เคยได้ยินประโยคนึงมา "คนที่ได้เงินเดือนเยอะ ไม่ใช่คนที่ทำงานเก่งที่สุด แต่เป็นคนที่ต่อรองเก่งที่สุดมากกว่า" เพราะฉะนะเนเงินเดืแนแรกเข้า สำคัญมากๆ

ปกติ ใช้ Trick ไหนในการพูดคุยครับกันบ้างครับ
%ขั้นต่ำที่อัพ
fixed Cost ที่เราต้องจ่ายเพิ่ม
ภาระหน้าที่มากขึ้น

หรืออื่นๆครับผม....

ไม่เห็นต้องอ้างเลย อยากได้เท่าไรก็บอกเขาไป

พูดไปตรงๆครับ ถ้าเค้าประเมินแล้วว่าคุ้มกับค่าจ้างเค้าก็ให้ตามนั้นครับ ถ้ามันสูงไปเดี๋ยวเค้าต่อรองกลับมาเอง

สำคัญคือต้องประเมินคุณค่าของตัวคุณให้ออกครับ จะได้เรตเงินเดือนที่เหมาะสม ไม่มาเสียดายทีหลัง

คุยประมาณว่า ผมได้เท่านี้อยู่ครับ ส่วนใหญ่พอสัมไปเค้าก็มาต่อรองกันเองนะ รับได้เค้าก็ offer ถ้าคุ้มค่าเค้าก็จ้างเอง

ให้หางานตอนไม่อยากย้ายงานครับ
ก่อนไปผมได้ราวๆ 56000 เค้าเสนอมาราคาแรก 50000 ผมต่อรองไปจบที่ราวๆ 87000 ประมาณนี้

โอ้ววว

ก่อนอื่นผมคิดว่า เราต้องเข้าใจ Value ของตัวเอง
exp. ที่ผ่านมาทำให้ท่านทำอะไรในส่วนไหนได้บ้าง มี achivement ส่วนตัวไหม หรือเป็นทีมที่ท่านทำ โปรเจคต์ไหนประสบความสำเร็จ หรืออยู่ในขั้นไหน เล่าขั้นตอนก่อนจะไปสำเร็จ มีปัญหา แก้ยังไง

การที่บริษัทนั้นๆจะเรียกสัมภาษณ์เข้าไป ผมเชื่อเสมอครับว่าเขาสนใจในตัวเรา ตัว exp. ที่ผ่านมาของเรา ดังนั้นเวลาเขาเรียกไปสัมภาษณ์ให้คิดซะว่าเราไปคุยกับเขาถึงภาพงานที่เรากำลังจะทำในอนาคตครับ ข้อมูลการทำงานของบริษัทนั้นๆที่เรียกสัมภาษณ์คือสิ่งสำคัญ ท่านต้องเอาข้อมูลส่วนนั้นมาสร้างความเชื่อมโยงกันกับการทำงานที่ผ่านมาของท่านให้ได้ครับ ตั้งเป็นโจทย์กับตัวเองก่อนเลยครับ เราคิดว่าเราสามารถทำอะไรให้ตัวตำแหน่งนี้ได้จากการทำงานที่ก่อนหน้าของเรา ถ้าหาคำตอบไม่ได้ ก็ต้องสร้่างขึ้นมาเบสจากความรู้ที่มีครับ ต้องเมคชัวร์ด้วยนะครับว่าคือสิ่งที่ถูก

ดังนั้นข้อสำคัญในการสัมภาษณ์ถึงสิ่งต่างๆเหล่านี้คือการพูดด้วยความมั่นใจครับ คิดสภาพว่าคุณคือสินค้า คุณจะพรีเซนต์ตัวเองยังไงให้บริษัทสนใจ พูดจุดเด่นกลบข้อด้อย พร้อมพัฒนา และที่ต้องเน้นสุดๆคือไม่พูดถึงเรื่องเงินที่ต้องการอัพครับ หากเขาถามว่าคาดหวังเงินเท่าไหร่ เราค่อยพูดเลขไปครับ +ไปในใจเผื่อต่อรองได้เลยครับ ผมเคย + ไปเผื่อแล้วเขาไม่ต่อรองก็คือได้ฐานเงินนั้นไปเลย

