เรื่องมีอยู่ว่า

ผมยื่นภาษีไปตามปกติ และได้ภาษีส่วนที่จ่ายเกินไปคืนมาเรียบร้อยแล้วครับ แต่ผมลืมไปว่าลืมกรอก shop ดีมีคืน เลยยื่นแบบไปอีกครั้งนึง

คราวนี้มีหนังสือจากกรมสรรพากรส่งมาที่บ้านผม แจ้งว่าผมยื่นแบบไม่ถูกต้อง ให้ผมยื่นใหม่ โดยเนื้อความแจ้งว่า ผมต้องยื่นรายได้ที่ได้จากบริษัท C เป็นจำนวน 15,465.92 บาท

ซึ่งในปี 2565 บริษัท C ได้ว่าจ้างผมให้มาเปิดออฟฟิศในวันหยุดเพื่อบำรุงรักษาเครื่องจักร โดยมีค่าตอบแทนให้ผมครั้งละ 1,000 บาท

แต่ทั้งนี้ในปี 2565 ผมได้มาเปิดออฟฟิศให้บริษัท C เข้ามาดำเนินการจำนวน 4 ครั้ง เป็นเงิน 4,000 บาท

ซึ่งบอกก่อนว่าผมไม่เคยนำรายได้ส่วนนี้ยื่นภาษีเลย เพราะเค้าให้เงินสดเป็นรายครั้ง และไม่คิดว่าบริษัท C จะนำค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปยื่นเป็นค่าใช้จ่ายในนามบริษัท ซึ่งผมคิดว่าเสมือนเป็นการว่าจ้างทั่วๆไป

คราวนี้พอผมรู้ผมตรวจสอบกับบริษัท C ทันที ปรากฎว่า มีคนบริษัท C ละเมิดนำข้อมูลส่วนตัวผม (สำเนาบัตรประชาชน) ไปใช้เบิกที่อื่นเกินกว่ามูลค่าความเป็นจริง โดยที่ผมไม่รู้เรื่อง ซึ่งบริษัท C รับทราบแล้ว และขอไกล่เกลี่ยกับผม โดยขอไม่ให้ผมแจ้งความ และยินดีชดใช้ค่าความเสียหาย

ผมควรเลือกทางเลือกไหนครับ ระหว่าง

1.เรียกเงินส่วนต่างที่ผมต้องเสียภาษีเพิ่ม สมมติผมต้องเสียเพิ่ม 2,000 ก็เรียกเก็บเค้า 2 พันพอ

2.เรียกเก็บตามมูลค่าที่ผมใช้ยื่นแบบจริง ทวิ 50 แจ้งมาว่า 15,465.92 แต่ผมได้รับเงินจริง 4,000 ก็เรียกเก็บ 11,465.92 บาท + ค่าทำขวัญอะไรก็ว่าไป

ซึ่งผมได้ไปลงบันทึกประจำวันเรียบร้อยแล้ว แต่ไม่อยากแจ้งความให้เรื่องยืดเยื้อน่ะครับ โดยบริษัท C แจ้งว่าผมอยากเรียกเท่าไร ให้แจ้งไปก่อน เค้าจะเสนอข้างบนให้อีกทีน่ะครับ

ปล.ทั้งนี้ผมได้ตรวจสอบแล้วว่าเกิดจากความผิดพลาดของพนักงานที่มักง่ายเอาข้อมูลของผมไปเบิกที่อื่น ไม่ได่มีเจตนาทุจริตแต่อย่างใดครับ ซึ่งผมก็รู้จักกับพนักงานคนนี้ดี

ยังไงรบกวนขอคำแนะนำด้วยครับ

ข้อ 2 สิ ถ้าไปข้อ 1 มันจะเข็ดมั้ยล่ะ อารมณ์แบบคน"แอบเอาข้อมูลส่วนตัว"ไปทำผิด พอโดนจับได้ก็บอกว่า ขอโทษนะแล้วกันไปนะ ซึ่งมันไม่ได้ไง ความผิดเกิดไปแล้ว ให้ดีน่าจะเรียกเกินที่โดนสรรพากรเรียกไปเยอะ ๆ หน่อยแล้วให้เขาแบ่งจ่ายมา

ค่าตกใจ 100 เท่าของมูลค่าที่แอบเอาข้อมูลไปใช้

ถ้าตอบแบบเร็วๆคือเรียกไปเยอะๆไว้ก่อนครับ คิดว่าบ. C น่าจะพยามไกล่เกลี่ย แล้วก็ขอจ่ายเพียงไม่เท่าไรจากทีเรียกไป (ไม่น่าถึง 50%)

