เล่าประสบการณ์ชีวิตทั้งสุขภาพและการไปเรียนต่อญี่ปุ่นด้วยเงินตัวเองครับ
ขอเกริ่นหน่อยนะครับ พอดีว่าอยากเขียนบทความเล่าประสบการณ์จริงของตัวเองที่ไปเรียนต่อต่างประเทศและปัญหาด้านสุขภาพที่เจอครับ ในปัจจุบันตอนนี้ทำงานที่ไทยครับ ปสก.การทำงานมาประมาณสามปี (โพสต์ค่อนข้างยาวหน่อยนะครับ)
พอดีว่าตอนมหาลัย ผมมีความคิดที่จะไปอยู่ต่างประเทศครับและเลือกที่จะไปอยู่ญี่ปุ่นครับ เป็นความฝันเลยละว่าอยากอยู่ต่างประเทศ เพราะเบื่อประเทศไทย จึงเก็บเงินครับ ช่วงมหาลัย พอดีผมทำธุรกิจเสริมส่วนตัวจนมีเงินเก็บก้อนนึง ซึ่งสามารถไปอยู่ญี่ปุ่นด้วยเงินของตัวเองได้เลย
ผมเลือกที่จะเรียนญี่ปุ่นเป็นคอร์สหนึ่งปีในโตเกียวครับ จ่ายเงินด้วยเงินเก็บของตัวเองแทบทั้งหมด เลือกจ่ายแบบผ่อนแบบเทอมต่อเทอมครับ (มีทั้งหมดสามเทอม) ผมจ่ายรวมค่าเครื่อง ค่าหอและรอบแรกด้วยเงินตัวเองราวๆ สามแสนได้ครับ
ขอรีวิวสั้นๆกับการไปเรียนญี่ปุ่นของผม ลำบากครับ อยู่ต่างประเทศถูกคนญี่ปุ่นมองว่าเป็นคนต่างด้าว ชีวิตการไปเที่ยวหรือไปใช้ชีวิต มันค่อนข้างลำบาก
เนื่องจากเรื่องเรทเงินครับ การไปเที่ยวเราสามารถใช้เงินได้อย่างเต็มที่ แต่การไปเรียนมันใช้ชีวิตแบบเต็มที่ไม่ได้ เพราะมันจะเกินงบของแต่ละเดือนที่ตั้งไว้ แต่ได้รับประสบการณ์อะไรหลายๆอย่างกลับมาเยอะครับ
ภาษาของผมก็ถือว่าได้รับการพัฒนาขึ้นมาเยอะมากนะ แต่ถามว่าช่วยกับการทำงานปัจจุบันไหม ผมบอกเลยว่าไม่เยอะมากเท่าไหร่ ผมคิดว่าการเรียนภาษาที่ไทยและตั้งใจศึกษาเยอะ มันช่วยเยอะกว่าเยอะมากๆ
ผมมีคนรู้จักที่อยู่ไทยและเรียนญี่ปุ่นต่อจนได้งานทำที่โน่น แต่แลกกับการเสียเวลาเรียนเพิ่มเติมประมาณ 3-4ปีแล้วแต่คนครับ (เรียนโรงเรียนสอนภาษา 1-2ปี ต่อด้วยเซนมงอีกสองปี) เซนมง > วิชาชีพครับ
ปัจจุบันเงินเดือนญปกับไทยคือเรทมันแย่ครับ เพราะค่าเงินมันแย่ สมมุติคุณอยู่ไทยคุณเก่งมากนะครับ แต่ปัจจุบันการทำงานญี่ปุ่นเทียบกับเงินไทยในฐานะคนพึ่งเข้าไปทำงานส่วนใหญ่ก็ตกอยู่ที่ 200-300k เยนครับ (ตีเป็นเงินไทยราวๆ ห้าหมื่น-หกหมื่นบาท) ถือว่าน้อยอยู่ครับ เทียบกับการเสียเงินเรียนต่อปีราวๆ 700-800k บาทครับ
