เขาได้ทำการศึกษาข้อมูลพนักงานในบริษัท พบว่ากลุ่มหัวหน้าและผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ก็คือกลุ่มคนที่กลัวภรรยามากที่สุดเช่นกัน

เมื่อต้องการเลื่อนตำแหน่งใครขึ้นมาเป็นผู้บริหาร เขามักจะถามว่าคนๆ นั้นกลัวภรรยาหรือไม่ ซึ่งผู้บริหารในบริษัทของเขาล้วนกลัวภรรยากันหมด

เขาให้ความเห็นว่าคนกลัวภรรยาจะเป็นพวกที่เมื่อได้ภรรยาที่ดีมาแล้ว ก็จะทุ่มเทและอยู่กับเธอ พยายามสร้างสิ่งที่มีอยู่ให้ดีที่สุด แทนที่จะมองหาคนที่ดีกว่าไปเรื่อยๆ

ในทางกลับกัน คนที่ไม่กลัวภรรยา เปรียบเสมือนคนเจ้าชู้ที่มองหาสิ่งที่ดีกว่าให้ตัวเองอยู่ตลอด ซึ่งไม่เหมาะสมกับการทำงานในองค์กรนัก

คุณสิริวัฒน์จึงใช้การถามว่ากลัวภรรยาหรือไม่ เป็นหนึ่งในเกณฑ์การคัดเลือกผู้บริหารในบริษัท เพราะสะท้อนถึงคุณลักษณะของการให้คุณค่ากับสิ่งที่มีและมุ่งมั่นพัฒนาสิ่งนั้น

ชีวิตที่มีภรรยาที่ดีประสบความสำเร็จไปแล้วครึ่งนึง กลัวภรรยาถูกต้องแต่แฟนเราต้องดีด้วยนะถึงจะประสบความสำเร็จ

เห็นด้วยครับ มันเป็นพื้นฐานของชีวิตครอบครัวที่สงบสุข

เอางี้ดีกว่า ผช คนไหนไม่กลัวเมียบ้าง

คนไม่กลัวเมีย คือคนไม่มีเมีย

ถามว่ากลัวมั้ย ไม่ได้กลัวหรอก เรียกว่าเกรงใจ และแคร์ความรู้สึกเค้าดีกว่า เราถึงเลือกที่จะทำหรือไม่ทำอะไร ที่เรามองว่า จะส่งผลต่อความรู้สึกของเค้า จนคนทั่วไปอาจจะบอกว่า กลัวเมีย ก็ได้

ผมมองว่าคนที่กลัวเมีย คือผู้ชายที่รู้ว่าตัวเองควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร ที่จะส่งผลให้เกิดผลเสีย

แน่นอน การทำงานก็เช่นกัน ถ้าพนักงาน รู้หน้าที่
ว่าตัวเองควรทำอะไร ไม่ควรทำอะไร
ก็ย่อมเติบโต ก้าวหน้าในสายงาน เป็นเรื่องปกติ

makesense ครับ กลัวเมีย ไม่ใช่กลัวเมียจนต้องยอมอยู่ใต้อาณัติ แต่กลัวเมียในที่นี้คือกลัวเขาไม่มีความสุข กลัวเขาจะลำบาก และกลัวเขาจะจากเราไป เขาคือสิ่งที่มีคุณค่าที่สุดในชีวิต คำว่าคู่ชีวิต ไม่เกินนี้ครับ

ผมไม่กลัวเมียครับ แต่กลัวเค้าไม่รัก

กลัวเมีย คือการกลัวเมียเสียใจ กลัวเมียผิดหวัง

ส่วนไอ้ประเภทชอบด่าผัวในที่สาธารณะ หรือ ต่อหน้าเพื่อนๆ เนี่ย

ควรไปพบแพทย์ แล้วจะไปสอนลูกให้เคารพพ่อยังไง