Jurgen Klopp ผู้ชาย 1 คน ที่ชุบชีวิตได้ 2 สโมสร [ภาค 1 Dortmund]

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อ อวยพร อำลา JK และ เป็นแรงบันดาลใจให้คนที่เคยหกล้ม ให้กลับมาลุกขึ้นสู้อีกครั้ง



หลังจากที่ BVB หรือ เบเฟาเบ หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในนาม ดอรทมุนด์ คว้าแชมป์ UCl ในปี 1997
สโมสรก็พร้อมจะต่อยอดความสำเร็จ ให้เหนือกว่าคู่ปรับเก่า บาเยิรน มิวนิค
หารู้ไม่ว่านี่คือจุดเริ่มต้นของหายนะ...

นักเตะในทีมเรียกร้องขอค่าเหนื่อยที่เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ก็ทีมผมแชมป์อะครับ
มาม่า ไส้กรอก ขนม เครื่องดื่ม สปอนเซอร์ มาตรึม หุ้นสโมสรกราฟขาขึ้นสุดๆ
มีการซื้อนักเตะใหม่มาเสริมทัพ ค่าตัวสถิติสโมสร ณ เวลานั้น
เช่น ซื้อโทมัส โรซิคกี้ มาจากสปาตาร์ ปราก 14 ล้านออยโร

ดอรทมุนด์ เข้าโหมด Win Now จะกวาดทุกถ้วย เอาทุกถาด โดนไม่สนใจเรื่องกำไร ขาดทุน
ถึงแม้ในปี 2002 ทีมจะได้แชมป์บุนเดสลีก้ามาครอง
...แต่ก็มาพร้อมกับหนี้สินกว่า 100 ล้านปอนด์
เพราะว่าการเปย์ให้ค่าเหนื่อยเยอะๆ ซื้อตัวนักเตะราคาแพงๆ ใช้เงินเกินตัวมากๆๆๆๆ

พอไม่มีเงินสดใช้จ่าย ก็บากหน้าไปขอยืมเงินเพิ่อน บาเยิรน มิวนิค ที่การเงินดีกว่า
ยืมมาได้ 2 ล้านปอนด์ แล้วมันจะไปพออะไร โว๊ะ สโมสรไกล้จะเจ๊งเต็มทน



ปี 2005 สโมสรเข้าไกล้ภาวะล้มะลาย ขายอะไรได้ก็ขาย ผลงานก็ตกต่ำ มีแต่นักเตะค่าเหนื่อยแพงๆ เดินจ๊อกกิ้งรับทรัพย์สบายๆ
ถ้าหากประกาศล้มละลาย ตามกฏ ต้องตกชั้น ปรับโคงสร้างหนี้และไปเริ่มมาใหม่จากศูนย์
ข่าวขายสโมสรก็เริ่มมีกลิ่นตุๆ แฟนบอลท้องถิ่นก็ไม่อยากให้ขาย หุ้นร่างกราวๆๆๆ
ก่อนที่จะแย่ไปกว่านี้ สโมสรจึงประกาศขอประนอมหนี้ กับเจ้าหนี้ นักลงทุน ผู้สนับสนุน และ กลุ่มแฟนบอลที่มีหุ้นสโมสร
CEO คนใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่ง Hans-Joachim Watzke ต้องทำในสิ่งที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต ต่อหน้าที่ประชุม

"วันนี้คือวันที่แย่ที่สุดในชีวิตผม ผมต้องก้มลง กราบเท้านักลงทุน ขอขมาเจ้าหนี้ ขอโทษแฟนบอล เดินขอโทษไปทีละคนจนครบ"

พร้อมกับสัญญาว่า จะปรับปรุงแนวทางสโมสร หยุดใช้จ่ายบ้าคลั่ง ทำกำไรให้ผู้ถือหุ้น และสโมสรยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง หาเงินให้ได้มากกว่าใช้เงิน

นอกสนามผลงานก็แย่ ผลงานในสนามก็แย่ไม่ต่างกัน
กลายเป็นทีมดังถังแตก ในรอบ 3 ปี เปลี่ยนผู้จัดการไปแล้ว 3 คน จบฤดูกาลอันดับที่ 13 ในปี 2008

ทว่า ท่ามกลางความมืดมิด ก็ยังมีดาวที่ส่องแสงสว่างเสมอ

จุดพลิกผัน ของดอรทมุนด์...

