มหากาพย์ ชูวิทย์ VS ทนายตั้ม
—————
▪️ยกที่ 1: แฉไป ไถไป
▪️ยกที่ 2: ทนายตั้มแถลง
▪️ยกที่ 3: ชูวิทย์แถลง
▪️ยกที่ 4: ทนายตั้ม VS ชาวทัวร์
▪️ยกที่ 5: แถลงไป ไถไป
▪️ยกที่ 6: รองเลขาธิการ ปปง. คนถือถุง?
▪️ยกที่ 7: ทนายตั้ม VS ทนายนิด้า
▪️มองอีกมุม
—————
⚫️ ยกที่ 1: แฉไป ไถไป
:
1- เรื่องนี้เริ่มจากอยู่ ๆ “ทนายตั้ม ษิทรา” เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชนฯ ก็โพสต์รูปถุงกระดาษ 2 ใบที่มีเงินหลายปึกอยู่ในถุง พร้อมแคปชั่น “แฉไป ไถไป” และเขียนเพิ่มในคอมเมนต์ว่า ‘ไถสีเทามา 50 ล้าน บริจาคเอาหน้าที่ละ 3 ล้าน สร้างประเด็นตีข่าวแล้วไถ ใครยอมจ่ายก็ไม่พูดถึง เราจะยกย่องคนแบบนี้เป็นฮีโร่จริงหรือ’
2- โพสต์นี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงเพราะคีย์เวิร์ดต่าง ๆ เช่น แฉ, ฮีโร่ ทำให้คนนึกถึง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์” อดีตเจ้าพ่ออ่างและอดีตนักการเมืองคนดังที่กำลังเดินหน้าแฉหลายเรื่อง ทั้งทุนจีนสีเทา เว็บพนันออนไลน์ วงการตำรวจ และการทุจริตต่าง ๆ อย่างที่ไม่เคยมีใครกล้าพูดมาก่อน ทำให้คนจำนวนมากมองเขาเป็นฮีโร่
3- หลังทนายตั้มโพสต์ได้ไม่กี่ชั่วโมง ชูวิทย์ก็โพสต์ภาพที่เขาเอาเงิน 6 ล้านไปบริจาคให้โรงพยาบาล 2 แห่ง คือ
▪️ 14 ก.พ. 66 บริจาค 3 ล้านให้ รพ.ธรรมศาสตร์
▪️ 15 มี.ค. 66 บริจาค 3 ล้านให้ รพ.ศิริราช
4- ชูวิทย์ยอมรับว่าเงินในถุงนั้นเป็นเงินของ “สารวัตรซัว” (ตำรวจที่ชูวิทย์แฉว่าเป็นเจ้าของเว็บพนันรายใหญ่) โดยนายตำรวจนอกราชการคนหนึ่งเอามาให้ตนที่โรงแรมเดวิส (โรงแรมของชูวิทย์) พร้อมกับขอให้หยุดโจมตีสารวัตรซัว
5- ชูวิทย์ไม่ยอมรับเงินแต่ก็ถูกยัดเยียดให้รับ เขาจึงตัดสินใจนำเงินทั้งหมดไปบริจาคให้โรงพยาบาล ชูวิทย์ย้ำว่า “ผมไม่ใช่ฮีโร่ ผมเป็นโจร แต่เป็นโจรที่เอาเงินบาปไปทำบุญเหมือนกับโรบินฮู้ด”
6- ส่วนเงิน 50 ล้านที่ทนายตั้มพูดถึง ชูวิทย์ยืนยันว่าไม่มี แต่ถ้ามีเขาก็จะเอาไปบริจาคอีก พร้อมตั้งคำถามถึงทนายตั้มว่า คนที่จะถ่ายรูปถุงเงินนี้ได้ก็ต้องเป็นเจ้าของเงินใช่ไหม
—————
⚫️ ยกที่ 2: ทนายตั้มแถลง
:
7- วันรุ่งขึ้นทนายตั้มก็แถลงข่าวว่า เรื่องนี้เขาได้ข้อมูลมาจากคนใกล้ชิดของชูวิทย์เอง เดิมทีชูวิทย์เป็นไอดอลของเขา แต่เมื่อรู้เรื่องนี้เขารับไม่ได้จึงออกมาพูด เพื่อให้สังคมได้รู้ว่าการที่ชูวิทย์แฉนั้นเพื่อสังคมหรือเพื่อตัวเองกันแน่ หรือเป็นเพียงโรบินฮู้ดจอมปลอม
8- ทนายตั้มเล่าว่า เวลาชูวิทย์เอ่ยชื่อใครออกสื่อ คนนั้นจะรีบเข้าหาโดยประสานผ่าน ‘กล่องดวงใจ’ ของชูวิทย์ ซึ่งสนิทสนมกับแก๊งเว็บพนัน (ทนายตั้มไม่ได้เอ่ยชื่อกล่องดวงใจแต่คาดว่าหมายถึง “เติมตระกูล” ลูกชายชูวิทย์)
9- สารวัตรซัวก็ติดต่อผ่านกล่องดวงใจเพื่อเข้าพบชูวิทย์ โดยคนที่อยู่ในเหตุการณ์มอบถุงเงินวันนั้นมี 6 คน คือ
▪️ ชูวิทย์
▪️ กล่องดวงใจของชูวิทย์
▪️ ตำรวจที่เป็นมือขวาชูวิทย์
▪️ เจ้าของเว็บพนัน คนสนิทสารวัตรซัว
▪️ ข้าราชการที่มากับเจ้าของเว็บ
▪️ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่คนทั้งประเทศต้องตกตะลึงถ้ารู้ชื่อ-ตำแหน่ง
10- ชูวิทย์อ้างว่านำเงิน 6 ล้านไปบริจาคหมดแล้ว แต่ความจริงเงินในถุงมี 10 ล้าน การที่ชูวิทย์รีบออกมายอมรับก็เพราะจนต่อพยานหลักฐาน ถ้าบริสุทธิ์ใจจริงต้องพูดตั้งแต่ตอนสารวัตรซัวติดต่อมา
11- ทนายตั้มยังบอกอีกว่า เบื้องหลังการแฉสารวัตรซัวเกิดจากอาบอบนวดแห่งหนึ่งซึ่งเดิมเคยเป็นของชูวิทย์และได้ขายให้ “เสี่ยกำพล” เมื่อหลายปีก่อน (ปัจจุบันเสี่ยกำพลตกเป็นผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์และหลบหนีมากว่า 3 ปีแล้ว) ต่อมาเสี่ยกำพลขายต่อให้สารวัตรซัว มีการปรับปรุงอาคาร เปลี่ยนชื่อเป็น “ลาลิซ่า” และเตรียมเปิดตัวอีกครั้ง
12- หลังจากนั้นชูวิทย์ก็เล่นเรื่องสารวัตรซัวเป็นฉาก ๆ แล้วขอเงินครั้งละ 10 ล้านอย่างน้อย 2 ครั้ง และพยายามขอเพิ่มอีก 10 ล้าน จนอีกฝ่ายเอือมระอาจึงไม่ยอมให้อีก พอไม่ให้ปรากฏว่าลาลิซ่าเปิดได้วันเดียวก็เจอตำรวจบุกตรวจค้น
13- อีกคนที่ไปพบชูวิทย์คือ “แทนไท” (เคยถูก “สนธิ ลิ้มทองกุล” แฉว่าเกี่ยวข้องกับเว็บพนัน) โดยแทนไทไปพบชูวิทย์เมื่อ 21 ม.ค. 66 จะสังเกตว่าชูวิทย์แทบไม่แตะแทนไทเลย เคยพูดถึงครั้งเดียว แล้วพอกล่องดวงใจพาแทนไทมาพบ ชื่อแทนไทก็หายไปจากสารบบ โดยแทนไทได้โอนเงินสกุลดิจิทัล 50 ล้านเข้าบัญชีของกล่องดวงใจ