สัมภาษณ์ ให้ดี ถ้าสัมดีเรียกไปเลยเท่าไหร่ก็ได้เดี๋ยวเค้าก็ให้ตัวเลขเต็ม max เองถ้าเค้าอยากได้เราจริงๆ สำหรับผมถ้าเค้าไม่ให้ก็แปลว่าเค้าไม่ได้อยากได้เราจริงๆ ผมก็ไม่อยากไปทำงานให้เค้าเหมือนกันถ้าเข้าไม่ได้ต้องการเราจริงๆ

ไม่เกี่ยวกับเงินเดือนเริ่มแรกขนาดนั้น

เพื่อนผมสตาร์ทสองหมื่นต้นๆกัน ไม่ถึงสิบปีแตะแสนกลางๆกันหลายคนแล้ว

บางคนทำงานที่เดิมไม่เคยย้ายงานด้วย

เคยถามพวกมัน แทบไม่เคยมีคนไหนขวนขวายหางาน มีheadhunterติดต่อมาเองทั้งนั้น

สิ่งสำคัญที่พวกมันเหมือนกันหมดน่าจะเป็นการเลือกงานแรกหลังเรียนจบเป็นองค์กรชั้นนำที่มีที่ให้โชว์ของและมีตำแหน่งให้โต

เงินเดือนปัจจุบัน
คือสมัครด้วย Qualify เดิม แล้วได้เงินเดือนเพิ่มจากประสบการณ์

ถ้าจะสมัครใหม่ ลองเขียน CV ดู แล้วเทียบกับของเก่าดูซิว่า เรามีอะไรเพิ่มขึ้นบ้าง
เช่น ประสบการณ์ด้านใดด้านหนึ่งเป็นพิเศษ การฝึกอบรมเฉพาะทาง หรือ วุฒิการศึกษา
ตอนสัมภาษณ์ก็พูดไปตรง ๆ เทียบกับราคากลางในตลาด
ซึ่งถ้ามันดูเหมือนเด็กกระโปก อยากได้เงินซื้อของเล่นเยอะ ๆ มันก็ดูทุเรศ

ในแง่ของผู้ประกอบการ ถ้าจ่ายเิงินค่าจ้างสูงแค่ไหน
ความคาดหวังก็สูงขึ้นไปอีกหลายเท่า
ซึ่งถ้าคุณสามารถตอบสนองได้ ก็ลุยเลยครับ

สัมหลายๆที่แล้วเอา offer มาแจ้ง ถ้าเขาอยากได้เดี๋ยวเขาสู้เอง
ของผมได้เยอะกว่าที่ขอเพราะมีอีกที่ offer มาทับแล้วเขาสู้

ที่อัพได้เยอะส่วนมากคือผ่านพวก headhunt กรอกประวัติทิ้งไว้พร้อมตัวเลขที่ต้องการ ถ้ามีงานที่ตรงกับกับความต้องการเรา เดี๋ยวเค้าติดต่อมาเอง

ผิดแล้ว คนที่เงินเดือนเยอะ มันคือคนที่รู้ value ตัวเอง และต่อรองให้ไม่ได้กดราคามากกว่า

ถ้าคุณเป็นพวก job hopper หวังแค่ย้ายงานเพื่ออัพเงินเดือน สุดท้ายถ้าเงินเดือนที่ได้มามันไม่สะท้อนกับสกิลตัวคุณเอง ไม่ได้สร้าง value อะไรให้บริษัทให้สมกับเงินเดือน วันนึงเขาจะหาทางเอาคุณออกครับ

ดีที่คุณคือการเพิ่มสกิล เพิ่มคุณค่าให้ตัวเอง ประเมินคุณค่าและราคาสกิลที่คุณมีให้ถูกต้อง ถ้าบริษัทอยากได้สกิลนั้นและไม่เกินงบที่เขามีสุดท้ายเขาก็ต้องจ้างคุณ