Halo Leute! "Freut mich dich kennenzulernen"
ฮาโล ล้อยเต้อ ฟรอย มิค ดิค เคนเนนซูแลร์เนน
(สวัสดีทุกคน ยินดีที่ได้รู้จัก)



ผลงานของทีมไมนซ์ 05 ที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาจากลีกล่างและอยู่รอดโดยไม่ตกชั้น
ทีมน้องใหม่ที่สู้กับทีมใหญ่ได้สูสี ด้วยระบบใหม่ล่าสุด เกเก้น เพรสซิ่ง ของชายที่ชื่อ เจอร์เก้น คลอป
CEO ก็ได้ทาบทาม แว่นมาลำบากไปด้วยกันนะ เอ้ย แว่นมาจมปลักด้วยกันนะ เอ้ย มาพาทีมคว้าความสำเร็จด้วยกันนะ เอ้ย ถูกแล้ว

ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมของ JK และการบริหารงานในรูปแบบใหม่
-ใช้งบประมาณที่มีอย่างประหยัด จำกัดเพดานค่าเหนื่อยนักเตะ ซื้อแต่นักเตะโนเนม เจียรไนให้เป็นเวิลดคลาส
เช่น เลวาน โอบา ร้อยส์ มาคิตายาน
-ปั้นดาวรุ่งราคาถูกๆ ขายต่อในราคาแพงๆ ปั้นนักเตะดังๆเยอะแยะมากมาย ถ้าอยู่ในมือคลอปนะ เป็นเรื่องแน่
เช่น คากาวะ ขายแมนยู กุนโดกัน ขายซิตี้ ฮุมเมล ขาย บาเยิรน
-ได้แชมป์บุนเดสลีก้า เดเอฟเบโพคาล ดีเอฟแอลซูเปอร์คัฟ
-กลับมาทำอันดับสูงๆ ได้เข้าไปแข่งรายการบอลยุโรปต่อเนื่อง ทำเงินแบบฮาร์ดคอร์
-เข้าสู่รอบลึกๆบอลยุโรป
-ทีมของ JK ที่เข้ารอบชิง UCLในปี 2013 ค่าตัวรวมกัน 35 ล้านออยโรเท่านั้น






ถึงแม้ทีมจะกลับมามีกำไร ใช้หนี้เจ้าหนี้ไปได้บ้างแล้ว แต่ CEO กับ ผู้จัดการทีม กลับมีมุมมองต่างกันเรื่อยๆ

CEO : ผมอยากทำธุรกิจฟุตบอลนี้ให้มีกำไร ไม่ขาดทุน บัญชีสีเขียว ไม่ต้องได้ถ้วยเยอะก็ได้ ไม่ต้องต่อยอดอะไร ประหยัด พอเพียง

ผู้จัดการทีม : ผมอยากได้ถ้วย อยากไปให้ถึงที่สุด นัมเบอร์วัน เดอะเบสต์

CEO : เราคือทีมที่ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง จบนะ

ผู้จัดการทีม : ตัวเล่นดี แกนหลักของทีม พี่ขายหมดเลย ปั้นๆขายๆ กะจะไม่เอาแชมป์เลยหรอไง

CEO : แชมป์พอเพียงไง

ผู้จัดการทีม : พอเพียงพ่อ...ง

ฤดูกาลสุดท้าย แม้จะจบไม่สวยนัก ไม่ว่าจะด้วยความอื่มตัว ธาตุไฟแตก แนวทางการทำทีมแบบพอเพียง
หรือด้วยอะไรก็ตาม...
แต่แฟนบอลดอรทมุนด์ ก็ซาบซึ้งถึงผู้ชายคนนึงที่เข้ามาช่วยสโมสรในวันที่ยากลำบาก



Danke Jurgen ดั๊งเค่อ เจอเก้น (ขอบคุณนะ เจอเก้น)

