มันมีปัจจัยหลายอย่างครับ

ถ้ายัดทุกอย่างลงสไลด์แล้วพูดชัด ครบ ไม่กินเวลา อันนี้ผมโอเค และผมชอบแบบนี้ที่สุด เพราะถ้าฟังไม่ทันหรือไม่เข้าใจ เราขอให้เขาแชร์สไลด์มาให้เราได้ หรือถ้าเวลาจำกัด ก็พูดย่อๆ ลงก็ยังได้
อันนี้อยู่ที่การเตรียมตัว พูดตามสไลด์แบบซ้อมกับไม่ซ้อมมันดูออก

ถ้าใส่อะไรลงสไลด์น้อย แต่พูดเยอะ ถ้าเราตามไม่ทันแล้วขอสไลด์มาดู อันนี้คือถ้ามาดูย้อนหลังอาจจะไม่ได้อะไรเลย

สไลด์เป็นศาสตร์และศิลป์ อย่าอัดทุกอย่างเข้าไปเพราะมันไม่ใช่หนังสือไม่มีเวลาอ่านกันหรอก และอย่ามีแต่หัวข้อเพราะผู้ฟังบางคนหัวไวต้องมีคำอธิบายย่อๆ ไว้ด้วย คนกลุ่มนี้อ่านแว๊บเดียวเขาเข้าใจทะลุเลย ผมเคยเจอประเภทวางสไลด์ยังไม่ทันพูดหัวข้อ นายใหญ่บอกว่าไม่ต้องพูดเข้าใจหมดแล้ว เขาขอเจาะหัวข้อนั้นเลย.. ทำเอาคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องนั่งมึนไปหมด มีผมกับนายใหญ่รู้เรื่องกันแค่ 2 คน

เรื่องการ present มันฝึกกันได้ขึ้นอยู่กับว่าจะฝึกกันหรือเปล่า แต่บางคนก็น่าเห็นใจเห็นนั่งท่องเป็นวันๆ แต่ present ไม่ได้เรื่อง ทั้งๆ ที่เป็นงานที่ตัวเองทำด้วยนะ สำหรับผมไม่รู้ว่ามันเป็นไปได้ยังไง ไม่เคยท่องแต่ไม่มีปัญหาการ present หลักการทำสไลด์ของผมคือมีหัวข้อและมีคำอธิบายสั้นๆ ที่เหลือก็พูดไปในลักษณะที่ว่าทำอย่างไรเขาฟังแล้วจึงจะเข้าใจเหมือนเรา สไลด์แผ่นนึงใช้เวลาพูดประมาณ 5 นาที
ครั้งหนึ่งนายใหญ่นัด dignosis ผมก็ถือโอกาสเตรียมสไลด์ 30 หน้า กะว่าเหมาคนเดียวครึ่งวัน นายต้องเข้าใจสิ่งที่ผมทำเหมือนนายเป็นคนทำเอง พอถึงเวลานายบอกว่าผมรู้เรื่องของคุณหมดแล้วให้เวลาพูดแค่ 5 นาทีพอ ที่เหลือยกเวลาให้ลูกน้องไป ให้เขาได้ฝึกพูดกันบ้าง จากสไลด์ 30 หน้าดึงออกมาแค่ 3 หน้า ต่อรองขอเวลา 15 นาที นายหัวเราะบอกมึงมันดื้อแต่ก็ยอมให้ จริงๆ คือ ขอดึงเวลาหน่อยให้ลูกน้องเตรียมตัวเตรียมใจเพราะจะช็อคกันหมดแล้ว

ตอนผมพรีเซ้น แม่งมีแต่รูป

หัวข้อ และตัวหนังสือนิดๆ

ที่เหลือพูดหมดเลย และโดนยิงคำถามตลอด เวลาทำสไลด์กินเวลาชีวิตมากจัดผมกับพาร์ทเนอร์

ผู้ที่รับฟัง คือระดับอาวุโสใน บ หมดเลย ทำปีละครั้งโคตรเหนื่อย แต่เสร็จมาแล้วได้คำชม โคตรภูมิใจ

คิดว่าเปผ็นคนไม่เก่งครับ หรือไม่ได้เตรียมตัวมา หรือไม่หด้รู้ดีเทลในงานที่จะนำเสนอ

ส่วนใหญ่เข้าใจเนื้อหานะแต่เวลาพรีต่อหน้าคนเยอะๆบางทีมันตื่นเต้น ที่คิดไว้มันพูดไม่ออกตะกุกตะกักเฉยๆเลยกลายเป็นยืนอ่านตามสไลด์