เดเนียล เลวี่ ก็มีหุ้นสเปอร์ 25% เหมือนกันนะ ดูใหญ่มั้ยล่ะ ตัดสินใจทุกอย่างเพราะเป็นประธานและ CEO ด้วย

เจ้าของที่แท้คือกลุ่ม ENIC ที่มีปู่ โจ ลูอีส เป็นเจ้าของถือหุ้นเยอะว่าเลวี่ แต่ก็มอบอำนาจให้เลวี่จัดการไง

25% ในเงื่อนไขที่ว่าต้องได้ดูแลเรื่องฟุตบอลหมด + ไม่วิจารณ์เกลเซอร์

อีกอย่างเราเป็นแฟนบอลเราก็รู้เรื่องแค่ในส่วนที่ SJR ดูแลเลยดูเหมือนควบคุมทุกอย่าง

เบื้องลึกเบื้องทั้งแบรนด์ การตลาด เงิน หุ้น ฯลฯ เกลเซอร์ยังควบคุมอยู่

อ้างอิงจากการมโนล้วน ๆ 55555

ที่อ่านข่าวคือเป็นข้อตกลงว่าต้องเข้ามาบริหาร
ปล. ที่ได้ 25% นี่คือ class B ที่มีอำนาจตัดสินใจมากกว่า class a ใช่มั้ย

ที่มันดูมีอิทธิพลเพราะว่า 25% ในที่นี้ SJR ซื้อทั้งหุ้นคลาส A + B ครับ
ซึ่งถ้านับเป็น Individual - SJR คือผู้ถือหุ้น % เยอะสุดครับ
ถึงแม้เกลเซอร์โดยรวมจะยังเยอะกว่า แต่มันคือกรณีที่ พี่น้องเกลเซอร์รวมกันทั้งหมดฮะ

นอกจากนี้อิทธิพลอีกด้านคือ Football operation
การจัดการด้านฟุตบอล'ทั้งหมด' จะผ่านฝั่ง SJR โดยตรง
ไม่ต้องไปผ่านทาง เกลเซอร์ แบบที่แล้วๆมาแล้วครับ

ทั้งการแต่งตั้ง DOF, Recruitment, Technical DOF, Staff และอื่นๆ
SJR ทำได้เองทั้งหมดไม่ต้องผ่านเกลเซอร์ รวมถึงการแต่งตังหรือปลด ผจก.ครับ

ซึ่งเรื่องพวกนี้จะดูไม่มีอะไรเลย ถ้าหลังบ้านแมนยูไม่แย่ขนาดนี้
เพราะเทียบกันคือ SJR ตอนหลังๆก็ถือว่าพานีซเริ่มมาถูกทางเช่นกัน (เลยพอหวังได้)
และชื่อ บุคลากรในแต่ละตำแหน่งอย่าง Blanc, Mitchell, Ashwoth
พวกนี้คือระดับท็อปๆในตำแหน่งทีมงานหลังบ้านทั้งหมดครับ

แต่สุดท้ายคงต้องมาลุ้นอีกทีว่า หลังจากการเข้าซื้อหุ้นอนุมัติแล้ว
SJR จะวางโครงสร้างใหม่ยังไง เพราะตอนนี้พวกบุคลากรที่เป็นข่าว มันก็ยังเป็นแค่ข่าว

ส่วนฝั่งเกลเซอร์ก็ดูภาพรวมเหมือนเดิม คอนโทรลเรื่อง financial ตามเดิมครับ
กรณีนี้ถ้าในอนาคตจะมีปัญหา อาจจะเป็นเรื่องการเงิน การสนับสนุนทีม
แต่ผมไม่คิดว่าจะมีปัญหาแบบแย่เหมือนที่ผ่านๆมา เพราะก่อนการซื้อหุ้น คงมีคุยกันไว้ละ
อีกอย่างแมนยูมันทำกำไรในตัวเอง แต่ตอนนี้ต้องปลดภาระ FFP ออกไปก่อน แล้วรีเซ็ตใหม่

เงินส่วนใหญ่เป็นเงิน เสี่ยเอ็กซ์บาลี่ กับ เสี่ยเฟลิเซียโน่ ครับ ( 2 คนนี้มาในนาม บริษัท Clearlake Capitol )

