เครดิต
https://www.facebook.com/share/p/ZiCSKaV4hxyRADYf/?mibextid=oFDknk
เมื่อ ฟาเบรกัส พูดถึง “ฟิล โฟเด้น”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
จากเกมแรกของอังกฤษในฟุตบอลยูโร
และจากฟอร์มการเล่นของ “ฟิล โฟเด้น”
ไมกาห์ ริชาร์ด อดีตปราการหลังทีมชาติอังกฤษของแมนซิตี้ กับ เชสก์ ฟาเบรกัส อดีตนักเตะระดับแชมป์โลก+แชมป์ยูโรของ อาร์เซน่อลและบาร์เซโลน่า ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับ โฟเด้น แบบนี้
….
ไมกาห์ ริชาร์ด บอกว่า
The big talking point for me tonight was Phil Foden.
I think the first 20 minutes he got into some really good positions. We need to find a way to get the best out of him.
“He wasn't involved. At Manchester City we obviously know it's choreographed with the system and the movements and all those sorts of things.
But it makes me sad when I see a player of this quality just in and out of games.”
สิ่งสำคัญที่ผมอยากจะพูดถึงในคืนนี้ คือ “ฟิล โฟเด้น”
ผมคิดว่า 20 นาทีแรก โฟเด้น อยู่ในตำแหน่งที่ดี และเราควรจะต้องหาทางทำให้ โฟเด้น ฉายฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาให้ได้
ผมคิดว่าเค้าไม่ได้มีส่วนร่วมสักเท่าไหร่
ที่แมนซิตี้ พวกเราต่างก็รู้ โฟเด้น สามารถเต้นระบำ (พูดเชิงเปรียบเทียบว่าโชว์ฟอร์มดี) ได้บน “ระบบ” หรือ “การเคลื่อนที่”แบบนั้น
ซึ่ง มันทำให้ผมเศร้าใจนะ เวลาที่ผมเห็นนักเตะคุณภาพแบบนี้ทำได้แค่เข้ามาในสนาม และก็ถูกถอดออกไป แค่นั้นเอง
….
หลังจากได้รับฟังความเห็นของ ริชาร์ด แล้ว เชสก์ ฟาเบรกัส ก็แสดงความเห็นกลับว่า
“Micah, I totally agree, but the same way that you see Jude imposing himself, wanting the ball, getting face to face against an opponent.
He oozes this class. [Foden] needs to do that himself as well.”
ไมกาห์ ผมเห็นด้วยนะ
แต่คุณดู “จู๊ด” สิ ดูสิ่งที่ จู๊ด แสดงออกมา
จู๊ด ต้องการลูกบอล และพยายามเผชิญหน้ากลับคู่ต่อสู้
เขา (จู๊ด) ซึมออก (ooze) คลาสแบบนี้ และ (โฟเด้น) ก็ควรจะแสดงมันออกมา "ด้วยตัวเค้าเอง” เหมือนกัน
….
ไมกาห์ ก็ตอบกลับ ฟาเบรกัส ว่า
“I totally agree with you, but Jude, in the centre of the park, he can do that. Off the ball, [Foden] is coming from a wide position.
It's very difficult when Jude's got the freedom of the pitch and Phil is having to go from pressing out wide, to coming in midfield.
He's playing with [Kieran] Trippier, who's not right-footed, he needs [Luke] Shaw to go and overlap so he can get those combinations.
“It's just sad to see because this season he's been immense.
Watch Man City every other week and the stuff that he's doing for Man City we need to see it in an England shirt.”
โอเคๆ ผมเห็นด้วย
แต่คุณต้องดูด้วยว่า “จู๊ด” เล่นอยู่ตรงกลางนะ และเค้าก็สามารถเล่น “Off the ball” ได้ ในขณะที่ “โฟเด้น” มาจากพื้นที่ด้านข้าง (wide position)
มันเป็นเรื่องที่ยากมากๆ เมื่อ “จู๊ด” มีอิสระในพื้นที่สนาม , โฟเด้น กลับโดนเพรสซิ่งจากพื้นที่ด้านข้าง (wide) บีบเข้ามาข้างใน
โฟเด้น เล่นกับ ทริปเปียร์ ที่ถนัดเท้าขวา ถ้าเป็น ลุค ชอว์ (ถนัดซ้าย) ลงมา แล้วเล่น overlap โฟเด้น จะสามารถเล่นร่วมได้ดีกว่านี้ (combinations)
มันน่าเศร้าที่เห็นเพราะฤดูกาลนี้เขาทำผลงานดีๆได้มากมาย
ผมดูแมนฯ ซิตี้ทุก ๆ สัปดาห์และสิ่งที่เขาทำเพื่อแมนฯ ซิตี้ เราจำเป็นต้องเห็นมันในชุดทีมชาติอังกฤษ
….
