เครดิต
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid02Lj6P4UE7NYWNkVcRaCr134La4LMsfH4dSMx4dGp3vEgCSQvm1KpoU8wEjfihLtcfl&id=100070363743509&mibextid=Nif5oz
"ฟุตบอลไทย กับการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาเกือบ 8 ปี" ผลงานไม่ได้วัดแค่ในสนาม แต่เพื่อสร้างให้รากฐานมั่นคง และยั่งยืน
ผลการแข่งขันในสนามมีแพ้มีชนะหมุนเวียนกันไปเป็นวัฎจักร แต่สิ่งที่จะทำให้ฟุตบอลไทยพัฒนาได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนก็คือรากฐานอันแข็งแกร่ง
ตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย มุ่งมั่นที่จะพัฒนาและวางรากฐานให้ฟุตบอลไทยสามารถเดินหน้าพัฒนาได้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ตั้งแต่การพัฒนาศักยภาพบุคลากรไปจนถึงสิ่งก่อสร้างอันทันสมัยที่จะกลายเป็นมรดกแก่รุ่นต่อไป
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในช่วงเกือบ 8 ปี ภายใต้การบริหารของนายกสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง มีอะไรบ้าง และจะช่วยยกระดับการพัฒนาของลูกหนังไทยให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง
แฟนบอลทุกคนติดตามได้ที่นี้ ก่อนจะได้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นในงาน “The Untold Story of FA Thailand” เรื่องราวที่สมาคมอยากให้ผู้ที่รักในฟุตบอลไทย ได้ทราบถึงการเดินทางตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปี ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 28 กันยายนนี้ ณ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ (หัวหมาก)
[สร้างมาตรฐานการพัฒนาอย่างเป็นระบบ]
ตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือมาตรฐานการทำงานและการจัดการต่าง ๆ ของสมาคมกีฬาฟุตบอลฯ ที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ปัจจัยสำคัญมาจากการที่ทางสมาคมระดมบุคลากรฟุตบอลที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาร่วมงานจำนวนมาก พร้อมดึงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาช่วยดูแลในแต่ละภาคส่วน และแบ่งหน้าที่รับผิดชอบอย่างเป็นระบบ จึงทำให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างต่อเนื่องและไหลลื่น
ไม่ว่าจะเป็น ทีมงานที่ดูแลทัพนักเตะทีมชาติไทยโดยเฉพาะ ทั้งทีมแพทย์ ทีมโภชนาการ ทีมกายภาพ ทีมวิทยาศาสตร์การกีฬา ไปจนถึงทีมประสานงานที่ช่วยอำนวยความสะดวกคอยดูแลเรื่องการเดินทาง ที่พัก อาหารการกิน ฯลฯ เพื่อให้แข้งช้างศึกทุกชุดมีความพร้อมมากที่สุดและโฟกัสกับเกมในสนามได้อย่างเต็มที่
เราจึงไม่เห็นความผิดพลาดตั้งแค่ในมุ้งอย่างการส่งรายชื่อผิด นักฟุตบอลตกเครื่องเพราะไม่มีตั๋ว ลืมทำวีซ่า ไม่มีสนามลงซ้อมก่อนแข่ง ฯลฯ เพราะทุกอย่างมีทีมงานที่คอยเตรียมการมาเป็นอย่างดี
นอกจากนี้ยังทีมงานที่ดูแลเรื่องการวางคิวหาทีมมาอุ่นเครื่องให้ตรงกับฟีฟ่าเดย์ เพื่อให้ทุกแมตช์ที่ลงเล่นมีความหมาย มีการเก็บคะแนน และจดบันทึกสถิติอย่างเป็นทางการ ไม่กลายเป็นสุญญากาศเหมือนที่แล้วมา
