ไม่รู้นะว่า ผมอ่านแต่ ปัญหาจุกจิกของ รถค่ายยุโรปหรือเปล่า ไม่ว่าจะแบรนด์เจ้าตลาดอย่าง เบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู หรือแบรนด์ที่มีความปลอดภัยสูงอย่าง วอลโว่ เจ้าของรถมักบอกว่า ถ้าเจอปัญหาจุกจิกแล้ว จะพบปัญหาจุกจิกไปตลอด บางคนขับไม่ถึง 3 ปี ก็เจอ บางคนก็เจอเมื่อผ่านไป 5 ปี

ส่วนรถค่ายญี่ปุ่น ไม่ว่าจะ โตโยต้า อีซูซุ แทบไม่ค่อยจะเห็นปัญหาความจุกจิก เท่าไหร่ มักจะบอกว่า ปัญหาจุกจิกน้อย อะไหล่หาง่าย สำหรับรถ 2 ค่ายนี้

มันจริงใช่ไหมครับ รถยุโรปสมัยนี้จุกจิกมากกว่ารถญี่ปุ่น มาก ถึงราคาจะแพงกว่าก็ตาม

ที่บ้านผมใช้ทั้ง honda gwm bmw ยังไม่เคยเจอปัญหาจุกจิกเลยสักครั้ง ผมก็อยู่ตามกลุ่มพวกนี้เห็นคนโพสเจอปัญหานู้นปัญหานี่กันเต็มไปหมดผมก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงเจอกัน ทั้งๆที่ผมก็ใช้รถมาเป็นสิบคันแล้วยังไม่เคยเจอปัญหาจุกจิกเลย รถผมใช้มาจะต้องเข้าศูนย์ก็มีอยู่แค่2อย่างคือ 1.เข้าศูนย์เช็คระยะตามปกติ 2.เคลมประกัน

ลืมไปว่าเคยเจอรถที่มีปัญหาจุกจิกอยู่คันนึงซ่อมไม่จบไม่สิ้นเป็นปีสุดท้ายก็ขายทิ้งไป แต่ก็ทำใจรับสภาพเพราะเป็นรถที่ซื้อมือ2มาจากเต็นท์รถ

เท่าที่ผมเคยใช้มาอ่ะนะครับ ถ ถ ถ ถรุ้ย ..... ไม่มีปัญญาซื้อรถยุโรป ขอผ่านไปเม้นล่างเลยครับ

รถยุโรปอะหลั่ยสิ้นเปลืองหลายชิ้นกว่าครับ
พยายามหารุ่นที่ปัญหาน้อย ๆ หากคิดจะซื้อมือสอง

จากที่่เห็นในกลุ่มเฟสบุ๊คแล้วก็ที่เห็นตามท้องถนน ผมเห็นรถยุโรป(ยุโรปจริงๆไม่ใช่ MG)จอดเสียข้างทาง+ขึ้นยานแม่บ่อยกว่ารถญี่ปุ่นนะ บางคันยังป้ายแดงอยู่เลยด้วยซ้ำ

จากประสบการณ์ที่ได้เห็นที่บ้านกับคนรอบตัว ค่อนข้างจะจริง
มีตั้งแต่
มอเตอร์กระจกพังขับๆอยู่รูดลงเอง
ขับอยู่ดีๆเข้าเซฟโหมด เร่งไม่ขึ้น ต้องเอาเข้าศูนย์ไปลบโค้ด
วันรับรถวันแรกรถสตาร์ตไม่ติด ตายคาศูนย์

ทั้งสามคันนี้ยังป้ายแดงกันทั้งนั้นตอนเกิดอาการ...

จะบอกว่าของเล่นไฟฟ้าเยอะ เล็กซัสที่ทำออกมาชนยุโรป ก็รู้สึกจะเจอปัญหาน้อยกว่านะ

รถยุโรปเสียแล้วมันขับต่อไม่ได้ครับ ขึ้นยานอย่างเดียว

ใช้ดีเซลครับ ไม่มีปัญหาจุกจิกกวนใจ เครื่องนิ่งขับดี

แต่ๆๆๆๆ ตัวท็อปออฟขั่นดีๆ มักไปอยู่ในตัวปลักอิน
ซึ่งปัญหาเยอะพอสมควร ทั้งเรื่องแบต เรื่องโช๊ค(ถุงลม) มันทำวานไม่เสถียรโดยเฉพาะเรื่องแบต

แต์จอนนี้ก็ดูนิ่งขึ้นแต่ผมว่าอย่าพึ่งไปเสี่ยง
ให้เลือกดีเซลถ้าไม่คิดมาก ออฟชั่นน้อยหน่อน(ก็หมดปัญหาเรื่องพวกอุปกรณ์ไฟฟ้า) น้ำมันถูก แต่ก็นะมันดูไม่รักษ์โลก

ปัญหามันจะไม่จุกจิกครับ ถ้างบซ่อมบำรุงถึง คือเวลามีส่วนใดของระบบเสียตามอายุการใช้งาน มันก็ควรเปลี่ยนทีเดียวทั้งระบบ ยกตัวอย่างถ้าหัวฉีดเสียตัวนึง ตามหลักควรเปลี่ยนหมดทุกตัว เพราะอายุการใช้งานมันพอกัน เสียตัวนึงตัวอื่นก็จะเริ่มทยอยๆเสียตาม
แต่รถยุโรปนี่อะไหล่แพงกว่า ญี่ปุ่นยิ่งยี่ห้อตลาดนี่ แพงกว่าร่วม 5 เท่า เช่น ตัวอย่างหัวฉีดดีเซลจบงานพี่โต 30k ถ้าเป็นพี่เบนซ์อาจราคา 120-150k
และคนที่เล่นรถยุโรปอายุเกิน 6ปี ส่วนมากคือซื้อมือสองมา พวกมีเงินนี่ 4-6 ปีเปลี่ยนแล้วครับ ไม่มาเสียเวลาซ่อม ดังนั้นพอกลุ่มหลักคือพวกคนกลางๆจับมือสอง เวลาซ่อมบำรุงจึงทยอยทำเท่าที่เสีย เพราะงบไม่ถึง มันก็จะเจอปัญหาทยอยๆเสียตามอายุมันเลยดูเป็นจุกจิกไป

