เคยได้ยินมาว่าถ้าเล่น Benz BMW มือ 1 มือ 2 ให้หลีกหนีต่อท้ายตัว e ไปเล่น ดีเซล ดีกว่า

จนปัจจุบัน พวก S. 3,5pHEV, C, E PHEV เป็นไงบ้างทุกวันนี้ครับ แก้ปัญหาจุกจิกได้รึยังครับ...

ผมเพิ่งขายไปปีที่แล้ว 530e ยังไม่เจอซ่อมนะ แต่อายุแค่ 3 ปี คงยังไม่เจออะไร

ถามว่าถ้าจะเอาเพราะ e ราคามือสองตกกว่า ถูกกว่า ก็แนะนำให้ไป 520d 525d จ่ายแพงกว่าหน่อยแต่ชัวร์กว่า

และถ้ามอง e เพราะอยากได้ไฟฟ้ามาช่วยประหยัด แนะนำให้หนีไป ไฟเต็มวิ่งทางไกล ไม่เคยได้เกิน 13 โล/ลิตรเลย รวมไฟเต็มด้วยแล้ว ทางไกลนี่ซดหนักมาก

สรุป แค่ยังไม่ถึงเรื่องซ่อม ผมก็เชียร์ให้ไปดีเซลแล้วครับ

Gen 3 ตัวใหม่เล่นได้ไม่จุกจิกแล้วครับ (C300e, E300e)
ถ้านับตามโมเดล พวก W206 W213 ขับได้ครับ

ก็ตามที่เขาเตือนนะครับ ใช้ดีเซล ไม่ก็เบนซินล้วนดีกว่า

สอบถามในนี้ครับ bmw benz 2รุ่นนี้ ตัวไหนจุกจิกน้อยกว่า ค่าซ่อม+อื่นๆน้อยกว่า

ตามนี้ครับ

แต่จริงๆที่มีญาติทำอู่ซ่อมรถ + ปั้นรถขาย พวกยุโรปไฮบริดนี่คือ ถ้าพวกวิ่งทุกวันแบบเกือบจะเป็นแท็กซี่ แม่มทนชิหายครับ แต่ไอแบบขับแล้วจอดเกิน 2-3 วันต่ออาทิตย์ พินาศครับ แม่มจะมีอะไรให้พังตลอด เจอทั้งสองแบบ คันนึงจะทะลุ 3 แสนโลละรถไม่กี่ปี (ได้ยินว่าเป็นรถเซลล์หมุนกันใช้) เปลี่ยนแทบจะเท่ารถน้ำมัน อีกคันมีคนฝากขาย ซ่อมจะแสนกว่าละยังไม่จบ รถไมล์แสนต้นเองมั้ง

แต่พูดจริงๆว่าถ้าไม่รู้ประวัติรถจริงๆ ข้ามไปเล่นรุ่นใหม่ๆ 213 งี้ดีกว่า

จริงมั้ย ที่ PHEV ยุโรป ไปขอแลกเทคโนโลยี จาก ญี่ปุ่นมา

ที่บ้านมี W213 คันนึง ปัญหาเยอะพอประมาณครับ แล้วบางอันขนาดขับไม่ได้ (โช๊คถุงลมรั่ว) สรุปซื้อ MBSP Ultimate แมร่งเลย 8 ปี อะไรจะเสียก็เสียไป
แต่ E ตัวใหม่เปิดตัวแล้วรอที่ไทยขายดีกว่าครับ

C ใหม่อาผมสองคนใช้ยังไม่เจอปัญหา แต่เปลี่ยนมาจาก X5 40e กับ 530e LCI อาจจะมีภูมิ 555

ใช่ครับ bmw เอาเครื่องยนต์ดีเซลไปแลกกับระบบไฮบริดของ toyota มาแต่หลักสิบปีที่แล้วได้

เท่าที่รู้มาคือ hybrid ไฟฟ้าล้วนวิ่งจริงได้น้อยมาก แบบสเปคบอก 50 กิโล วิ่งจริง 10 กิโลหมด คนเลยเซ็งว่ามันมีไว้่ทำไม แต่เหมือน gen ล่าสุดดีขึ้นแล้ว อย่าง w206 claim ว่าวิ่งได้ร้อยกิโลก็คงวิ่งจริงได้ซัก 50-60 กิโลก็ถือว่าใช้วันนึงไฟฟ้าล้วนไหวละ

