จุดสำคัญของ Japan Way คือมีโค้ช C-License ระดับโรงเรียนเลย

ซึ่งสมาคมองค์กรเดียวทำไม่ได้แน่ๆ

โจทย์คือบุคลกรและหลักสูตร
1. ครูพละจะมีโอกาสอบรม C License หรือไม่ ถ้ามีครู C License ได้เยอะก็น่าเป็นการปูพื้นเยาวชนตั้งแต่เด็กด้วยบุคลากรที่มีความรู้จริงๆ
2. หลักสูตรพละ อันนี้ต้องทำงานร่วมกับกระทรวงการศึกษา

โจทย์ไม่ง่าย แต่ก็ควรริเริ่มกัน อย่างน้อยถ้าครูพละมองว่า C-License สามารถเอาไปต่อยอดอาชีพในไทยลีกได้ ก็อาจจะมีคนสนใจมากขึ้น แม้ว่าตอนเป็นครูพละอาจจะเงินเดือนน้อย

แต่ถ้าต่างคนต่างทำงาน บอลพละก็แยกเตะของตัวเองไป ส.ศุภชลาศัยไม่ได้ใช้จัดบอลอะไรที่เกี่ยวกับสมาคมเลย งั้นก็น่าจะพัฒนาฟุตบอลอย่างเป็นระบบยากหน่อย

จะ Thai Way Japan Way ก็คงได้แค่โม้ๆกัน

ผมว่าอาชีพข้าราชการครูในไทย
น่าจะมั่นคงกว่าอาชีพโค้ช semi pro/t3 อีกนะครับ

ระเบียบวินัยคนในชาติยังไม่ครึ่งเค้าเลย จะเอาแบบญี่ปุ่นคงต้องแก้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย

รากฐานแต่ละองค์กรที่จะเอามาช่วยเน่าในทุกตรง

ไม่ต้องมีหรอก สอนภาษาอังกิดที่ใช้ได้จริง ละส่งออกดีกว่า ให้ฝรั่งเอาไปปั้น 5ปีได้คนใช้งานได้1คนก็ดีละ

ไม่ก็คนไหนเก่งสุด ส่งไปเรียนต่างประเทศ ให้ทุน ยัดเงินเข้าเป็นเด็กฝึกสโมสรดังๆ

เอาความสามารถเฉพาะตัวมาแบกทีมชาติดีกว่า

ญี่ปุ่นวางระบบฟุตบอลเอาไว้เมื่อ30กว่าปีก่อนและทุ่มงบลงไป3หมื่นล้านบาท ในการวางรากฐานฟุตบอล
หลังจากนั้นประมาณ10ปีต่อมา ญี่ปุ่นได้ไปบอลโลก โดยก่อนที่จะได้ไป
ญี่ปุ่นมาเล่นฟุตบอลคิงส์คัพมั้ง ชนะไทย5-0 เหมือนที่ผ่านมานี้เลย
ตอนนั้น ก่อนแข่งคนไทยพากันพูดว่าไทยคงชนะญี่ปุ่นเหมือนเดิม
แต่พอแข่งจริง คนละเรื่องเลย เปิดโหม่งเข้าทุกลูก ผมได้ดูด้วยนัดนั้น

อันนี้ดีครับ เปิดอบรมเยอะขึ้น ค่าเรียนถูกลงหรือรัฐบาลสนับสนุน ปีละร้อยหรือพันคนก็ยังดี

ครูเหล่านี้เรียนจบมา ยังรับราชการต่อ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย เอาความรู้มาสอนเด็กต่อแบบถูกต้อง
เอาความรู้มาทำบอลเด็กตั้งแต่ 10ขวบ ไปยันอายุ18

ผมว่าปัญหาจริงๆไม่ใช่ครูพละไม่มี C license

ปัญหาหลักคือหลักสูตรวิชาพละของเด็กประถม

สำหรับผมมีแค่ว่ายน้ำที่ควรให้เด็กเรียนจริงๆ เพราะสำคัญในการใช้ชีวิต

ส่วนที่เหลือไม่จำเป็น ให้เรียนพวกABC Agility, Balance, Co-ordination ยังจะดีกว่า


สุดท้ายเด็กโตมาไปเล่นกีฬาอะไรก็ใช้พวกนี้เป็นพื้นฐานเพื่อต่อยอดทั้งนั้น