่า พวกเขาควรจะจำไว้ให้ดีว่าพรีเมียร์ลีกคืออะไร ลีกที่ดีที่สุดในโลกคืออะไร และนั่นคือคือสิ่งที่เราต้องโฟกัส“
”เราเป็นลีกที่สร้างรายได้มากที่สุดในโลก สำหรับที่สหราชอาณาจักร เรามีนักเตะที่ดีที่สุดมากมายเข้ามา เราได้โค้ชที่ยอดเยี่ยมที่สุดมากมายเข้ามา เรามีฟุตบอลที่ดีที่สุด ที่นี่มันต่างจากที่ฝรั่งเศสที่เราได้เคยเห็นที่นีซ ทุกคนบนโลกติดตามพรีเมียร์ลีก ทุกคนบนโลกรู้ว่าทีมไหนเป็นทีมขนาดกลางในพรีเมียร์ลีก ทุกคนรู้เรื่องของฟูแล่มกับเอฟเวอร์ตัน ไม่ใช่แค่ทีมท็อป 6 แต่ในฝรั่งเศสมันไม่เหมือนกัน หรืออย่างในอิตาลีก็ไม่เหมือนกัน ผู้คนไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องของสโมสรเล็ก ๆ หรือสโมสรขนาดกลาง ๆ ฉะนั้น พรีเมียร์ลีกเป็นเหมือนอัญมณีของแท้ คุณไม่ต้องเข้าไปวุ่นวายอะไรกับมันเกินให้เกินไปหรอก”
️ “แล้วคุณจะทำยังไงกับเรื่องสโมสรนีซคะ?“
เซอร์จิม : ”ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่ได้คาดไว้ว่าเราน่าจะไปจบกันที่ถ้วยยูโรป้าทั้งคู่ เพราะในเดือนธันวาคม นีซเองก็อยู่อันดับสอง ใกล้กับปารีสมาก ๆ ดังนั้นเราก็คิดว่าคงจะได้ไปยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ส่วนแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนนัดสุดท้ายก็ไม่ได้ไปยุโรปรายการไหนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น การที่ทั้งสองสโมสรลงเอยด้วยการไปเล่นยุโรปรายการเดียวกันมันก็ค่อนข้าง.. (จะผิดคาด) ซึ่งเป็นข่าวที่ยอดเยี่ยมมากสำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเลยนะที่ได้แชมป์เอฟเอ คัพ”
️ ”แต่คุณเข้าใจเรื่องกฎดีใช่มั้ยคะ? (ทีมที่มีเจ้าของร่วมกันลงเล่นรายการยุโรปรายการเดียวกันไม่ได้) หรือคุณได้มีการปรึกษากับทางยูฟ่ามั้ย ถ้าสองทีมเจอกันจะต้องทำยังไง?”
เซอร์จิม : “ก็ต้องเอานีซไปเข้าการทำ Blind Trust เป็นเวลา 1 ปี ซึ่งผมก็เข้าใจนะในบางเรื่อง แต่ผมคิดว่าการรับรู้ของสาธารณะเกี่ยวกับเรื่องเจ้าของคนเดียวกันที่ครอบครองสองสโมสรที่แตกต่างกันลงเตะในการแข่งรายการเดียวกัน พวกเขาก็คงอยากจะรู้สึกสบายใจ แบบไม่ให้มีการแทรกแซง (ผลการแข่งขัน) แต่ผมไม่เข้าใจว่า แล้วทำไมเราถึงอยากจะไปแทรกแซงล่ะ? ผมก็ไม่รู้นะ“
”แล้วก็บางเรื่องมันก็เกินไป, อย่างที่เรามีนักฟุตบอลบางคน ที่ผมจะไม่เอ่ยชื่อแล้วกัน เรามีนักเตะคนนึงที่นีซ ที่สนใจอย่างมากที่จะมาเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และผมก็คิดว่าเขามีศักยภาพมากพอที่จะมาอยู่ในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วย แล้วคุณรู้มั้ย พวกเขา (ยูฟ่า) ก็บอกเราว่า เราสามารถขายเขาไปให้กับทีมอื่นในพรีเมียร์ลีกแทนได้ แต่เราขายเขาไปที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่ได้ แล้วนั่นมันก็ไม่ยุติธรรมกับนักเตะ และผมก็ไม่เห็นว่าทำแบบนั้นมันจะได้อะไรขึ้นมา ฉะนั้น มันก็มีกฎบางข้อ ที่ผมก็ไม่ค่อยเก็ตยูฟ่าอ่ะนะ“
️ ”อย่างนั้น คุณจะขายนีซมั้ยคะ?“
เซอร์จิม : ”มันไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยที่จะขายนีซ เพราะผมค่อนข้างชอบคอนเซ็ปต์ของมัลติคลับ (multi-club; เจ้าของเดียวกันครอบครองมากกว่า 1 สโมสร) ผมคิดว่าสโมสรนีซก็จะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยในสองเหตุผล จริง ๆ นะ ประการแรก คือ คุณสามารถพัฒนานักเตะอายุน้อยหลายคนในนีซได้ ซึ่งคุณทำแบบนั้นที่แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไม่ได้ เพราะว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอยู่ในเลเวลที่สูงมาก ๆ ดังนั้น มันจึงยากที่จะดึงเด็กอายุ 18-19 ปีขึ้นมา.”