14- ทนายตั้มยืนยันว่าเขาไม่มีความโกรธแค้นส่วนตัวกับชูวิทย์ ไม่ได้รับงานจากแก๊งพนันออนไลน์ และไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ที่ออกมาพูดเพราะผิดหวังในตัวชูวิทย์ และไม่อยากให้มีอาชีพแบบนี้เกิดขึ้นในสังคม
—————
⚫️ ยกที่ 3: ชูวิทย์แถลง
:
15- ถัดมาเพียง 2 ชม. ชูวิทย์ก็แถลงบ้าง โดยบอกว่าคนที่เอาข้อมูลไปบอกทนายตั้มชื่อ “เปา” เป็นเด็กที่ชูวิทย์อุปการะไว้ตั้งแต่เล็กและเป็นคนติดตามชูวิทย์ ต่อมาชูวิทย์ติดคุก 10 เดือน ระหว่างนั้นมอบหมายให้เปาไปเก็บค่าเช่าคอนโดแต่เปาฮุบเงินไว้เอง พอจับได้เปาก็ลาออกไปทำงานกับสารวัตรซัว
16- ชูวิทย์ยืนยันว่าในถุงมีเงิน 6 ล้านเท่านั้น คนที่นำเงินมาให้เป็นอดีตนายตำรวจ 2 คน ชื่อย่อ ป. กับ อ. สองคนนี้บอกว่าสารวัตรซัวอยากเคลียร์ทุกอย่างให้จบเพราะต้องการเปิดลาลิซ่า แต่ตนไม่รับเคลียร์ จะเห็นว่าหลังจากวันนั้นตนก็ยังแฉสารวัตรซัวอยู่
17- ส่วนเรื่องเงินสกุลดิจิทัล 50 ล้าน ชูวิทย์ยืนยันว่าตนและลูกไม่เคยได้รับ สามารถตรวจสอบได้ หากทนายตั้มมีหลักฐานก็เปิดมา แต่ยอมรับว่ามีนายตำรวจคนหนึ่งพาแทนไทมาพบจริง แต่ไม่ได้เอาเงินมาให้ แค่มาหารือเรื่องจะฟ้องสนธิ
18- ชูวิทย์ชี้แจงว่า เหตุผลที่เขาไม่ได้แฉแทนไทก็เพราะ หนึ่ง - มีข้อมูลเกี่ยวกับแทนไทน้อยมาก และสอง - แทนไทแปลงไปทำธุรกิจที่ถูกกฎหมายแล้ว
19- ชูวิทย์ตั้งคำถามถึงทนายตั้มว่ารับงานใครมาโจมตีเขา และได้เงินเท่าไหร่ ทนายตั้มเป็นทนายความแต่กลับไม่แจ้งความ ไม่ฟ้องศาล ไปนั่งแถลงข่าวเหมือนคนหิวแสง จะเป็นทนายประชาชนหรือทนายเซเลบฯ
20- ชูวิทย์ได้มอบหมายให้ “ทนายเปี๊ยก อนันตชัย” ดำเนินคดีกับทนายตั้ม ทนายเปี๊ยกบอกว่าต่อไปนี้หากทนายตั้มให้สัมภาษณ์หรือแถลงข่าวให้ชูวิทย์ได้รับความเสียหายอีก จะฟ้องเรียกค่าเสียหายครั้งละ 100 ล้านบาท
21- ต่อมา รพ.ศิริราช กับ รพ.ธรรมศาสตร์ แถลงว่าจะคืนเงินบริจาคทั้งหมดให้ชูวิทย์ เพื่อความสบายใจของสังคม เนื่องจากอาจเป็นเงินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจผิดกฎหมาย
—————
⚫️ ยกที่ 4: ทนายตั้ม VS ชาวทัวร์
:
22- เรื่องนี้ทำให้ทนายตั้มโดนทัวร์ลงหนักมาก เพราะสังคมส่วนใหญ่เลือกทีมชูวิทย์ ตัวอย่างความคิดเห็นจากทีมชูวิทย์ เช่น
▪️ สิ่งที่ชูวิทย์ทำมีประโยชน์ต่อสังคม แล้วสิ่งที่ทนายตั้มทำอยู่มีประโยชน์ต่อใคร?