ไอ้ท็อดด์ มาดูแลเพราะมีประสบการณ์ในธุรกิจกีฬามากกว่าคนอื่น ( เป็นหุ้นส่วน ทีมบาส กับ ทีมเบสบอล ใน USA และเคยสนใจจะซื้อทีมฟุตบอลในอังกฤษมาตั้งนานแล้ว )

แต่หลังๆ เอ็กซ์บาลี่ ก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้นละครับ ( ตั้งแต่ตลาดที่ซื้อ เอ็นโซ่ , มูดริค พวกนี้ เสี่ยเอ็กซ์ บินไปปิดดีล ) เสี่ยท็อดด์ ก็เริ่มไปดูธุรกิจอื่นของตัวเองมากขึ้น

หุ้นส่วนคนอื่นๆ ไม่แน่ใจว่าทำอะไรบ้าง แต่จะมี โกลสตรีน คนนี้จะดูแลเรื่องการสร้างสนามใหม่เป็นหลัก เพราะเจ้าตัวทำธุรกิจอสังหาครับ

แบ่งหน้าที่กันทำ

ตอนแรกเกลเซอร์ตั้งไว้2ทางครับ
ขายสโมสรกับหาคนมาลงทุน

เนื่องจากแมนยูมาถึงจุดที่ ต้องการคนอัดฉีดสภาพคล่อง
และลงทุนfacility

เกลเซอร์ไม่อยากควักเงินตัวเองอุดหนุนสโมสร
(ยืนยันในความงก ว่าจะไม่มีวันทำ)

พอได้คนซื้อ เกลเซอร์ก็โก่งราคา
และต้องการให้คนซื้อประมูลไปเรื่อยๆ
เซอร์จิมเลยเปลี่ยนแท็คติก ซื้อหุ้นเพื่อร่วมลงทุน

เป็นคนออกตังค์ เพิ่มสภาพคล่องให้สโมสรเดินหน้าต่อได้นั่นเอง

แลกกับอำนาจบริหารบอร์ดกีฬา

และไม่รู้ว่ามีสัญญาใจกันยังไง
อนาคตเกลเซอร์จะทยอยขายหุ้นทั้งหมดรึเปล่า

25% คือหุ้น แต่รายละเอียดมันอยู่ในสัญญา อำนาจในทีมฟุตบอลมันอยู่ตรงนั้นมากกว่า

เหมือนความรู้เรื่องฟุตบอล มันเป็น0อ่ะฝั่งเกลเซอร์ ที่นี้อยากหาพาร์ทเนอร์ รึหุ้นส่วนมาช่วยลงทุน
ที่มีความรู้เรื่องนี้โดยตรง โดยที่ฝั่งตัวเองยังถือหุ้นใหญ่อยู่ พูดง่ายๆคือไม่อยากขายทั้งหมด
ยังอยากเกาะอยู่ คนที่จะมาร่วมลงทุน ก็ต้องรับข้อเสนอนี้ให้ได้ เซอร์จิมแกคงรับได้ แต่แกขอบริหาร
ด้านกีฬาโดยตรง ถึงจะยอมมาร่วมลงทุน เกลเซอร์เลยมอบอำนาจเต็มให้เซอร์จิม บริหารด้านกีฬาโดยตรง
ตัวเองไปบริหารส่วนอื่น ที่ถนัดกว่า ไม่ต้องเสี่ยงเป็นเพะเวลาทีมมีปัญหาเหมือนในอดีต
แถมได้เงินลงทุนมาเพิ่ม วิน วิน

เท่าที่ผมดูก่อนนี้ ผู้ถือหุ้นสูงสุดของผีก็แค่ 20% เองนะ

การซื้อ 25% ก็เท่ากับไปเป็นคนที่ถือหุ้นสูงสุดแล้ว

ถือว่าท่านเกลเซอร์ฉลาดมากเลยนะดีลนี้ ให้ไอ้จิมบริหารไปทั้งหมด ไม่ต้องลงมาเปลืองตัว นอนตีพุงกินปันผลสบายๆ ทีนี้ผลงานกากก็โทดเกลเซอร์ไม่ได้ล่ะ ผลงานดีก็ได้ตังใช้ มีแต่ได้กับได้ แม่งสุดยอดหัวคิดผู้บริหารจริงๆ นับถือ

