มุสโสลินี เผด็จการผู้โหดเหี้ยมผู้นี้ตั้งตนเป็นผู้นำ และเริ่มต้นยุคความโหดร้ายในอิตาลี และพบจุดจบที่ไร้เกียรติในตอนท้ายของชีวิต
.
ลัทธิฟาสต์ซิสปลุกเร้าขบวนการชาตินิยมซึ่งกำลังเติบโตในยุโรปซึ่งเป็นผลมาจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและการปฏิวัติบอลเชวิก หรือการโค่นล้มอาณาจักรรัสเซียโดยนักสังคมนิยมในประเทศ เมื่อปี 1917
.
เมื่อเดือนตุลาคม 1922 พายุลูกหนึ่งก่อตัวขึ้นที่อิตาลี ในไม่ช้า ลัทธิฟาสซิสต์ ขบวนการทางการเมืองที่ใช้ความโกรธเคืองเป็นพลัง ผสมรวมแนวคิดคลั่งชาติ ประชานิยม และความรุนแรงเข้าด้วยกันอย่างอันตรายจะกลืนกินประเทศที่บอบช้ำแห่งนี้ และโลกเกือบทั้งใบ
.
เบนิโต มุสโสลินี ผู้นำแห่งขบวนการดังกล่าวในอิตาลีรวบรวมสร้างฐานผู้ติดตามที่เข้มแข็ง และเริ่มเรียกร้องให้รัฐบาล “มอบอำนาจ” ให้กับตนเอง
.
ในปีต่อๆ มา มุสโสลินีสั่งสมเพิ่มพูนอำนาจของตนเองพร้อมกับค่อยๆ ลิดรอนสิทธิพลเมืองของประชาชน และก่อตั้งรัฐตำรวจอันเต็มไปด้วยโฆษณาชวนเชื่อ เป้าหมายของเขาแพร่ขยายออกจากขอบเขตของการเมืองภายในประเทศ
.
ความทะเยอทะยานของมุสโสลินีคือจุดจบของเขา แม้เขาจะนำอิตาลีเข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สองในฐานะอำนาจอักษะเคียงคู่กับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้ที่ดูเหมือนว่าไม่มีผู้ใดหยุดยั้งเขาได้
.
กษัตริย์วิกเตอร์เอมมานูเอลที่สามชักจูงพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของมุสโสลินีให้หักหลังเขา และ ในวันที่ 25 กรกฎาคม 1943 พวกเขาก็สามารถขับไล่เขาออกจากอำนาจได้สำเร็จและจับกุมตัวเขา
.
หลังการแหกคุกที่น่าตื่นตา มุสโสลินีหนีไปยังพื้นที่ของอิตาลีที่ยังคงถูกยึดครองโดยเยอรมนี ที่ซึ่งเขาถูกกดดันโดยฮิตเลอร์ให้จัดตั้งรัฐบาลหุ่นเชิดที่อ่อนแอและมีอายุเพียงไม่นาน เมื่อวันที่ 28 เมษายน 1945 ในยามที่ชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรใกล้มาถึง เขาพยายามหนีออกจากประเทศแต่ถูกจับตัวได้โดยกองโจรคอมมิวนิสต์ ก่อนจะถูกยิงทิ้งและ นำศพไปทิ้งที่จตุรัสสาธารณะในมิลาน
.
ในไม่ช้า กลุ่มฝูงชนก็มารวมตัวกันและย่ำยีศพของเผด็จการผู้นี้เพื่อปลดปล่อยความเจ็บแค้นจากความเกลียดชังและการสูญเสียที่สั่งสมมานานหลายปี ศพที่จำแทบไม่ได้ของเขาถูกฝังในหลุมศพนิรนามในท้ายที่สุด
.
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของเราในช่องคอมเมนต์
.
เรื่อง เอริน เบลคมอร์ / แปล ภาวิต วงษ์นิมมาน