ส่วนอีกเรื่องคืออู่นอกจะลำบากครับเพราะพอมีระบบไฟฟ้ามาเยอะ ช่างนอกบางทีไม่ชำนาญไม่กล้าซ่อมบ้าง จะไปเข้าศูนย์ก็ถูกฟันหัวแบะ ตัวเลือกอย่างดีเซลล้วนเลยนิยมมากกว่า

E300e 2020ครับ ไม่มีปัญหาอะไรเข้าตามรอบเช็คระยะมีปัญหาครั้งเดียวคือแบตลูกเล็กหมดเลยเปลี่ยนแค่นั้นเลย
ซื้อเพราะมีงบแค่นี้แล้วในราคานี้ลองแล้วชอบสุดเสียงเงียบดี แต่ซื้อแล้วน่าไปเล่นตระกูลgl เพราะขนของบ่อยชิบ

รถยุโรปราคานี้มันไม่ควรมีปัญหาไรพวกนี้เลยจริงๆ

ถึงจะบอกว่าปัญหามันเกิดขึ้นได้ แต่มันเกิดเยอะจนผู้บริโภคกังวลจนต้องมาถามคำถามเดิมๆ ซ้ำๆ ตลอด



แถมน่าจะขายไม่ได้ตามเป้า ล่าสุดเห็น Benz ลดไป 3 แสน

ผมใช้ Bmw G20 330e มา 3 ปี เพิ่งขายไปปีที่แล้วเปลี่ยนเป็น Tesla Model Y โดยส่วนตัวชอบนะครับ ไม่มีปัญหาอะไรเลยตลอด 3 ปี ชาร์จไฟวิ่งประมาณ 50กิโล แล้วตัดเป็นระบบน้ำมัน จริงๆถ้า Tesla ไม่มาก็คงยังใช้ต่อไปจนหมด BSI

ปัญหาของเบนซ์ในยุคหลังๆมานี่คือแม่มทำตัวเหมือนจีนอะครับ

อยากปรับเปลี่ยนอะไรก็ปรับ คิดว่ามันเจ๋งดูมีนวัตกรรม ผลคือแม่มไม่ได้คำนวณเลยว่าใช้ไปนานๆน่ะมันจะเป็นยังไง อย่างเอากล่องไปไว้ข้างเครื่อง ผลคือกล่องตายไวเพราะคอมมันไม่ถูกกับความร้อนอยู่ละ อีกเรื่องก็สมัยเบรค SBC ที่แบบทำให้ดูเจ๋ง สรุปแม่มเหยียบครบจำนวนครั้งปุ๊ปต้องเปลี่ยน ไม่เปลี่ยนก็เบรคแข็งขึ้นแบบไม่มีปี่ขลุ่ย จนไมเนอร์เอาออกแล้วใส่ระบบเดิมมา ไอรุ่นเก่าก็ประกันตลอดชีพไปแทน

อีกเรื่องคือพอเปลี่ยนจุกจิกเช้งบ่อยๆ อะไหล่เดิมใช้ไม่ได้ปุ๊ปแล้วใครจะผลิตอะไหล่เทียบมาขาย กลายเป็นรถที่เปราะ + อะไหล่หายาก เละกันไปหมด

ใบพัดนี่กลับกัน สมัยก่อนเคยบ้าเทคโนโลยี ตอนนี้คือแทบจะไม่เปลี่ยนอะไรเลยแต่ซ่อมง่ายขึ้น สวนทางกันจนปีหลังๆอันดับความเชื่อมั่นแซงไปละ

ณ ปัจจุบัน ปัญหามันไม่เกิดขึ้นเยอะครับ น้อยกว่าเดิมเยอะมากแล้ว แต่ user base ส่วนใหญ่เป็นคนเสียงดังครับ ฉะนั้นเวลามันมีปัญหาทีมันก็เป็นเรื่องใหญ่ ร่วมกับ perception ของลูกค้าที่ไม่เชื่อมั่นในระบบ hybrid ของเบนซ์ไปแล้ว เหมือนๆกับ MG นั่นแหล่ะ (แต่ E350e เจนแรกนี่ตัวปัญหาเลย เพราะเบนซ์ทำไม่เป็นด้วย พอทำก็ปัญหาจุกจิกเต็มไปหมด)

ส่วน BMW hybrid ผมไม่มีประสบการณ์ครับ (ผมเคยใช้ตัวดีเซลก่อนย้ายมาใช้ volvo phev) แต่เท่าที่ได้ยินก็ปัญหาน้อยกว่าค่ายตราดาวพอสมควรครับ