- นักเตะอย่างซิมง เคียร์, ธิอาโก้ ซิลวา และลูก้า โมดริช ลำพังเรา ๆ ท่าน ๆ ก็ชื่นชอบในพวกเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่พอได้รับชมสารคดีนี้ กลับแปรเปลี่ยนจากชื่นชอบ เป็นหลงรัก ผมคิดว่าถ้าองค์กรเรามีผู้นำแบบนี้ มันเหมือนได้เพิ่มพลังบวกอย่างมาก ให้กับบรรยากาศภายในทีมอย่างที่สุด

- ซีนที่โมดริช เรียกลิวาโควิชไปติวส่วนตัว โคตรเป็นพลังบวกมาก ผู้นำที่มีแต่ความรัก ความหวังดีให้เพื่อนร่วมทีม ควรเป็นแบบนี้ มันทำให้ย้อนกลับไปแล้วไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดตลอดทศวรรษที่ผ่านมา โครเอเชีย ถึงมีผลงานกับทัวร์นาเมนท์ทีมชาติที่ยกระดับขึ้นมาขนาดนี้ จริงว่า ส่วนนึงมาจากการทุ่มเท ทำงานหนักของทุกคนในทีม แต่ต้องยอมรับว่าอีกส่วนสำคัญคือ "ตาหมากรุก" มีลีดเดอร์ที่ชื่อ ลูก้า โมดริช นี่แหละ ที่พาให้โครแอตทะลุถึงรอบตัดเชือกฟุตบอลโลก 2 สมัยซ้อน

- สารภาพตามตรงว่า ซีนที่กล่าวถึงเหตุการณ์ "The Danish Wall" ของคริสเตียน อีริคเซ่น น้ำตาผมมันไหลออกมาเอง ขนาดในวันนี้รับรู้แล้ว ว่าคริสเตียนปลอดภัยดี มีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง จนกลับมาเล่นระดับสูงได้อีกครั้ง แต่ภาพที่ประมวลออกมา มันคือเส้นด้ายบาง ๆ ที่กำลังจะขาด มันคือช่วงชี้เป็นชี้ตาย ที่แฟนบอลอย่างเรา เกือบสูญเสียแข้งคุณภาพดีของวงการไปก่อนเวลาอันควรแล้วด้วยซ้ำ

- ไทเลอร์ อดัมส์ กัปตันทีมชาวมะกัน เป็นคนที่มีวุฒิภาวะดีเยี่ยมคนนึงเลยล่ะ ไม่บ่อยนัก ที่เราจะเจอพ่อค้าแข้ง ที่ชาญฉลาดในการตอบคำถาม และรับมือความเฮงซวยของสื่อมวลชนได้หนักแน่นขนาดนี้

- เสน่ห์ของฟุตบอลโลก ที่ผมเชื่อว่ายังไงมันจะมีต่อไป คือการส่งมอบแรงบันดาลใจจากรุ่นสู่รุ่นนี่แหละ ย้อนไปในเวิลด์ คัพ 2002 เซเนกัล อาจเป็นเพียงแค่ชาติโนเนม ผู้เป็นตัวแทนจากทวีปแอฟริกา ทว่า 20 ปีผ่านไป นี่คือชาติที่ผลิตนักเตะคุณภาพมากมาย เข้ามาโลดแล่นในเวทียุโรปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งตำนานมากมายของ "ราชสีห์แห่งเตรังก้า" ทั้งหมดถูกริเริ่มขึ้น เพียงแค่ชัยชนะ 3 แต้มแรกเหนือฝรั่งเศส และประตูชัยโทนจาก ปาป้า บูบ้า ดิย็อฟ ตำนานของชาติผู้ล่วงลับเท่านั้นเลยจริง ๆ

- ไม่รู้ว่ากาลเวลาข้างหน้า เมสซี่ และ โรนัลโด้ จะถูกพูดถึงในแง่ไหน ทว่า หากกล่าวถึง "ความยิ่งใหญ่" ที่มีต่อวงการลูกหนัง ภาพที่มวลมนุษยชาติมีต่อ 2 ตำนานผู้ล่วงลับอย่าง เปเล่ และ ดิเอโก้ มาราโดน่า นั้น ต้องยอมรับกันตามตรงว่ามันเป็นอีกขั้นนึงเลยล่ะครับ

- ไม่รู้มันเป็นที่ตัวนักเตะ หรือเป็นที่จังหวะการตัดต่อ แต่นักเตะอย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ นี่มันคือ "Anti-Hero" ของวงการฟุตบอลโดยแท้จริงเลย นี่คือนักเตะที่ไม่ว่าจะอีกนานแค่ไหน เชื่อว่าเหล่าแฟนบอลจะยังคงหลงไหล คลั่งไคล้เขาไม่เสื่อมคลาย ในความเป็นเขานี่แหละ นักเตะที่ทะลุ ทะลวงกับทุกสิ่งที่ขวางหน้า ผู้ที่กล้าพอที่จะกล่าวถึงทุกอย่างที่คิดออกมาอย่างตรงไปตรงมา ผู้ที่สามารถยืนหยัดต่อเสียงวิจารณ์รอบข้างได้แม้ในวันนี้จะอายุใกล้เลข 4 แล้วก็ตาม ผู้ที่ไฟในตัวยังลุกโชนอยู่อย่างไม่หยุดหย่อน คือไม่ว่าคุณจะแปรเปลี่ยนมันไปใช้ในทิศทางไหน "พลังงาน" ในตัวของนักเตะที่ยิงประตูในเวิลด์ คัพ ครบทั้ง 5 สมัยนั้น ไม่เคยมอดลงเลยจริง ๆ