1. 25% ก็ถือว่าเป็น 1 ใน ผู้ถือหุ้นใหญ่แล้วครับ

2. มีเงื่อนไขก่อนเข้าซื้อหุ้นชัดเจนว่าต้องการอำนาจบริหารเรื่องไหน และส่วนไหนบ้าง

Welcome back to SS ครับไม่เสียแรงที่ไปตามกลับบ้านมา

เสริมคุณเบรดี้ให้ครับว่านอกจากเรื่องหุ้นอะไรต่างๆแล้วในองค์กรมันยังมีส่วนงานอีกหลายอย่างที่เกรเซอร์มีอำนาจควบคุมดูแลการบริหารครับ

ส่วนที่เซอร์จิมได้อำนาจเต็มๆไปคือส่วนที่ผมวงไว้ให้นี่แหละ คือเฉพาะส่วนฟุตบอลที่ขึ้นตรงกับทีมงานเซอร์จิมอำนาจในที่นี้ก็เช่น การวางนโยบาย - ทิศทาง - แต่งตั้งคนและปรับโครงสร้างต่างๆ ตามภาพที่ 2 ซึ่งพอวางคนปุ๊บมันก็จะต่อไปถึงการปฏิบัติการหรือ operation ต่างๆ ในด้านฟุตบอลเอง

ส่วนแผนกหรือฝ่ายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับฟุตบอล แต่จะเป็นลักษณะถ้ามีงานเกี่ยวของกันก็ต้องทำร่วมกันเช่น commercial - communication พวกนี้ยังไงมีส่วนที่ต้องเกี่ยวกับนักเตะในทีมหรือผู้จัดการทีมที่ส่งไปร่วมอยู่แล้ว หรือ อย่าง CFO ก็ต้องคุยกันเรื่องการกำหนด Budget กรอบงบต่างๆครับ

ตอนนี้ยังไม่มีอารมณ์ทำงานครับ ทำตัวชิวๆว่างๆไปก่อน 555555

อธิบายหุ้นของแมนยูง่าย
หุ้นของแมนฯยูมี class A และ class B
class A คือหุ้นที่ซื้อขายกันในตลาดและหุ้นที่ขายให้คนอื่น
Class B คือหุ้นที่ตระกูลเกลเซอร์ถือ

โดยหุ้น Class B จะมีอำนาจโหวตมากกว่า Class A 10เท่า

ปัจจุบันมีหุ้น Class A อยู่ประมาณ 52 ล้านหุ้น
และหุ้น Class B อยู่ประมาณ 112 ล้านหุ้น

พอเกลเซอร์คนพ่อตาย ก็แบ่ง 112 ล้านหุ้นให้ลูก 6 คนเท่ากัน
ดังนั้นเกลเซอร์แต่ละคนมีหุ้นอยู่ ประมาณ 15-20ล้านหุ้น

พอ SJR เสนอซื้อ คือเสนอซื้อ หุ้น Class A และ B
อย่างละ 25% ของทั้งหมด

ดังนั้นตอนนี้ ตอนนี้ SJR มีหุ้นแมนยูอยู่ประมาณ 41 ล้านหุ้น
ในขณะที่เกลเซอร์แต่ละคนตอนนี้มีหุ้นอยู่แค่ประมาณ 15-20 ล้านหุ้น
เท่านั้น SJR จึงอาจสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของแมนยูตอนนี้


แม้ว่าอำนาจในการโหวตจะเทียบไม่ได้กับตระกูลเกลเซอร์ที่มีหุ้นรวมกัน
ประมาณ 80-90 ล้านหุ้น และส่วนใหญ่เป็นหุ้น Class B ที่มีอำนาจ
ในการโหวตมากกว่าก็ตาม

เพราะไม่มีคู่แข่งไง คนอื่นถ้าให้หุ้นแค่25แล้วเค้ามีโนวฮาว มีทีมงาน บริหารเป็น เค้าไม่มาเหนื่อยฟรีเพื่อ25% แลเงให้ไอ้75%รวยสบายไม่ออกเเรงหรอก
ยกเว้นพวกใหญ่ซื้อไม่ไหวหรือผู้ถือหุ้นอีกเยอะที่อาจจะไม่ขายแบบในตลาด จะทำออฟเฟอร์ก็ราคาสูง

อย่างคู่แข่งจิม ถ้าไม่ขายร้อยเค้าก็ไม่เอา