▪️ การที่ทนายตั้มรู้ว่าใครเป็นเจ้าของเงิน แต่กลับมาเล่นงานชูวิทย์ เหมือนกำลังปกป้องคนชั่ว
▪️ ชูวิทย์ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ แต่ทนายตั้มกลับไปตั้งคำถามว่าทำไมหยุดแฉคนนี้? ทำไมไม่แฉคนนั้น? แทนที่จะไปกดดันเจ้าหน้าที่รัฐให้ไล่บี้ตามที่ชูวิทย์เปิดประเด็นไว้
▪️ ทนายตั้มไปฟังคนอื่นพูดมาแล้วก็ปักใจและโพสต์ทันที หากมีหลักฐานว่าชูวิทย์ทำผิดก็ควรไปแจ้งความหรือฟ้องศาล ไม่ใช่มาตั้งโต๊ะแถลงข่าวหาแสง
▪️ เทาทั้งคู่ แต่ทีมชูวิทย์เพราะสิ่งที่เขาทำมีประโยชน์ต่อประเทศชาติมากกว่า
23- ในช่วงแรกทนายตั้มปะทะกับทัวร์จนน็อตหลุด และตอบคอมเมนต์หนึ่งว่า “อย่าโง่ให้มาก เขารู้กันหมดประเทศแล้ว” ทำให้คนยิ่งวิพากษ์วิจารณ์ทนายตั้มหนักกว่าเดิม
24- นอกจากนี้ทนายตั้มยังโดนวิจารณ์เรื่องไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป จากทนายประชาชนมาเป็นทนายเซเลบฯ ขับรถหรู เที่ยวต่างประเทศ แบรนด์เนมทั้งตัว ถ่ายรูป-ออกทีวีเหมือนดารานายแบบ
25- ทนายตั้มบอกว่าเขารู้ตัวอยู่แล้วว่าต้องเจอรถทัวร์ เพราะเหมือนเขาไปใส่ร้ายฮีโร่ของสังคม เขาไม่โกรธคนที่พากันมาทัวร์ลงเลย จะไม่ลบ ไม่ปิดกั้น ไม่บล็อก และไม่ฟ้อง แต่อีกไม่นานทุกคนก็จะได้เห็นความจริง เมื่อถึงเวลานั้นก็ขอให้ใจดีกับเขาบ้าง
26- ทัวร์ลงหนักไปอีกเมื่อทนายตั้มโพสต์ภาพไปทำบุญที่วัดกับภรรยา พร้อมแคปชั่น ‘สาปแช่งคนที่รับเงินชั่วของแก๊งสารวัตรซัว ขอให้รับผลกรรมโดนยึดทรัพย์หมดตัวทั้งตระกูล’ โพสต์นี้ทัวร์แห่มาลงทนายตั้มมากกว่า 2 หมื่นคอมเมนต์
—————
⚫️ ยกที่ 5: แถลงไป ไถไป
:
27- ชูวิทย์แฉทนายตั้มกลับด้วยการโพสต์ใบเสนอราคาของบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม (สำนักงานกฎหมายของทนายตั้ม) ซึ่งเรียกรับเงิน ‘ค่าแถลงข่าวออกสื่อ’ จากลูกความ 3 แสนบาท ชูวิทย์เขียนแคปชั่นว่า “แถลงไป ไถไป” และบอกว่ามิน่าถึงได้แถลงข่าวบ่อยเหลือเกิน
28- ทนายตั้มตั้งโต๊ะชี้แจงว่า 3 แสนบาทนั้นไม่ใช่ค่าแถลงข่าว แต่เป็นค่าใช้จ่ายที่ตนอาจถูกฟ้องในอนาคต ตนเรียกเก็บเฉพาะเคสที่คาดว่าโดนฟ้องกลับแน่ ๆ และลูกความก็มีสิทธิ์เลือกว่าจะเอาหรือไม่เอา อย่างเคสที่ชูวิทย์โพสต์นั้นลูกความไม่เอา
29- สื่อมวลชนบอกว่าไม่สบายใจกับเรื่องนี้เพราะรู้สึกเหมือนถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างข่าวให้ทนายตั้ม ทนายตั้มจึงบอกว่าต่อไปจะปรับเปลี่ยนไปใช้คำอื่นให้เห็นชัดว่าเป็นค่าเสี่ยงภัย ไม่ใช่ค่าแถลงข่าว เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด
30- ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ทนายตั้มยอมรับว่าตอนนี้ตนมีเงิน เพราะเปิดบริษัทรับว่าความมานาน 1 ปี ทำคดีมานับพันคดี เงินของเราเรามีสิทธิ์ใช้ เราทำงานมาเหนื่อย อยากพาครอบครัวไปเที่ยวผิดด้วยหรือ เราแต่งกายใช้ของมียี่ห้อก็เป็นเงินที่ได้มาอย่างสุจริต ภาษีก็จ่ายถูกต้อง ธุรกิจก็ถูกกฎหมาย โปร่งใสทุกอย่าง
—————
⚫️ ยกที่ 6: รองเลขาธิการ ปปง. คนถือถุง?