- ญี่ปุ่นคือโคตรญี่ปุ่น เป็นชาติที่นำเอาความมีระเบียบ มีวินัย เนี๊ยบ เป๊ะ เรียบง่าย สมถะ นอบน้อม หยิบออกมาใช้ในเวทีโลกได้อย่างลงตัวและไม่เคอะเขินเลยสักนิด เพราะขณะที่พวกเขากำลังฟูมฟายแทบบ้า หลังเพิ่งตกรอบ 16 ทีมสุดท้าย แต่ห้องแต่งตัวของเขา กลับฝากความทรงจำผ่านนกกระดาษ และห้องโล่ง ๆ ไร้ซึ่งเศษขยะสักชิ้นเอาไว้ให้กับเวิลด์ คัพ 2022

- คุณจะรักหรือเกลียดเขาก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า คีลียัน เอ็มบาปเป้ คือ "ที่สุดแห่งยุค" รายต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย และจากผลงานในเวิลด์ คัพ 2 สมัยที่ผ่านมา เขากำลังจะก้าวสู่การเป็น "Mr.World Cup" คนต่อไป ดังเช่น รุ่นพี่ในวงการอย่าง เปเล่, มาราโดน่า, มัทเธอุส, เบคเค่นเบาเออร์, โรนัลโด้, โคลเซ่ หรือแม้กระทั่งนายใหญ่คนปัจจุบันของเขาอย่าง ดิดิเย่ร์ เดส์ช็องปส์

- ผ่านมาราว 1 ปีกว่า ๆ วันนี้ทัวโลกเป็นที่รู้กันแล้วว่า "ฟ้าขาว" คือแชมป์โลกรายล่าสุด และเมสซี่ ทำสำเร็จเสียทีกับการคว้าเหรียญทองฟุตบอลโลก แต่พอย้อนกลับไป ต้องยอมรับว่า เรื่องทั้งหมดมันเป็นดั่งเทพนิยาย ที่เหมือนพระเจ้าลิขิตเอาไว้แล้วจริง ๆ นะ หลายต่อหลายเหตุการณ์มันเหมือนละครน้ำเน่ามาก ๆ โชคดีว่ามันเกิดขึ้นในยุคที่เทคโนโลยีมันมาไกลพอที่จะเรียลไทม์จนสามารถยืนยันได้ชัดเจนว่ามันคือ "เรื่องจริง"

- เชื่อว่าวันข้างหน้า สิ่งที่ "โมร็อกโก" ฝากเอาไว้ในเวิลด์ คัพ 2022 จะเป็นตัวจุดประกายชั้นเลิศ ให้กับเหล่าบรรดาชาติเล็ก ๆ ชาติรองบ่อน ให้มีความมุ่งมั่น ความกล้าที่จะท้าทายเหล่ามหาอำนาจของทัวร์นาเมนท์ และไม่แน่ว่า ความหวังที่แฟนบอลจะได้เห็นแชมป์โลกหน้าใหม่ มาจากทวีปที่ต่างออกไป อาจเกิดขึ้นได้จริง ในชั่วชีวิตที่เหลืออยู่ของเราก็ได้

- ไม่รู้ซาดิสม์ไปไหม แต่แอบเสียดายครับ ที่สารคดี Mute ท่อนที่เป็นคำหยาบออกหมด จินตนาการเล่น ๆ ว่าถ้าใส่มาแบบเต็มเม็ด เต็มหน่วย เราคนดู น่าจะเสพแบบสะใจกว่านี้เยอะ

- เสียดาย 2 คือ แฟนบอล "อินทรีเหล็ก" อย่างผม รู้สึกว่ามีส่วนที่กล่าวถึงทีมชาติเยอรมนีน้อยไปนิด ทั้งที่ส่วนตัวมองว่า เยอรมนี เป็นหนึ่งชาติที่มีประวัติศาสตร์ร่วมกับฟุตบอลโลกไว้เพียบเลย

- เสียดาย (สุดท้าย) ถ้าทีมชาติอิตาลีมาเข้าร่วมด้วยในหนนี้ น่าจะเป็นส่วนเติมเต็มให้กับสารคดีได้ยิ่งกว่านี้มาก หวังไว้เล็ก ๆ ว่าเวิลด์ คัพ 2026 พลพรรค "อัซซูรี่" จะกลับคืนสู่จุดที่พวกเขาคุ้นเคยเสียที

- ยังมองไม่ออกว่า ไฟแค้นระหว่าง "อาร์เจนติน่า" กับ "เนเธอร์แลนด์" จะแผ่วลง หรือมอดดับเมื่อไหร่ เพราะทุกครั้งที่เจอกัน เหมือนโกรธแค้นกันมาแต่ชาติปางก่อน และสิ่งที่ฝากกันเอาไว้ในครั้งนี้ การันตีเลยว่า หนนี้ถ้าจับพลัดจับผลูมาเจอกันอีก บอกเลยว่า โคตรกำไรคนดูอย่างเราแน่นอน

- ซีนตัดสลับระหว่าง เกมอาร์เจนติน่า v ซาอุดิ อาระเบีย และเกมโปรตุเกส v กาน่า นี่มันโคตรคลีเช่มาก โคตรน้ำเน่า โคตรละคร แต่ชื่นชมทีมตัดต่อ ที่เข้าใจหยิบยกเรื่องราวมาเล่าแบบสนุกมาก ๆ เป็นอีกหนึ่งซีนไฮไลท์ของสารคดีชุดนี้เลย