ทำไมเหตุการณ์ "ครูจูหลิง" ถูกพูดถึงมากที่สุด ทั้งที่ในพื้นที่ก็มีครูที่เสียชีวิตเช่นกัน
เรื่องที่น่าสนใจเหมือนกัน
ตั้งแต่ที่สามจังหวัดชายแดนใต้มีความไม่สงบ มีเหตุการณ์ก่อการร้ายเนี่ย
มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก ทั้งพลเรือน พระ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ปกครอง และอื่นๆ
แต่ทำไมข่าวการเสียชีวิตของครูจูหลิง ดูจะเป็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุด
สรุปได้สั้นๆเลยคือ เหตุการณ์นี้ค่อนข้างแตกต่างจากความรุนแรงในครั้งอื่น
เลยไปหาข้อมูลมา
https://wbns.oas.psu.ac.th/shownews.php?news_id=47408
https://prachatai.com/journal/2006/05/8447
มีข้อความที่ค่อนข้างสะเทือนใจนะครับ
Spoil
"ศิรินาถ" ครูสาวเพื่อนร่วมชะตากรรมเลือด "จูหลิง" สุดสะเทือนใจเมื่อต้องมาร่วมพิธีศพเพื่อนสาว พร้อมเปิดใจถึงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมบ้านกูจิงลือปะอีกครั้งด้วยความเศร้าใจ เผยแม้เพื่อนคนนี้จะจากไป แต่จะไม่มีวันลืมภาพความทรงจำอันโหดร้ายที่ร่วมชะตากรรมเลือดด้วยกัน
หลังจากต่อสู้กับความตายมาตลอด 7 เดือน ในที่สุด น.ส.จูหลิง ปงกันมูล ครูอัตราจ้างโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ หมู่ 4 ต.เฉลิม อ.ระแงะ จ.นราธิวาส เหยื่อแห่งความทารุณได้สิ้นลมอย่างสงบที่โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ด้วยอาการปอดติดเชื้อ เมื่อช่วงเย็นวันที่ 8 มกราคม ทั้งนี้ แถลงการณ์โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ จำนวน 234 ฉบับ ยืนยันได้อย่างดีว่า ตลอด 7 เดือนที่ผ่านมา ครูจูหลิงต้องต่อสู้กับความบอบช้ำภายในที่ถูกทิ้งไว้จากฝีมือผู้ไม่หวังดีตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2549 ท่ามกลางการเฝ้ารอของคนไทยทั้งประเทศ หวังเห็นแม่พิมพ์คนนี้กลับมาทำหน้าที่อีกหน แต่ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง เมื่อคณะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจาก 18 สาขาไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้กระทั่งจากไปอย่างสงบ
โศกนาฏกรรมเลือดครั้งนี้ไม่ได้มีเพียง น.ส.จูหลิง ที่เผชิญชะตาชีวิตที่เจ็บปวดเพียงลำพัง น.ส.ศิรินาถ ถาวรสุข ครูอัตราจ้างโรงเรียนบ้านกูจิงลือปะ คืออีกคนที่ยังไม่ลืมความเจ็บปวดที่ฝังลึกอยู่ในความทรงจำชนิดยากลืมเลือนในวันนั้น และ ณ วันนี้ ครูศิรินาถ ทรุดตัวลงนั่งข้างร่างไร้วิญญาณของครูจูหลิง พร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัวขณะอยู่ในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพเพื่อนรัก เมื่อครั้งหนึ่งเคยผ่านนาทีเป็นนาทีตายมาด้วยกัน
วันนี้ครูศิรินาถย้ายตัวเองออกมาช่วยราชการนอกพื้นที่ชั่วคราว และยอมรับว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะหวนกลับไปยังจุดเริ่มต้นแห่งความสะเทือนใจที่สุดในชีวิตอีกครั้ง พร้อมย้ำว่า ตลอด 7 เดือนได้อยู่ใกล้ชิดกับเพื่อนรักมาตลอด และภาวนาว่าขอผลบุญจากการทำความดีที่เคยทำไว้ช่วยหนุนส่งให้ ครูจูหลิงลืมตากลับมามองหน้าเพื่อนที่เคยผ่านพ้นมรสุมครั้งสำคัญในชีวิตด้วยกันอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไร้ปาฏิหาริย์ แต่อย่างน้อยเพื่อนคนนี้ก็ไม่ต้องทรมานอีกแล้ว