ขออภัยหากเนื้อหายาวไป ขอบพระคุณที่อ่านจนจบ

ปล.1 หากเพื่อนๆสมาชิกชอบบทความนี้ กดแผล่บให้ด้วยครับ คนเขียนจะได้มีกำลังใจ ปั่นต้นฉบับภาค2 ให้เสร็จก่อนบอลเตะพรุ่งนี้เย็น
แฟนบอลอ่านแล้วจะได้ฟิน น้ำตาแตก ก่อน ดูบอลนัดสุดท้าย บ๊ายบายเจอเก้น คลอป ร้องไห้ไปด้วยกัน
ปล.2 หากแผล่บหมด พิมพ์คอมเมนต์ ให้กำลังใจก็ได้ ไม่รู้จะพิมพ์อะไร ก็พิมพ์แค่ YNWA
ปล.3 ขอบพระคุณ ครู อาจารย์ ภาควิชาภาษาเยอรมัน ด้วยครับ เรียนมาเพิ่งจะได้ใช้ก็วันนี้

แปลเอง เรียบเรียงเอง ข้อมูลจากด้านล่างนี้
https://www.thisisanfield.com/2015/10/assessing-jurgen-klopps-standout-transfers-dortmund/
https://bvbbuzz.com/2018/01/24/look-back-borussia-dortmunds-remarkable-financial-recovery/
https://www.aljazeera.com/sports/2013/5/21/how-borussia-went-from-bust-to-boom
https://www.dw.com/en/chasing-the-money-remembering-the-bvb-crisis/a-18306389

เป็นกำลังใจให้ครับ จากfc klopp ตัวยง

แต่สงสัยเรื่องช่วงปีสุดท้ายว่าเป็นนโยบายของวัตเก้เหรอที่ต้องการประหยัด เอาแค่ทีมอยู่ได้ แต่ส่วนนึงอ้างอิงจากแฟนบอลดอท บอกว่าที่ฤดูกาลท้ายแย่เพราะแกไว้ใจนักเตะบางคนมากไป ถ้าเป็นแบบนั้นมันก็จากทีมบริหารเป็นหลักที่ต้องขายนักเตะอยู่เรื่อยๆ

Danke ครับ รออ่านอีพี2

ขอบคุณครับ รออ่านต่อภาค 2 นะครับ

พักเสร็จเมื่อไหร่ คิดถึงฟุตบอลแวะมายูเว่ได้นะ ช่วยมาปลุกยูเว่ที

ถ้าจำไม่ผิดจูฟไม่เคยใช้ผู้จัดการคนเยอรมันเลย

สุดยอดบอส ผู้ชุบชีวิต กอบกู้เศษซากโดยใช้เงินอย่างเหมาะสม

ถ้าให้ผมเดาแกคงไม่คุมทีมใน เยอรมันกับอังกฤษแน่เลย

ลองไปหาความท้าทายใหม่ดีไหม ไปไหนดี

อาแจกซ์ , ยูเว่ , ลียง หรือบาซ่าดี

สมัยฮิตเฟลอยู่ก็ทุ่มซื้อมาพอสมควร แต่ผลงานทีมดีมากเลยกลบตรงนี้ กลายเป็นทีมที่รู้จักมากขึ้น แต่พอฮิตเฟลไปคุมบาเยิร์นยุคถอยหลังก็เริ่มมา มาถึงยุคฟาน มาไกว์ก็ดีขึ้นนิดนึงแต่แกดันหนีไปคุมฮอลแลนด์ต่อ จนมาถึงคลอปนี่ล่ะที่ว่าดีจริงๆแบบกลับมาเป็นทีมมีลุ้นแชมป์ได้ ส่วนนึงผมว่าต้องยกให้วัตเค่ห์ด้วยล่ะ ปีหน้าแกไม่อยู่ไม่รู้จะเป็นไง

ทีมไม่ได้จะประหยัดอะไรหรอกครับ ตัวหลักยุคคล็อปก็ไม่ได้จะอยากขายอะไร ซื้อตัวก็ตามใจคล็อปสุด คล็อปนี้เป็นผู้จัดการที่ทีม support สุดๆแล้ว ถ้าความเห็นไม่ตรงกับ ผอ.กีฬา ทีมก็เลือกตามคล็อปหมด