:
31- นอกจากนี้ทนายตั้มยังเปิดเผยชื่อข้าราชการ 2 คนที่อยู่ในเหตุการณ์เอาถุงเงินไปให้ชูวิทย์ว่า คือ
▪️ พล.ต.ท.ปอง (นามสมมุติ) อดีตผู้การนครศรีธรรมราช ซึ่งเกษียณไปแล้ว
▪️ รองเลขาธิการ ปปง. ซึ่งมีความสนิทสนมกับชูวิทย์
(ปปง. = สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน)
32- ทนายตั้มบอกว่าเนื่องจากคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เป็นข้าราชการระดับชั้นผู้ใหญ่ เป็นถึงรองเลขาธิการ ปปง. ถ้าเขาส่งเรื่องให้ ปปง.ตรวจสอบเลยก็คงไม่คืบหน้า เขาจึงต้องทำให้เป็นข่าวก่อน
33- ในขณะเดียวกัน “อัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์” ก็ไปแจ้งความดำเนินคดีกับรองเลขาธิการ ปปง. และอ้างว่าจากการตรวจสอบเส้นทางการเงิน พบว่ามีเงินจากเว็บพนันโอนเข้าบัญชีภรรยารองเลขาธิการ ปปง. หลายล้านบาท
34- รองเลขาธิการ ปปง. รีบออกมาปฏิเสธว่าตนไม่รู้เรื่องถุงเงินสารวัตรซัว ภรรยาก็เป็นแค่แม่บ้านธรรมดา ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับกลุ่มสีเทา และเตรียมฟ้องคนที่พาดพิง
—————
⚫️ ยกที่ 8: ทนายตั้ม VS ทนายนิด้า
:
35- ทีนี้มีอีกประเด็นแทรกเข้ามา เนื่องจากระหว่างแถลงข่าวทนายตั้มบอกว่าตนพาลูกความไปออกรายการไหนไม่เคยเรียกเงิน แต่ได้ยินว่ามีทนายหญิงคนหนึ่งเรียกเก็บเงินจากลูกความตัวเองค่าไปออกรายการ “โหนกระแส” ครั้งละ 3 แสนบาท ให้ลองไปถาม “หนุ่ม กรรชัย” ดู
36- หนุ่ม กรรชัย ก็บอกในรายการ “ข่าวใส่ไข่” ว่าเคยได้ยินเรื่องนี้จริง มีกลุ่มทนาย (ซึ่งไม่ใช่ทนายตั้ม) มาบอกตนว่ามีคนไปออกโหนกระแสและถูกทนายความท่านนี้เรียกเก็บเงิน 3.5 แสนบาท เป็นค่าวิชาชีพและค่าเสียเวลาที่ทนายต้องไปออกรายการด้วย
37- หลังมีข่าว “ทนายนิด้า” ก็โพสต์ชี้แจงว่า เนื่องจากสังคมสงสัยว่าเป็นเธอ จึงขอยืนยันว่าไม่เคยเรียกเก็บเงินในลักษณะนี้จากลูกความ ไม่เข้าใจว่าทนายตั้มจะพูดให้คนอื่นเสียหายทำไม หลายเคสแล้วที่เน้นเปิด ไม่เน้นปิด แต่เน้นทิ้งบอมบ์
—————
⚫️ มองอีกมุม
:
38- อีกมุมหนึ่งก็มีคนมองว่า ทัวร์อย่าลงทนายตั้มจนลืมมองว่าชูวิทย์รับเงินเว็บพนันมาจริง แทนที่จะซ้อนแผนจับหรือเปิดโปงกลับเอาไปบริจาคและอุบเงียบ เป็นไปได้ว่ามีขบวนการโจรตบทรัพย์โจรเกิดขึ้นจริง และที่น่าตกใจคือคนระดับรองเลขาธิการ ปปง. เป็นคนไปเจรจาแทนเว็บพนัน ขอให้สังคมอย่าลืมติดตามประเด็นนี้ว่าจริงหรือไม่
https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=pfbid0TzykPZmJeSqywfCPrqYHsksk2rd6qZwszUX4GthjxUs9pgDNr3ZJbuCnDQxpTzGCl&id=100044714585781&mibextid=Nif5oz