ใครบอกว่าการไปเรียนต่างประเทศมีแค่ค่าเครื่องตอนแรก กับค่าเทอมแล้วค่ากินอยู่ แล้วใช้การทำงานพิเศษหาจ่ายค่าเทอมก็พอ ผมเชื่อว่าหลายๆท่านที่ยังเด็กและมีลูก อาจจะเคยเจอคำพูดแบบนี้หรือคิดแบบนี้ ผมขอบอกเต็มๆว่า คิดผิดถนัดเลยครับ ทั้งออสเตรเลีย ทั้งญี่ปุ่น มันไม่พอครับ แค่ค่ากินอยู่ค่าหอ ค่าเดินทางก็พอๆกับค่าพาร์มไทม์แล้วครับ
ถ้าท่านจะพอก็คือการทำงานแบบสองกะ (วันละ 10-12ชั่วโมงต่อการทำ) คือเรียนไม่รู้เรื่องแน่นอนครับ และส่วนใหญ่คนไทยที่ไปเรียนกันคือไม่ได้ทำแบบนั้นกันด้วย มีแต่พวกเวียดนามที่ทำกัน (สำหรับออสเตรเลียเนี่ยเหมือนกันเลยครับ ผมถามจากพี่ที่ไปเรียนจบออสและเพื่อนที่เรียนอยู่ออสอีก4-5คน)
คุ้มกับการใช้ชีวิตครับ แต่เสียเวลาและเสียเงินมากๆ สำหรับในความคิดผม ถ้าไม่ได้ทำงานที่โน่นต่อคือไม่คุ้มเท่าไหร่ครับ อีกอย่างค่าเงินเยนตอนนี้คือแย่จัดๆ
อีกอย่างหนึ่งที่ผมดวงโคตรดีที่ญี่ปุ่น คือเคยเห็นเคสของอาจารย์TCAS ที่คนด่ากันเยอะๆแล้วไปเสียที่ญี่ปุ่นไหมครับ
เคสของผมคือเคสเดียวกันเด๊ะๆ ผมหัวใจหยุดเต้นที่ญี่ปุ่น เรื่องวุ่นวายจัดๆเลยตอนนั้น แต่ผมโชคดีที่มีคนช่วยปั้มหัวใจและนำตัวส่งโรงพยาบาลได้ทัน และสุดท้ายคือนอนรพ.ญี่ปุ่นอยู่สองเดือนและไม่สามารถหางานทำพาร์ทไทม์ทำที่ญี่ปุ่นได้
การวางแผนทั้งหมดที่วางมาตอนไทย ทั้งแผนเอ แผนบี แผนซี รวมทั้งอะไรๆหลายอย่าง ล้มครืนไม่เป็นท่าเลยครับ เลยอยากย้ำเตือนทุกคนว่ามันมีสิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ
ผมโชคดีที่ทางรรที่ไปและทางเอเจนท์ที่ไปด้วยวิ่งเต้นกันทำเรื่องมาให้ สรุปคือเสียเงินค่ารักษาแค่ประมาณสองแสนบาท ถ้าทางโรงเรียนและทางเอเจนท์ไม่ช่วยให้ ผมเห็นละ โดนเป็นล้านกว่าครับ
เคสของผมหลังจากกลับมาจากญี่ปุ่นคือแทบไม่คุ้มทุนสุดๆ แต่คิดได้อีกอย่างว่าถ้าล้มที่ไทยน่าจะแด้ เพราะไม่มีใครปั้มเป็น วันก่อนผมเจอคนล้มหัวฟาดบนรถเมล์ สิ่งที่คนไทยทำคือมุงและเอายาดมไปดม ยังดีผมเห็นยังมีลมหายใจอยู่ ไม่อย่างงั้นผมไปปั้มหัวใจละครับ
คนไทยที่ไม่ได้เรียนการทำ CPR เยอะมากๆนะครับ ยิ่งเป็นลมนี่ยิ่งยาดมเลย เจอแล้วกุมขมับ