แยกคำว่าจุกจิกก่อนนะ ผมว่าเครื่องน้ำมันล้วน มันไม่ค่อยจุกจิกจากการผลิตครับ แต่ถ้าสมัยพวก Hybrid bluetec คือเรื่องจริงปัญหาเยอะ

แต่ยังไงก็ตามคุณต้องยอมรับว่าหลายๆชิ้นส่วนของพวกรถหรู มันมีความซับซ้อนในเทคโนโลยีมากกว่า เลยค่อนข้างจะเสียง่ายกว่า โช็คถุงลมก็สมบุกสมบันมากไม่ได้ พวกเทคโนโลยีไฟหน้าต่างๆ เช่น เลี้ยวตามพวงมาลัยได้ มันก็มีโอกาสเสียได้ ดังนั้นสรุปง่ายๆเลย เค้าใส่อะไรมาให้เยอะกว่า ระบบไฟฟ้าเยอะกว่า ชิ้นส่วนเยอะกว่า โอกาสจะเสียมันก็มากกว่า ทำให้มันดูจุกจิกมากกว่า และที่ทำให้มันดูจุกจิกสุดๆ คือมันผลัดกันเสีย 55

คุณไปเทียบระบบช่วงล่างก็ได้ สมมุติรถญี่ปุ่นที่คุณอ้างรวมๆ Eco-car ใช้คานหมุน ชิ้นส่วนช่วงล่างมันไม่กี่ชิ้นเอง แต่พอเป็นรถยุโรปสมมุติซื้อตัวที่เป็น Air Matic ที่มีทั้งระบบไฟฟ้า ถุงลม ทั้งชิ้นส่วนโน้นนี่นั้นมากมาย เพื่อทำให้ช่วงล่างมันลงตัว มันก็หลายชิ้นกว่ามากแล้ว พอพวกนี้สลับกันเสียปุ๊ป มันก็คือจุกจิกแล้วไง พวกระบบเครื่องยนต์ระบบเกียร์เค้าเยอะๆทั้งนั้น คือถ้ารักที่จะซื้อ ต้องทำใจเรื่องค่าบำรุงรักษาครับ แต่ถ้าถามว่ามันจุกจิกเพราะเค้าผลิตมาห่วยๆมั้ย ถ้ารถน้ำมันไม่ใช่ แต่ถ้าเป็น Hybrid สมัย bluetec ต้องบอกว่าใช่ แต่ตอนนี้ไม่รู้นะ ว่าจะลองของอยู่ แต่ไม่กล้าเท่าไหร่ ใช้น้ำมันล้วนไปก่อน

มีรถยุโรปคันแรก 3เดือนเกียร์ลาโลก
ยกเกียร์ทั้งลูกใหม่ 400k ยังดีมีประกัน

รถยุโรปมันจุกจิกกว่าญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยโบราณกาลแล้ว
กลับกัน ยุโรปเดี๋ยวนี้ดูจะจุกจิกน้อยกว่าสมัยก่อนอีก โดยเฉพาะbm

ยุโรปไฟฟ้า เซ็นเซอร์เยอะ วัสดุดีจริงแต่ไม่ทนในระยะยาว
พวกญี่ปุ่นวัสดุกาก แต่ทนชิบ
บางรุ่นมีเซ็นเซอร์ต่างๆข้างใต้ท้องรถ มันถึงลุยน้ำไม่ดีเท่าไง ดับบ่อย
รถญี่ปุ่นน้ำเข้าเต็มรถ แต่ไม่เข้ากรองอากาศก็ยังลุยต่อได้ชิวๆ

ดีเซลbmก็ทนนะ ไม่จุกจิก ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ซ่อมทีแพง
เบ้นถ้าไม่ใช่พวกไฮบริด ปลั๊กอิน ก็ไม่ค่อยมีปัญหาเยอะ
อันนี้คือภาพรวมๆ เพราะบางคันบางรุ่น ก็มีปัญหาจริงๆนั่นแหละ

ผม g20 330e ระบบช่วยขับแจ้งเตือนเสียมาปีนี้เคลมสมองกลช่วยการขับขี่ไป3รอบ แต่ขับได้ปกติกดปิดก็ได้แต่มันเป็นของที้ควรจะใช้ได้ รอบล่าสุดเห็นบอกว่าส่งทีมแก้ไขจากเยอรมันมาดูอาการเลยทีเดียว แต่ซ่อมไวครับนัดวันเข้าไปเปลี่ยน 1วันก็เอาออกมาใช้ได้เลย
แต่ตอนนี้จอดมา1เดือน เคลมสีรอบคันไม่มีวี่แววจะโทรมาบอกว่าเสร็จ

ตอนนี้ผมอยากออก 520d อีกซักคัน แต่เมียอยากได้x1 ยังไม่รู้จะไปจบที่ตัวไหนเลยครับ

จริงครับ ไอตัวจุกจิก เสียง่าย ซ่อมยากคือพวกเซนเซอร์นั้นแหละ

ปัญหามีทุกค่ายครับ เข้ากลุ่มทุกค่ายเลยครับ
เดี๋ยวได้รับรู้แน่นอน
ทีนี้ก็มาวัดแล้ว ค่ายไหนรับผิดชอบดีสุด