ตลอดจนทีมประชาสัมพันธ์ที่คอยให้ข้อมูลข่าวสารและความเคลื่อนไหวผ่านช่องทางต่าง ๆ จนทำให้แฟนบอลเข้าถึงได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถที่จะพูดคุยหรือเสนอความคิดเห็นถึงสมาคมได้โดยตรง
เมื่อมีการจัดการที่เป็นระบบและมีประสิทธิภาพ แผนการพัฒนาก็สามารถเดินหน้าได้อย่างราบรื่น โดยเฉพาะการสร้างโค้ชและนักเตะที่จะเป็นรากฐานของลูกหนังไทยในอนาคต
[เพิ่มศักยภาพบุคลากรในสนาม]
หลังเซตระบบหลังบ้านได้อย่างมีมาตรฐาน แผนงานที่สมาคมให้ความสำคัญเป็นลำดับต้น ๆ ก็คือการเพิ่มศักยภาพของบุคลากรให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะโค้ชและผู้ตัดสินซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการช่วยพัฒนาประสิทธิภาพนักฟุตบอลตั้งแต่รากหญ้าไปจนถึงระดับอาชีพ
จากเดิมประเทศไทยเคยมีโค้ชที่ผ่านการอบรมหลักสูตร “โปร ไลเซนส์” เพียงแค่รายเดียวเท่านั้น คือ “โค้ชง้วน” สุรชัย จตุรภัทรพษ์ ผู้อำนวยการสโมสรบีจี ปทุม ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน แถมเจ้าตัวยังเข้ารับการอบรมตอนสมัยไปค้าแข้งที่ประเทศสิงคโปร์อีกด้วย
โค้ชง้วน เคยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ในอดีตสมาคมฟุตบอลไม่ได้ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ ขาดออแกไนเซอร์ในการดึงการอบรมมาจัดที่เมืองไทย หรือประสานงานส่งโค้ชไปเรียนยังต่างประเทศ ทำให้โค้ชไม่รู้ว่าจะต้องไปอบรมที่ไหน การอบรมโค้ชจึงถูกละเลยและขาดความต่อเนื่อง
เมื่อฟุตบอลไทยเปลี่ยนยุคสมัย สมาคมกีฬาฟุตบอลเล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงเดินหน้าประสานงานจัดคอร์สอบรมผู้ตัดสินทั้งประเทศ พร้อมหารือกับเอเอฟซีดึงการอบรมมาจัดในประเทศไทย เพื่อให้โค้ชชาวไทยมีศักยภาพเทียบเท่านานาชาติ
ทำให้ตลอดระยะเวลาเกือบ 8 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีโค้ชที่ได้ใบอนุญาตระดับโปร ไลเซนส์ เพิ่มขึ้นมากกว่า 30 คนไปแล้ว โค้ชหลายคนได้คุมทีมในศึกไทยลีก บางคนได้ไปคุมทีมนอกประเทศ จนถือเป็นยุคที่โค้ชไทยเฟื่องฟูที่สุดในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้
ไม่เพียงแค่ระดับสูงเท่านั้น แต่สมาคมฟุตบอลยังเปิดอบรมตั้งแต่ระดับพื้นฐาน โดยได้การรับรองเทียบเท่า AFC License ภายใต้หลักสูตรที่คิดค้นและพัฒนาให้เหมาะสมกับฟุตบอลในไทยโดยเฉพาะ เพื่อสร้างผู้ฝึกสอนที่มีความสามารถตั้งแต่ระดับพื้นฐาน เยาวชน สมัครเล่น ไปจนถึงระดับอาชีพ
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการดำเนินการทุกอย่างเป็นไปอย่างต่อเนื่อง มีการอบรมโค้ชตามจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ทำให้ในอนาคตประเทศไทยจะมีโค้ชฟุตบอลที่มีศักยภาพสูงขึ้น และมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
พวกเขาเหล่านี้จะกลายเป็นหัวเรือสำคัญในการปลุกปั้นนักเตะที่จะก้าวขึ้นมาเป็นอนาคตของชาติ ให้เด็กทุกคนได้ฝึกทักษะลูกหนังที่ถูกต้องตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วต่อยอดขึ้นมาอย่างเป็นระบบจนไปสู่การติดทีมชาติไทย
