[RE: ราคาค่าประกันรถยนต์ tesla อย่างเป็นทางการ]
hubbaman พิมพ์ว่า:
byrd.tt พิมพ์ว่า:
ผมเห็นราคาละ ส่วนตัวไม่ได้ตกใจนะ และผมก็บอกหลายรอบมากๆๆๆ แล้วว่าจุดประสงค์ของการมาของรถไฟฟ้าคือ”ลดมลภาวะ” ถ้าความต้องการคือประหยัด ผมว่าการไปออกรถไฟฟ้าไม่ใช่ทางแก้ปัญหาในระยะยาวอยู่แล้วครับ
ปล. รถยุโรปราคาพอๆกัน ประกันก็หกหมื่นอยู่นะครับ ผมถึงบอกว่าไม่ได้น่าตกใจครับ
ขอสอบถามหน่อยครับ ตอนนี้ผมเล็ง EV อยู่ เพราะมองเรื่องของความประหยัด แต่ที่ท่านว่ามา แปลว่าไปซื้อพวก Hybrid จะประหยัดกว่าหรือเปล่าครับ
แล้วแต่มุมมองครับ ส่วนเรื่องจะประหยัดไหม ท่านต้องดูการใช้งาน รถ EV ถึงมีมานานแต่เทคโนโลยีมันอยู่ในช่วง Early bird ครับ ทำให้การออกทั้งตัวรถ ทั้ง Infrastructure มันตอบโจทย์แค่คนเฉพาะกลุ่มในตอนนี้
ถ้าท่านสามารถวางแผนได้ มีตารางการขับที่แน่นอน ลองคำนวณเทียบกันได้ครับ
ผมเคยนั่งทำคำนวณ ในกลุ่ม ECO car เทียบกับ กระบะ Isuzu ที่ราคาอยู่ในช่วง 600,000 บาท ใน 1 แสนกิโล รถ EV จะประหยัดค่าน้ำมันไป 250,000-300,000 บาท เทียบกับรถกระบะ (ค่าไฟใช้ช่วง OFF peak ชาร์จที่บ้าน และน้ำมันดีเซล) ถ้าท่านใช้ชาร์จข้างนอกด้วย หรือ รถเป็นน้ำมันเบนซินที่ราคาอยู่ในช่วงนี้ อาจจะต้องเทียบใหม่ ว่ากี่ กิโลที่ไปชาร์จข้างนอก เป็นเงินเท่าไรในค่าพลังงานของรถ
ไม่ได้คิดค่าประกันและราคาขายต่อนะครับ คิดค่าพลังงาน ค่าบำรุงรักษาใน 1 แสนกิโล
คราวนี้ 1 แสนกิโลใช้เวลาขับกี่ปี และหลังจากครบเวลารับประกัน ราคาการเปลี่ยนแบตตอนนั้นจะเท่าไร ยังไม่มีใครตอบได้ครับ นั้นคือว่าเสี่ยงที่ต้องรับ
ถึงค่าประกันต่อปี จะแพงกว่า 2 เท่า แต่ปีนึงส่วนต่างกับรถน้ำมันก็คงอยู่ราวๆ 15000-20000 บาทต่อปี จะเห็นว่าบางการใช้งานของคนในกลุ่มที่มันตอบโจทย์ มันอาจจะคุ้มมากก็ได้
ข้อจำกัดของมันที่ผมเห็นมีอะไรบ้าง
1. ความน่าเชื่อถือ - เนื่องจากยังไม่มีใครใช้ในระยะยาวอย่างแพร่หลาย หมายถึงหลัก 5-6 ปีขึ้นไปนะครับ คนใช้อยู่ตอนนี้เต็มที่ก็ 3 ปี ทำให้ยังมีความไม่แน่นอนในเรื่องการซ่อม บริการ อะไหล่ ถ้าต้องรอ ท่านมีรถสำรองไหม หรือจะเดินทางยังไง ศูนย์มีบริการอะไรในตรงนั้นบ้างหรือเปล่า บางคนมีรถได้แค่คันเดียว ส่วนนี้อาจจะเป็นส่วนสำคัญ บางคนมีมอไซค์หรือรถสำรอง อาจจะคิดว่า เอาประหยัดเข้าว่าก่อน
2. การเดินไกลต้องวางแผน - อันนี้เป็นเพราะระบบ Infrastructure มันยังไม่กว้างขวางและระบบการชาร์จ มันถูกจำกัดด้วย Power charger ยิ่งชาร์จเร็ว ชาร์จด้วยพลังงานที่สูง จะมีการสูญเสียในระบบมากขึ้น ถ้าจอดชาร์จแค่ 30-45 นาที อาจจะไม่เต็ม 100% ท่านต้องชาร์จที่ไหนต่อ วิ่งอีกกี่กิโล แล้วต้องต่อคิวนานไหม อะไรแบบนี้ มันไม่เหมือนรถน้ำมัน ที่คนเคยชินกับการใช้และมีระบบพวกนี้พร้อมอยู่แล้ว
3. ความขำนาญของศูนย์บริการ - เนื่องจากมันใหม่มาก ช่างที่ชำนาญ ศูนย์ที่ชำนาญ เรียกได้ว่า ไม่มีเลย ทำให้การประเมินการซ่อมอาจจะผิดพลาดได้ เหมือนเคสที่ต้องเปลี่ยนแบตยกลูก แล้ว Lithium ion ตอนนี้ต้องนำเข้าทั้งหมด แถมเป็นสินค้าอันตรายต้องขนส่งแบบพิเศษ ราคาค่าส่งก็แสนแพง แต่พอบริษัทแม่เข้าไปดู บอกว่าไม่ต้องเปลี่ยนแบต ซ่อมแบบนี้ได้ ราคาก็ลดลง << ผมไม่แน่ใจนะครับ เทียบกับรถน้ำมันเป็นอย่างไร เพราะผมยังไม่ได้ซื้อใช้เอง
ของแบบนี้ ต้องลองดูตามการใช้งานของท่านเองครับ แต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ถ้าคิดว่าใช้ไฟฟ้าเพราะหยัดจริง แต่มันไม่ตอบโจทย์การใช้งานส่วนตัว แล้วท่านก็นั่งแท็กซี่ หรือเช่ารถ หรือเกิดอุบัติเหตุแล้วค่าซ่อมเกินจะรับไหว มันก็อาจจะไม่คุ้มกับตัวท่านเองครับ