คุณไปดูได้ พวกเงินเดือนสูง ๆ หลายคนไม่ได้ต่อรองเองนะ แต่มันเกิดจากหลายบริษัทมันแย่งตัวกันแล้วเสนอ offer เข้ามาต่างหาก

อย่าคิดหาวิธีเพิ่มเงินเดือนก่อนหาวิธีเพิ่มสกิลและคุณค่าในตัวเองครับ เพราะสิ่งที่ได้มามันไม่ยั่งยืน ยิ่งเงินเดือนสูงแปลว่าเขายิ่งคาดหวังสกิลและความสามารถจากคุณเยอะ

อย่างที่หลายๆคนตอบไปแล้วว่าให้รู้จักสร้าง value ให้ตัวเอง แต่สิ่งนึงที่คุณต้องรู้ก่อนคือ

1. Know your worth – หรือ”คุณค่า”ของตัวคุณอยู่ที่ตรงไหน ความสามารถคุณมีอะไร ซึ่งอันนี้ไม่ต้องไปแมปกับ offer งานที่ไหนทั้งนั้น แค่แมปกับตัวเองและคนรอบข้างให้ได้ เช่นในตลาดคนที่ทำงานเหมือนเราเค้ามีสกิลอะไร แล้วเรามีอะไรที่มากกว่าเค้าบ้าง เพราะถ้าคุณยังไม่รู้ net worth ของตัวเอง คุณก็ไม่สามารถเพิ่ม value ให้ตัวเองได้ครับ
2. Know your market – คือคุณต้องรู้ว่าตลาดจ่ายค่าตัวสำหรับตำแหน่งของคุณอยู่ที่เท่าไหร่ การเรียกเงินเดือนตอนเปลี่ยนงานก็ต้องเอาตัวเองไปเทียบกับตลาดด้วยเช่นกัน

การเป็น job hopper มีข้อดีคือเงินเดือนจะขึ้นได้เร็ว แต่ถึงจุดนนึงมันจะตันครับ เพราะว่า value ที่บริษัทจะได้ ส่วนใหญ่มันจะไม่สัมพันธ์กับ worth ของคุณ (เพราะเงินเดือนคุณขึ้นเร็วกว่าความสามารถ) ซึ่งการสัมภาษณ์มีผลมั้ย มีแน่นอนครับ แต่ผมบอกเลยว่าถ้าคุณเจอคนที่สัมภาษณ์มาเยอะๆ ต่อให้คุณจะพยายามขายตัวเองเท่าไหร่ คนเค้าก็มองออกอยู่ดีครับ (เพราะต่อให้คุณตอบตาม theory ดีขนาดไหน เจอ s.t.a.r ไปผมก็ไม่เห็นรอดซักคน)

นั่นคือก่อนจะไปถึงการต่อรองเงินเดือนครับ... คราวนี้ เทคนิคการต่อรองเงินเดือน แต่ละคนก็จะมีวิธีที่ต่างกัน แต่สำหรับผม ผม quantify ทุกอย่างออกมาเป็นตัวเลขครับ โดยคิดแบบ total reward package ครับ .... ซึงประกอบไปด้วยสิ่งเหล่านี้ครับ

1. Basic Pay = Salary (เงินเดือน) + Fixed Pay อื่นๆ เช่น fixed bonus
2. Variable Pay = STI (Variable Bonus, Commission ต่างๆ)
3. LTI = หุ้นของบริษัท และกองทุน
4. Passive Benefits = ประกันสุขภาพ วันหยุด วัน WFH สวัสดิการสุขภาพต่างๆ
5. Active Benefits = ค่าโทสับ ค่าช่วยเหลือเดินทาง ส่วนลดต่างๆถ้ามี หรือกระทั่งเงินกู้เรทพิเศษ
6. Emotional Reward = Culture Fit, W/L Balance, etc…

ซึ่งคุณต้องดีเป็นตัวเลขให้ได้เยอะที่สุด ซึ่ง 1-5 มันทำได้อยู่แล้ว อย่างวันหยุด คุณก็เอาเงินเดือน /30 ไปแล้ว แล้วค่อยคูณกลับว่าได้วันหยุดกี่วัน = เงินกี่บาทก็ว่าไปครับ