ปีสุดท้ายคล็อปพังเพราะเสียเลวาน แล้วก็ไปซื้อชิโร่ มาแทน ชิโร่ นี้ก็คือเคสที่คล็อปเลือกเอง และไม่ตรงกับผอ.กีฬา ตอนนั้นผอ.กีฬาเลือก มานซูคิส แต่ทีมก็เอาตามใจคล็อป ค่าตัวแพงกว่ามานซูคิสด้วย ดีลก็ลำบากเพราะต้องไปดีลกับ 2 สโมสร(ตอนนั้น ชิโร่ มีสัญญากับ 2 สโมสรอะไรพวกนี้แหละจำเป้ะๆไม่ได้ละ)

ส่วนตัวหลักยุคคล็อป ที่เสียก็เสียแค่ ปีละคน แบบทีมก็พยายามรั้งสุดๆแล้ว อย่าง
- เลวาน ทีมรั้งจนเสียฟรี ไม่ยอมขายซะด้วยซ้ำ ถ้าเห็นแก่เงินก็ขายเอาเงินไปแล้ว ส่วนนักเตะไม่ยอมต่อสัญญาก็ทำอะไรไมไ่ด้
- เกิทเซ่ นี้โดนฉีกสัญญา ค่าฉีกตอนนั้นระดับแพงสุดในบุนเดส ซึ่งก็ทำอะไรไม่ได้ นักเตะโดนฉีกสัญญา รั้งยังไงก็ไม่ได้ แถมหลังจากเคสเกิทเซ่ ดอร์ทมุนยกเลิกค่าฉีกสัญญานักเตะทันที ทำให้หลังจากนั้นไม่มีนักเตะดอร์ทมุนคนไหนมีค่าฉีกสัญญาอีกเลย(ยกเว้น ฮาลัน ที่ถ้าไม่ยอมให้มีก็ไม่ได้ตัว)
- คากาวะ นักเตะอยากย้ายไปทำตามความฝัน ทีมพยายามรั้งอยู่ แต่นักเตะยืนยันจะย้าย ก็เลยยอมปล่อย

ตัวหลักยุคคล็อปหลังๆก็มีแค่นี้ละครับที่เสีย นอกนั้นก็ไม่ใช่พวกตัวหลักอะไร แถมเสียไปก็ทุ่มซื้อตัวแทนโหดๆมาให้ เลวานก็อย่างที่บอกไปว่าตามใจคล็อปยอมซื้อชิโร่มาแทนให้ เสียคากาวะก็ได้รอยที่ก่อนย้ายมาคือระดับนักเตะยอดเยี่ยมของลีคบุนเดส เสียเกิทเซ่ก็ได้ MK ที่ซื้อมาในราคาแพงสุดของสถิติสโมสร

อันนี้ก็เห็นชัดๆละว่า support คล็อปขนาดไหน เทียบกับยุคทูเคิ่ลก็ได้ ยุคทูเคิ่ลนี้ปีเดียว เสียทั้ง ฮมุเมล กุนโดกัน MK ตัวแทนคือ มาร์คบาตร้าสำรองของบาซ่าที่ฉีกสํญญามา 5 ล้านยูโร เสียกุนโดกันเอาไวเกิ้ลดาวรุ่งจากลีคล่างของเยอรมันมาแทน เสีย MK ได้ 2 ดาวรุ่งอย่าง เดมเบเล่ กับ เอเร่มอร์ มาแทน ต่างกันสุดๆ

งั้นที่เขียนมาก็ไม่ถูกเลยในประเด็นปีสุดท้าย ผมก็ติดใจประเด็นนี้เพราะตามเม้นท์ท่านอยู่บ่อยๆ ถึงสงสัยว่าจริงๆแล้วมันเป็นเพราะอะไร ทำผิดก็ว่าผิดไป แกเองยังยอมรับผิดลาออกเอง

ตรงปีสุดท้ายที่เป็น ceo กับคล็อปคุยกัน นี้ จขกท น่าจะเติมเองเอาฮามั้งครับ

เขียนดี อ่านง่าย เป็นกำลังใจให้คับ

รอภาค 2 นะครับ