นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: Rise--Up!!!

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Sep 2010
ตอบ: 2445
ที่อยู่: Mersyside
โพสเมื่อ: Sun Sep 17, 2023 14:37
เรื่องการปรับตัวของผจก.ทีม ในพรีเมียรลีก
คือก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนเลยว่าตั้งแต่ผมเข้าสู่วัยทำงาน เมือประมาน10ปีที่แล้วฟุตบอลลีกที่ดู และติดตามจริงๆอยู่ก็มีแค่พรีเมียรลีก ลีกเดียว ด้วยเรื่องเวลาหรืออะไรต่างๆนาๆ
ได้ลองสังเกตุการเข้ามาของผจก.ทีมหลายคนที่ทั้งประสบความสำเร็จและล้มเหลว ขนาดเป็ปที่ว่าแน่ๆ จำได้ว่าฤดูกาลแรกที่เข้ามาก็สัมพาทแบบประมาทพรีเมียร์ลีกมาก จนฤดูกาลแรกต้องเจอกับความยากลำบาก คล๊อปที่ใช้เวลถึง4ปีถึงจะได้สัมผัสโทรฟรี่ใบแรก อาเตต้าที่แทบจะโดนแฟนบอลสาปส่งในปีแรกที่เข้ามาคุม รวมถึงกุนซือแนวหน้าหลายคนที่ต้องเอาชื่อมาทิ้ง ทั้งอูไนเอเมอรี่ คอนเต้ หรือกระทั้งมูรินโย่ ที่ถึงแม้จะทำทีมดีบ้าง หรือได้ถ้วยใบเล็กบ้างก็ไม่เพียงพอที่จะอยู่รอดในงานผจก.ทีมของลีกนี้ได้
และเหล่าผจก.ทีมหน้าใหม่ที่ต่างก็ไปไม่รอดอย่าง เจอราด แลมพารท โซลชา ที่ต่างก็ไม่สามารถยึดตำแหน่งไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง มันทำให้รู้สึกว่าบางทีการรับงานผจก.ทีมในลีกนี้มันไม่ได้ต้องการแค่ฝีมือด้านการซ้อมหรือแท็กติก สังเกตุหลายครั้งที่หลายคนตอนมาแรกๆดูทำทีมดีมีอนาคตแต่พอซักพักก็พังไม่เป็นท่า
มานึกถึงปัจจัยในความล้มเหลวเหล่านั้น ที่อาจจะต้องมีเพิ่มเติมจากลีกอื่น ที่เห็นได้ชัดคือด้วยความที่พรีเมียรลีกมีมูลค่าสูงมาก ทำให้มีความกดดันและความคาดหวังจากแฟนบอลและสโมสรมหาศาล การตกชั้นอาจหมายถึงการสูญเสียรายได้หลักร้อยล้านปอนด์ มันทำให้ทีมในพรีเมียรลีกไม่สามารถอดทนรอได้นานเท่าลีกอื่น ที่จะให้เวลาผจก.ทีมได้เต็มที่ในการปรับแก้โครงสร้างภายในจนไปถึงจุดที่ผจก.ทีมคาดหวังไว้แต่แรก ยกเว้นทีมอย่างซิตี้ที่มีกำลังเงินสามารถผ่าตัดทีมได้ในแค่เพียง1-2ตลาด และลิเวอร์พูลที่ไปถึงจุดต่ำสุดมาแล้วจนให้เวลาคล๊อปอย่างเต็มที่ รวมถึงอาเซน่อลที่เชื่อมั่นในอาเตต้าแบบยอมเดิมพันทุกอย่าง แต่มีทีมอีกมากมายที่รอไม่ได้ขนาดนั้น เชลซียุคโรมัน แมนยูตั้งแต่หมดยุคเซอร์อเล็กซ์ หรือแม้กระทั่งสเปอร์ที่ลงทุนกับโครงสร้างสโมสรอย่างสนามใหม่สุดทันสมัย การเปลี่ยนโค้ชเกิดขึ้นหลายครั้ง มีทั้งดีบ้างไม่ดีบ้าง เพราะบางครั้งความกดดันและความคาดหวังมันมากเหลือเกิน