“ผมรู้ว่าเรามีนักเตะแบบค็อบบี้ เมนู แต่ว่ามันก็ค่อนข้างยากมากเลยที่จะชุบเลี้ยงนักเตะอายุน้อยเหล่านั้น แต่ที่นีซคุณทำแบบนั้นได้ และนั่นเป็นประโยชน์กับนีซด้วยอย่างแน่นอน และประการที่สองคือ ในสหราชอาณาจักร เพราะว่าเบร็กซิต (Brexit) ตอนนี้มันค่อนข้างยากแล้วที่จะทำสัญญากับนักเตะอายุน้อย พวกที่เป็นนักเตะพรสวรรค์สูงแห่งยุคในยุโรป แต่ว่านีซทำแบบนั้นได้ ดังนั้น เราก็จะสาทารถนำเข้าเด็กทึ่มีพรสวรรค์ชั้นยอดอายุ 15 ปีเข้ามาในฝรั่งเศสได้ เราสามารถดึงพวกเขาเข้ามาได้ตั้งแต่วันนี้ และใช้นีซเป็นท่อต่อไปยังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้“
หมายเหตุ : Blind Trust คือ การตั้งบุคคลที่ 3 ที่ได้รับการยอมรับ -ในกรณีนี้ต้องได้การยอมรับจากยูฟ่า- ให้ไปจัดการลงทุนจากทรัพย์สินที่เจ้าของเดิมมีอยู่โดยไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าของคนเดิม เพื่อไม่ให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน
เซอร์จิม : “เราจะพัฒนาทุกสิ่งอย่าง เพราะจุดสูงสุดคือ เราต้องการที่จะแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกทุกปี และแข่งขันเพื่อจะคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เชื่อมั่นว่าเราควรจะอยู่ตรงไหน เราต้องการที่จะอยู่ในจุดที่เรอัล มาดริด อยู่ในวันนี้ ซึ่งตอนนี้เรายังไม่ได้อยู่ตรงนั้น และมันจะต้องใช้เวลา คุณจะทำมันเหมือนเปิด-ปิดสวิชต์ไฟไม่ได้“
️ ”มีสโมสรหรือบริษัทไหนไหมคะ ที่คุณวางไว้ว่าอยากจะไปให้ถึง“
เซอร์จิม : ”พูดตามตรง ผมคิดว่าเรอัล มาดริด ทำได้อย่างยอดเยี่ยมไปเลยนะ มันมีสถิติที่น่าสนใจที่เทียบระหว่างเรอัลมาดริด กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คือ ถ้าคุณมองไปที่ 10-11 ซีซั่นตั้งแต่เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันและเดวิด กิลล์ ออกไป ตั้งแต่พวกเขาเกษียณ ในช่วงเวลานั้น การใช้จ่ายสุทธิ ก็คือ ใช้เงินกับนักเตะขาเข้าไปมากกว่าการขายนักเตะออกมากถึง 1.1 พันล้านปอนด์ ดังนั้น ยูไนเต็ดไม่ได้ขาดเงิน อันที่จริงพวกเขาใช้จ่ายเงินไปเยอะมาก ส่วนเรอัล มาดริดในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ตัวเลขการใช้จ่ายสุทธิอยู่เพียงแค่ 200 ล้านปอนด์ ซึ่งมันน่าทึ่งมากที่ได้ยินแบบนั้น เพราะในวันนี้พวกเขามีนักเตะประมาณ 6-7 คนทึ่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านยูโร ส่วนแมนฯ ยูไนเต็ดนั้น ไม่มีนักเตะสักคนเลยที่มีมูลค่าเกิน 100 ล้านยูโร และเรอัล มาดริดได้สร้างสนามฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกโดยจ่ายเงินไปเท่ากับที่แมนฯ ยูไนเต็ดใช้จ่ายไป (ในการซื้อขายนักเตะ) 900 ล้านนั่นแหละ พวกเขาพัฒนาไปเหนือกว่ายูไนเต็ดถึงขั้นที่สร้างซานติอาโก้ เบร์นาเบวใหม่ได้“
”ดังนั้น ถ้าคุณเปรียบเทียบความสวนทางกันระหว่างสถิติทั้งสองชุดนั่น คุณจะได้เห็นว่าคุณภาพในการบริหารงานของเรอัล มาดริดมันดีกว่าที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และผลลัพธ์คือ คุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับชุดนักเตะที่ยอดเยี่ยมบนสนามชั้นยอด“
️ ”แต่ว่าคุณพร้อมเหรอคะที่จะใช้จ่ายเงินซื้อนักเตะที่อยู่ในระดับเอ็มบัปเป้ให้กับแมนยูไนเต็ด?”
เซอร์จิม : ” ก็นะ คุณก็ต้องไปเริ่มจากการดูงบดุลก่อน และผมไม่คิดว่าคำตอบคือการซื้อนักเตะแบบคีเลี่ยน เอ็มบั๊ปเป้…..
อ่านต่อที่เหลือทางเพจต้นทาง
https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=1023307689158228&id=100044370191718&wtsid=rdr_065DyMGXuUnm1ydgC&_rdr
***
ไม่รู้ว่ามีคนเอาลงรึยัง บทความดีมาก (โดยเฉพาะเรื่องการบริหารโครงสร้างที่ยกตัวอย่างโดยเทียบกับเรอัลมาดริด) แต่เวลายกบทความแปลแบบนี้ ผมอยากให้ต้นทางที่เค้าแปลได้เครดิตและยอดวิวด้วย เลยขอแนะนำว่าไปอ่านต่อให้จบที่เพจต้นทางดีกว่า
Credit #ดูบอลกับแนท