ฟาเบรกัส ก็มีความเห็นกลับว่า
I love that you try to defend him, seriously, I get your point totally.
But a player of this class, of this level, of this talent,
for me sometimes, he doesn't even need to be told by the coach what he needs to do.
He needs to want it more than the rest and for me today, it showed that Jude is a little bit above him in this regard and he needs to get this personality back
ผมชอบที่คุณพยายามปกป้องเขา (โฟเด้น) นะ
จริงจังเลยนะ ผมเข้าใจประเด็นของคุณหมดเลย
แต่ผมคิดว่า “ผู้เล่นระดับนี้” “ความสามารถระดับนี้” (this talent)
บางครั้ง “โค้ชไม่จำเป็นต้องบอกเขาด้วยซ้ำว่าเขาต้องทำอะไร”
สำหรับผม ในวันนี้ เขา (โฟเด้น) ต้องแสดงมันออกมามากกว่านี้
และมันแสดงให้เห็นว่า “จู๊ด” เหนือกว่าเขาเล็กน้อยในเรื่องนี้ (หมายถึง การคิดเอง ทำเอง ในสนาม) และ เขา (โฟเด้น) ควรจะแสดงสิ่งนั้นออกมา
….
สำหรับผม ผมเคยคิดเกี่ยวกับ “ฟิล โฟเด้น” ไว้แบบหนึ่ง
ผมเห็น ฟิล โฟเด้น มาตั้งแต่เด็กล่ะครับ ตั้งแต่ 18-19 นู่น และผมก็รู้ด้วยว่า โฟเด้น เติบโตมาใน “ฟุตบอลระบบ เป๊ป” ซึ่ง เป๊ป ก็เคยบอกเองว่า จะดูแล โฟเด้น อย่างดีที่สุด
(ซึ่งต่างกับ จู๊ด เบลลิ่งแฮม ที่ออกไปเติบโตบนโลกกว้าง กับสไตล์ฟุตบอลที่หลากหลาย และถ้าถามว่า การเติบโตมากับฟุตบอลแบบเป๊ป มันยังไง? ผมไม่ได้บอกว่า “ดีหรือไม่ดี” นะครับ
แต่ผมก็ตั้งข้อสังเกตุกับนักเตะในตำแหน่งใกล้ๆกับกับ โฟเด้น อย่าง “แจ๊ค กรีลิช” และ “ริยาร์ด มาห์เรซ” ไว้แบบหนึ่ง ผมคิดว่า “ก่อนย้ายเข้ามา” กับ “หลังจากปรับตัวเข้ากับระบบแล้ว” นักเตะ 2 คนนี้ มีสไตล์/จังหวะฟุตบอล ที่เปลี่ยนไป)
และข้อสงสัยของผมก็คือ ตั้งแต่อายุ 18-19 ปี ที่ใครก็บอกว่า โฟเด้น เป็น “Golden boy” เนี่ย “เมื่อไหร่ โฟเด้น จะเป็น ‘ตัวหลัก’ หรือ ‘ศูนย์กลาง’ ของทีม”
ที่ผมพูดแบบนี้ เพราะว่า ผมสังเกตุว่า “ทุกฤดูกาล จะมีช่วงที่ เควิน เดอ บรอย เจ็บ” และในช่วงนั้น แฟนแมนซิตี้ ต่างก็ “รอคอย เดอ บรอย” กลับมา และพอ เดอ บรอย กลับมา เค้าก็ “ยกระดับทีม” ได้ทุกครั้ง
ช่วงเวลาที่ เดอ บรอย หายไป โฟเด้น แสดง Impact ที่มีต่อทีมได้ในระดับนั้นไหม?
ซึ่งโอเคล่ะ ในฤดูกาลนี้ โฟเด้น เริ่มแสดง “คาแรคเตอร์” แบบนั้นได้แล้ว เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของลีก แต่ โฟเด้น ทำมันตอนอายุ “24 ปี”
ถามว่า 24 ปีแล้วไง?
ลองหันไปดูพวกนักเตะพวก “Golden boy” อย่าง วินิซิอุส จูเนียร์ ที่อายุ 23 ปี ในตอนนี้ จู๊ด เบลลิงแฮม อายุ 20 ปี เปดรี้ อายุ 21 ปี หรืออาจจะถอยไปดู “ผลงานส่วนตัว” ของ เอมบัปเป้ ที่ตอนนี้อายุ 25 ปี (มากกว่า โฟเด้น 1 ปี) ก็ได้ ตอนประธานเป้ อายุ 19-20 ปี ตอนได้แชมป์โลก 2018 ฟอร์มโหดขนาดไหน?