ทีนี้ผมไม่ทราบว่าคุณได้เปิดเผยตัวเผยตัวเลข 2,000 ที่โดนเรียกเก็บเพิ่มไปกับพนักงานคนนั้นหรือบ. C หรือยังนะ เพราะตัวเลขนี้อาจจะเป็นตัวเลขที่พวกเขาขอจ่ายคุณ

เผลอๆจะให้พนักงานคนนั้นที่คุณรู้จักดีมาคุยทำนองว่าเป็นเงินตัวเขาเองที่เอามาจ่ายคุณ เพราะบ. C ให้เขาต้องรับผิดชอบ (เรียกความสงสารจากคุณ)

สุดท้ายคือคุณอาจจะพิจารณาโอกาสในการทำงานกับ บ C ในอนาคต ถ้าคิดว่าทางนั้นอาจจะยังจ้างคุณอีก การเรียกเงินในราคาสูงๆอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับ บ C ต้องเสียไป (รวมถึง Connection) ส่วนนี้อาจจะต้องถี่ถ้วนที่สุดครับ

ส่วนพนักงานคนนั้นที่คุณว่ารู้จักดี ก็ต้องพิจารณาว่าจะรักษาความสัมพันธ์ต่อมั้ย เพราะสำหรับผมข้อมูลส่วนตัวพวกนี้สำคัญมาก การเอาไปทำธุรกรรมจนสรรพากรมาเรียกเก็บแบบนี้นับว่าร้ายแรง (สำหรับผม) ไม่ว่าจะเจตนาแบบใดก็ตามที

อันนี้เป็นบทกฎหมายมั้ยครับ

ผมไม่ได้เปิดเผยที่ผมต้องจ่ายสรรพากรเพิ่มครับ

ส่วนเท่าที่รู้มา บ. ให้ช่างเป็นคนรับผิดชอบค่าความเสียหายที่ผมจะเรียกน่ะครับ

ซึ่ง บริษัท ให้ผมบอกตัวเลขไป แต่เค้าบอกแบบคุณเลย บอกว่าเรื่องเกิดจากพนักงานพลาด ไม่ใช่จงใจทุจริต

ผมยังไม่ได้บอกตัวเลขไป งั้นขออนุญาตถามเพิ่มครับ ถ้าเป็นคุณจะเรียกไปที่เท่าไรครับ

ตรงไปตรงมาคงเรียกเท่าที่ต้องจ่ายเพิ่มครับ ถ้าผมรู้จักกับพนักงานคนนั้น(ช่าง)ในระดับหนึ่งนะครับ ถ้าเชื่อว่าไม่มีเจตนาจริงๆ ยังพอคบกันต่อไปได้ครับ

ถ้าไม่รู้จักเลย และพิจารณาแล้วว่าจะไม่ติดต่อร่วมงานกันอีก ทางบ.C ไม่ได้มี Connection อะไรที่จะส่งผลตามมา คงเรียกราวๆ 50,000 บาทอ้างว่าเป็นค่าเสียเวลา ต่อรองเหลือไม่ต่ำกว่า 25,000 ทำนองนั้นครับ

ขอบคุณมากครับท่าน ขออนุญาตถามอีกอย่างครับ

แล้วถ้าเค้าจ่ายค่าความเสียหาย ค่าเสียเวลาแล้ว

มันจะมีหนังสือ แบบฟอร์มในเนตมั้ยครับ ที่เซ็นยินยอมทั้ง 2 ฝ่าย ผมจะได้เตรียมไว้ครับ

ไม่ครับ แต่ถ้าอยากให้เรื่องจบโดยไม่ถึงตำรวจ ก็ขอเงินเท่านี้อะครับ
บ้าเปล่าเอาบัตรเราไปใช้เนี่ยนะ

ผมคิดว่ามีนะครับ

ยังไงอย่าลืมอ้างอิงเลขบันทึกประจำวันลงไปในสัญญา แล้วก็สำเนาให้อีกฝ่ายไว้ (เซนรับทราบสำเนาทั้งบ. C และผู้จ่ายค่าเสียหาย)

ทางนั้นไม่อยากให้แจ้งความ แสดงว่าอยากจบเรื่องประมาณหนึ่งเหมือนกัน แต่ป้องกันเหตุในอนาคตไว้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยุ่งยากเกินไปนักครับ

ขอบคุณมากครับท่าน กราบบบบ