ครูศิรินาถ เริ่มต้นบทสนทนาย้อนเหตุการณ์นาทีเป็นนาทีตายให้ฟังอีกครั้ง แม้จะมีท่าทางที่ไม่เต็มใจนักก็ตามว่า ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงวันของวันที่ 19 พฤษภาคม ซึ่งตอนนั้นออกจากโรงเรียนและนั่งซ้อนท้ายรถจักยานยนต์เพื่อนครูเพื่อไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวที่ร้านไม่มีชื่อหน้าโรงเรียน และขณะรับประทานอาหารสังเกตเห็นชาวบ้านออกมารวมกลุ่มประมาณ 50 คน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้หญิงแทบทั้งหมด โดยห่างจากร้านก๋วยเตี๋ยวไม่ถึง 100 เมตร แต่เพราะเชื่อว่าคงเป็นการรวมตัวเพื่อทำภารกิจทางศาสนาในช่วงวันศุกร์ตามปกติเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ต่อมาจึงรู้ว่าสาเหตุชาวบ้านรวมกลุ่ม เพราะทหารเข้าไปจับคนในหมู่บ้านคดีความมั่นคง และขณะที่รับประทานก๋วยเตี๋ยวในชามเหลือก้นถ้วย เพื่อนครูที่นั่งด้วยกันบอกว่า ชาวบ้านตะโกนเป็นภาษามลายูโดยจะจับครูไทยพุทธเป็นตัวประกันเพื่อแลกกับผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวก่อนหน้านี้ จึงใช้วิธีการทำตัวให้กลมกลืนด้วยการยืมผ้าคลุมศีรษะ แต่กลับถูกสตรีคนหนึ่งในหมู่บ้าน กระชากผ้าคลุมพร้อมลากแขนออกนอกร้าน
"ขณะที่ถูกลากดิฉันยังถูกฝ่ามือของใครบางคนตบตีอีกหลายครั้ง ก่อนนำตัวไปบนชั้น 2 ของโรงเรียน และพบกับครูจูหลิงที่มีสภาพบอบช้ำไม่ต่างกัน จากนั้นเราทั้งสองถูกลากลงมาชั้นล่างอีกครั้งพร้อมกัน" ครูศิรินาถเล่าถึงเหตุการรณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเศร้า พร้อมเล่าต่อว่า จากนั้นกลุ่มชาวบ้านก็นำตัวเธอและครูจูหลิงกักขังไว้ในห้องเก็บของที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในหมู่บ้าน ห่างจากโรงเรียนประมาณ 400 เมตร โดยต่างคนต่างอยู่ในสภาพหวาดกลัว ได้แต่มองหน้าปลอบใจให้กำลังใจกัน และหวังว่าคงจะไม่มีอะไรรุนแรงไปกว่านี้
ครูศิรินาถ เล่าถึงเหตุการณ์อันเป็นฝันร้ายของชีวิต ต่อว่า เราทั้งคู่อยู่ในห้องมืดไม่ถึง 10 นาที มีเพื่อนครูมุสลิมเข้ามางัดหน้าต่าง แต่สตรีกลุ่มหนึ่งที่มีหน้าที่คุมเชิงอยู่บอกว่า ให้เวลาคุยกันได้ไม่นาน จึงร้องบอกไปว่า ขอให้คนมาช่วยชีวิต ต่อมาไม่นานนักมีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งงัดประตูเข้ามาภายใน จากนั้นลงมือทุบตีเราสองคน ขณะที่จูหลิงกัดฟันป้องกันตัว จึงถูกทำร้ายจนแขนหัก และมีบาดแผลบริเวณศีรษะเลือดอาบ ส่วนตนเองก็ถูกกระทืบจนล้มฟุบด้วยความกลัว จึงพยายามกระเสือกกระสนพาร่างเข้าไปหลบใต้เตียง
"ตอนนั้นมีเสียงวัยรุ่นคนหนึ่งอ้างว่าต้องการจับครูเป็นตัวประกันเพื่อแลกให้ปล่อยตัวชาวบ้านที่ถูกจับกุม โดยให้ทั้งคู่เป็นคนเจรจากับเจ้าหน้าที่ทหาร-ตำรวจให้ปล่อยตัวคนที่ต้องการ" ครูศิรินาถ กล่าว
ครูศิรินาถ บอกว่า นาทีนั้นกลุ่มวัยรุ่นที่รุมทำร้ายได้แยกย้ายหนีออกไปหมดแล้ว จึงหันไปเห็นครูจูหลิง นอนแน่นิ่งจึงพยายามเรียก และเห็นอาการตอบรับในขณะที่ศีรษะมีเลือดไหลออกมาเป็นลิ่ม จึงรวบรวมกำลังกายทั้งหมดลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อยกศีรษะเพื่อนมาแนบกับอกพร้อมใจว่า ”เราต้องผ่านวันนี้ไปให้ได้"
ครูศิรินาถ กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า จากวันนั้นถึงวันนี้พยายามลบความทรงจำสีเลือด แต่ก็ยังไม่เห็นหนทางใดที่จะสลัดภาพวันที่เราสองคนมีสภาพชุ่มไปด้วยเลือดได้เลย แต่วันนี้รู้สึกภูมิใจที่มีเพื่อนครู ประชาชนมาร่วมพิธีศพกันเยอะ แต่ความเสียใจก็ยังมีอยู่ ที่ว่าอยู่ในเหตุการณ์กับเพื่อนและต้องมายืนอยู่ในงานศพเพื่อนอย่างนี้ เป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ หากจูหลิงสามารถรับรู้ได้ คิดว่าขณะนี้จูหลิงยังอยู่แถวๆ นี้ยังไม่ได้ไปไหน เหมือนยังมีชีวิตอยู่
"ขณะนี้แม้ว่าบาดแผลที่ถูกทำร้ายร่างกายจะหายเป็นปกติแล้ว แต่จิตใจยังย้ำแย่ อีกทั้งเมื่อมางานศพเพื่อนที่อยู่ร่วมเหตุการณ์ยิ่งทำให้รู้สึกสะเทือนใจ โชคดีที่เพื่อนคนนี้หลับสนิทไป พร้อมกับจบเรื่องราวอันโหดร้ายในความทรงจำได้เสียที เหลือเพียงฉันคนเดียวที่ยังคงถูกตามหลอกหลอนในทุกค่ำคืนที่คิดถึงครูจูหลิง" ครูศิรินาถ กล่าวด้วยความสะเทือนใจด้วยความอาลัยถึงเพื่อนที่จากไป พร้อมย้ำว่าขอให้เพื่อนครูทุกคนทำงานเพื่อเด็กและประเทศชาติต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