ขณะเดียวกัน สมาคมยังเดินหน้าผลิตผู้ตัดสินสายเลือดใหม่ ที่อายุน้อยและมีความรู้ความสามารถ ให้ก้าวขึ้นมาทำหน้าที่ได้อย่างต่อเนื่อง จึงมีการเปิดรับสมัคร สอบข้อเขียน สอบภาคปฏิบัติ ก่อนจะอบรมและทดสอบสมรรถภาพเพื่อขึ้นทะเบียน
ผู้ตัดสินจะถูกแบ่งเป็นระดับชั้น ตั้งแต่ระดับ 3, ระดับ 2, ระดับ 1, ระดับฟีฟ่า และระดับอิลิท ได้โอกาสทำหน้าที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่ระดับเยาวชน ไทยลีก ทีมชาติ และนานาชาติ โดยมีการสอบอบรมและเกณฑ์การเลื่อนขั้นที่ชัดเจนเพื่อเป็นความก้าวหน้าในอาชีพ
พร้อมกันนี้ตลอดทั้งปียังมีการจัดอบรมให้กับผู้ตัดสินอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่ออัปเดตกติกาและเกณฑ์การตัดสินให้เป็นไปตามสากล เพื่อนำไปใช้ในสนามและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องแก่นักบอล
การพัฒนาด้านต่าง ๆ ที่ชัดเจนและต่อเนื่องทั้งหมด นอกจากจะเป็นการสร้างรากฐานให้กับฟุตบอลไทยแล้ว ยังช่วยสร้างเครดิตในระดับนานาชาติ จนนำมาซึ่งความไว้วางใจและงบสนับสนุนที่จะได้รับมาใช้พัฒนาต่อในอนาคตด้วยเช่นกัน
[ต่อยอดสู่การสนับสนุนจาก FIFA และ AFC]
การพัฒนาที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนทำให้ประเทศไทยได้รับความไว้วางใจจากสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) และสหพันธ์ฟุตบอลเอเชีย (เอเอฟซี) พร้อมยังได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีมาโดยตลอด
ทั้งการได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันทัวร์นาเมนท์ระดับนานาชาติมากมาย การได้รับเลือกให้จัดกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งการอบรมโค้ชและผู้ตัดสินระดับทวีปอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงงบประมาณจำนวนมหาศาลที่พร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่
นำมาซึ่งการสร้างที่ทำการแห่งใหม่ของสมาคม ในชื่อ “HOUSE OF THAI FOOTBALL” เพื่อให้มีฐานปฏิบัติการที่สมบูรณ์แบบและมีมาตรฐานระดับสากล รองรับการทำงานทุกด้านได้อย่างเต็มที่
รวมถึงงบประมาณในการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ ที่มีอุปกรณ์ทันสมัยและอำนวยความสะดวกครบวงจร เพื่อพัฒนาและสนับสนุนกิจกรรมของฟุตบอลไทยทั้งระบบ
สิ่งเหล่านี้คือรากฐานสำคัญที่สมาคมต้องการมอบให้กับฟุตบอลไทย ไม่ว่าจะเปลี่ยนผ่านไปอีกกี่ยุคก็จะสามารถใช้ต่อยอดการพัฒนาฟุตบอลไทยต่อไปได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ได้มองเพียงแค่ผลการแข่งขันในสนามเพียงอย่างเดียว
ฟุตบอลมีแพ้มีชนะหมุนเวียนไปเป็นวัฎจักร เราเคยผ่านช่วงเวลาที่ทีมชาติไทยผลงานย่ำแย่มาแล้ว และเคยโห่ร้องยินดีกับแชมป์และความสำเร็จที่เกิดขึ้นด้วยเช่นกัน
ดังนั้นไม่ว่าผลการแข่งขันจะเป็นอย่างไร หากเรามีรากฐานที่มั่นคงแข็งแกร่งและถูกสร้างให้สามารถต่อยอดได้อย่างยั่งยืนแล้ว ฟุตบอลไทยก็จะไม่มีวันหยุดพัฒนาอย่างแน่นอน
#FAThailand