และอีกข้อสังเกตุหนึ่งก็คือ ชุดสามแชมป์ในฤดูกาล 2022-23
ในโค้งสุดท้ายที่ เป๊ป ค้นพบทีมที่ลงตัว ด้วยการใช้ จอห์น สโตน เติมขึ้นมาเล่นในแดนกลาง โฟเด้น ก็ไม่ได้อยู่ใน 11 ตัวจริง (แต่ได้ลงสนามเป็นตัวสำรอง แทน เดอ บรอย ในนัดชิง UCL)
ผมย้ำคำว่า “Golden boy” อีกครั้งนะครับ
ผมคิดว่าทุกคนเคยมอง โฟเด้น เป็น “Golden boy” ฉะนั้น ผมจึงเอา “Golden boy” คนอื่นๆมาเทียบกัน
…..
ผมออกตัวไว้ก่อนนะครับ
ผมไม่เคยมองว่า “ฟิล โฟเด้น ไม่เก่ง” ในมุมกลับกัน ผมมองว่า โฟเด้น เก่งมาก
สิ่งที่ผมชอบ โฟเด้น มากๆก็คือ การครองบอลบนพื้นที่ตรง (ที่ถูกกดดันตลอดเวลา) ได้ดีเยี่ยม เอาตัวรอดได้ ซึ่งเรื่องแบบนี้หาได้ยากมาก บูกาโย่ ซาก้า ก็ทักษะดีมาก แต่ไปเด่นในการครองบอลแถวริมเส้น
ผมคิดว่า โฟเด้น เล่นบอลฉลาด ไม่ฝืน และเป็นนักเตะที่ผสมผสานการ เลี้ยง/ยิง/จ่าย ได้อย่างสมดุล
เพียงแต่ผมก็คิดเหมือนกันว่า การที่นักบอลสักคนจะเก่งขนาดไหน? “คาแรคเตอร์” กับ “Mentality” ก็เป็นเรื่องสำคัญ อย่างที่ จู๊ด แสดงให้เห็นแล้วว่า พอเค้าย้ายไปเล่นให้ชุดขาว ต้องไปร่วมทีมกับนักเตะระดับแชมป์ UCL หลายๆคน
จู๊ด ก็ไม่ประหม่ำ “กล้าเล่น” “กล้าตัดสินใจ” ทั้งๆที่อายุเพิ่งจะ 20 ปี และเพิ่งย้ายไปเล่นกับทีมระดับ มาดริด แค่ฤดูกาลเดียวเท่านั้น
ในมุมส่วนตัวผมมองว่าด้าน “เทคนิคกับความสามารถเฉพาะตัว” ถ้าเทียบกับ เวียร์ตซ์ เปดรี้ มูเซียล่า หรือ โฟเด้น เผลอๆ จู๊ด เป็นรอง แต่ในแง่ “คาแรคเตอร์” และ Impact ที่มีต่อเกมหรือเพื่อนร่วมทีม ผมคิดว่า จู๊ด ไม่เป็นรองใคร
ฉะนั้น ผมจึงมองว่า “คาแรคเตอร์” กับ “Mentality” ก็เป็นเรื่องสำคัญ การกล้าคิด กล้าตัดสินใจเองในสนาม ก็เป็นเรื่องสำคัญสำหรับ "ยอดนักฟุตบอลสักคน"
อย่างไรก็ตาม การที่ โฟเด้น อายุ 24 ปี และเพิ่งจะมาพีคปีนี้ (เป็นนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีก) มันก็ไม่ได้หมายความว่า โฟเด้น จะไม่ได้เป็นระดับโลกในอนาคต (หรือตอนนี้บางคนบอกว่าเป็นระดับโลกไปแล้ว)
เพราะ อย่าง ฟาเบรกัส เอง ก็ถือว่า “รุ่งเร็ว” อายุ 19-20 ปี ก็เป็น “ศูนย์กลางของทีม” กับ อาร์เซน่อล แล้ว แต่ด้วยเส้นทางชีวิต อาจจะบอกได้ว่า ฟาเบรกัส “พีคสุด” ก็คือ กับ อาร์เซน่อล แต่กับ บาร์ซ่า เชลซี หรือ ทีมชาติสเปน อาจจะมีคนที่เด่นกว่า
อย่างไรก็ตาม ตลอดชีวิตการค้าแข้ง จากทีมที่เล่น จากสไตล์โค้ชอันหลากหลายที่เจอ กับบทบาท/ตำแหน่งในสนาม ฟาเบรกัส ก็แสดงให้เห็นว่า เค้าทักษะและเซนส์บอลดีพอ จะปรับตัว และเล่นได้ดีกับทุกๆสไตล์ฟุตบอล แม้แต่ในยุคคอนเต้ ช่วงที่ กองเต้ เจ็บ ฟาเบรกัส ยังลงมาช่วยเกมรับให้กับทีมได้เลย
…
ทุกท่านล่ะครับ เรื่อง “ฟิล โฟเด้น”
ท่านอยู่ข้าง “ไมกาห์ ริชาร์ด” หรือ “เชสก์ ฟาเบรกัส”
เล่าให้ฟังหน่อยนะครับ
บ่นบอล