อีกเรื่องนึงก็คื่อสื่ออังกฤษ ที่เราก็รู้ๆกันอยู่ว่าการเสนอข่างโจมตีนักเตะในประเด็นเรื่องส่วนตัวรุนแรงมาก เห็นได้จากกรณีเวลานักเตะทำความผิดหรือข่าวฉาว พี่แกเล่นซะนักเตะแทบไม่มีที่ยืนในสังคม ผจก.ทีมหลายๆคนก็ต้องเจอกับปัญหานักเตะที่ไม่สามารถรับมือกับสื่อหรือกระแสสังคมได้ ตัวอย่างชัดเจนที่สุดก็แมนยูที่กำลังเผชิญกับปัญหาปีกขวาตอนนี้ เรื่องผิดจริงไม่จริงมันก็อีกเรื่อง แต่การกดดันของสื่อมันรุนแรงเหลือเกิน จนบางครั้งก็คิดว่าถ้าสื่อไม่โหมข่าวขนาดนี้ ผลกระทบต่อทีมมันจะมากขนาดนี้มั๊ย การเลือกคำถามในการสัมพาทแต่ละครั้งก็เหมือนจงใจจะจี้ตรงจุดเปราะบาง ที่ทำให้เกิดความระหองระแหงได้ง่ายๆ การรับมือการให้สัมพาทสื่อของผจก.ทีมในพรีเมียร์ลีก ถือเป็นความเสี่ยงมากเลย เพราะถ้าตอบพลาดหรือธาตุไฟแตกก็มีให้เห็นแล้วว่านำมาสู่ความหายนะหลายคนแล้ว
และด้วยความที่ลีกเป็นที่นิยม นักเตะพรีเมียร์ลีกก็ค่อนข้างมีความเป็นสตาร์ในตัวเองสูง เงินทอง การเป็นที่รู้จัก นำมาซึ่งสปอนเซอร์มากมายที่เข้ามา หลายๆคนที่รับมือกับสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ก็เสียผู้เสียคนไปนักต่อนัก ผมนับถือช่วงที่เซอร์อเล็กซ์คุมแมนยูมาก ถึงจะเป็นทีมคู่อริ แต่ตอนนั้นจำได้ว่าแกเคร่งเรื่องการวางตัวในความเป็นดารามาก รองเท้าห้ามสีฉูดฉาด ผมต้องตัดเรียบร้อย หรือการวางตัวต่อหน้าสื่อของนักเตะ ขนาดอย่างเดวิดแบ็คแฮมที่เป็นตัวสำคัญของทีมในตอนนั้น แกยังยอมตัดได้เพราะเรื่องวินัยความเป็นนักกีฬาเลย มาถึงยุคนี้ยุคที่นักเตะมีสื่ออยู่ในมือ การความคุมการแสดงออกต่อสื่อของนักเตะมันเลยยากขึ้นมาก นักเตะหลายคนต้องเสียสมาธิเพราะการตอบโต้โซเชี่ยล หรือการทำตัวเป็นซุปเปอร์สตาร์จนแทบลืมว่าอาชีพหลักคือนักกีฬาไปแล้วก็มี
ผมคิดว่าปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ผจก.ทีมฝีมือดีต้องเอาชื่อมาทิ้งไว้ที่ลีกนี้มากมาย บางทีก็รู้สึกเห็นใจผจก.ทีมหลายๆคนเหมือนกันที่ถูกด่าจนเหมือนแย่มากๆ ทั้งที่ฝีมือในเรื่องฟุตบอลของเค้าก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น ยังนึกภาพไม่ออกเลยว่าทีมที่เชียร์อยู่เสียคล๊อปไป หรือซิตี้ที่ไม่มีเป็ป มันจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะมาอยู่จุดที่พอใจกับผจก.ทีมตัวเองได้แบบนี้อีก แต่ก็นี่แหละมั้งครับ ลีกนี้ถึงเป็นที่นิยมสูงสุด เพราะการแข่งขันสูงแบบนี้
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