เท่าที่ผมจำไม่ผิด เดิน7ก้าวเป็นเรื่องที่สาวกแต่งขึ้นมาภายหลังนะครับ

พื้นฐานพุทธมาจากศาสนาพรามณ์ เดิน7ก้าวก็แค่เปรียบเปรยการทำนายว่า7แคว้นที่เด็กคนนี้จะได้ไปทำในสิ่งที่ต้องการทำ นิทานชาดกก็แค่ส่วนเสริมให้มีรสมีชาติพุทธง่ายๆคือ นิยายสอนว่าอันนี้ดีอันนี้ผิดเป็นต้น หลักสำคัญของศาสนาพุทธคือหลักธรรม
พระพุทธก็สิ้นไป พระสงฒก็ลดศักยภาพรอวันเสื่อมไปตามกาลเวลาตามสังคม แต่หลักธรรมแท้ๆไม่ผ่านการปรุงแต่งเพื่อคนบางกลุ่มจะอยู่ตลอดไป อยู่ที่คนที่เป็นคนพุทธจะรักษาไว้รูปแบบไหน เรื่องศาสนาทุกศาสนาในโลกล้วนเพื่อคนในสังคมๆหนึ่งอยู่ด้วยกันได้ด้วยกฎระเบียบที่ตราไว้โดยกลุ่มคนๆหนึ่ง หลังๆเริ่มมีกฎหมาย ศาสนาบางศาสนาจึงลดบทบาทลงไป ผิดพลาดประการใดขออภัยเน่อครับ

1. พระพุทธเจ้า เกิดมาไม่ได้เดิน ได้ 7 ก้าว ==> มันคือเรื่องแต่ง เปรียบเปรยให้ดูพิเศษ ให้เป็นแรงจูงใจสำหรับคนรุ่นก่อนๆ เข้ามาศึกษาธรรม

2. พระพุทธเจ้าไม่ได้ เกิด ตรัสรู้ ปรินิพพาน ในวันเดียวกัน มันคือเรื่องแต่ง เหมือนเดิม

3. พระพุทธเจ้า ตายด้วยโรคบิด ไม่ได้ละสังขารได้เอง

ถ้าจะกล่าวหา อย่างน้อยควรศึกษาก่อนว่าอะไรคือเรื่องเล่า อะไรคือ fact

หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าศาสนาผีแบบไทยๆที่มีพุทธเป็นเปลือกนอกบางๆว่าเป็นพุทธทั้งหมด หลายเรื่องก็เป็นนิทานที่คนเมื่อ2500ปีก่อนแต่ง ก็ไม่น่าเอามาเป็นสาระ(แต่หลักสูตรไทยก็เอามาใส่ในหนังสือ หัวจะปวด)

สิ่งที่ผมชอบในการนั่งอ่านกระทู้แบบนี้ คือการได้นั่งอ่านความคิดที่แตกต่างในแต่ละคนครับ

บางคนยึดแนวคิดตัวเองแบบใครไม่เชื่อตามเมิงจะดูโง่ไปในทันที

บางคนพยายามเชื่อมโยงเหตุผลเท่าที่รู้เพื่ออธิบาย และหาคำตอบ

บางคนเปิดรับความคิดเห็นทั้ง2ด้าน

บางคนปฏิเสธไปเสียทุกอย่าง

บางคนไม่ต้องมีเหตุผลอะไรมาก แค่อยากจะเหยียดแนวคิดที่ไม่ชอบเพื่อสะใจล้วน ๆ

มันสนุกจนเลิกเล่นบอร์ดไม่ได้จริง ๆ ครับ

มันขึ้นอยู่กับปัญญาของแต่ละคนที่มีมากน้อยไม่เท่ากัน​ ปัญญาในพระพุทธศาสนามีเพียงอย่างเดียวคือปัญญาในการออกจากทุกข์​ จะนับถืออะไรมันไม่สำคัญหรอกหากคุณสามารถทำให้ใจตนเองสงบสุขได้​ นั่นคือทุกอย่างในชีวิต

คนเรารักสุขเกลียดทุกข์​ เป้าหมายคนเราจึงเป็นการพยายามให้ชีวิตนี้มีความสุขให้มากที่สุด​ แล้วก็จบกัน​ ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไรของชีวิต

เรื่องของเรื่องคือมันตายแล้วไม่จบ​ และการแรนด้อมกรรมนั้นก็ทารุณโหดร้ายเกินกว่าที่คนจะจินตนาการไปถึง​ นั่นแหละครับเลยจำเป็นต้องมีพระพุทธศาสนา​ ใครไม่เข็ดก็ลุยต่อ ใครหลาบจำก็หาทางหยุด​ มันแค่เราจะรู้ตอนไหน​ แล้วจะมีปัญญาสอนตนเองได้มั้ย​ ถ้าควบคุยกายใจได้สมบูรณ์ก็จบกิจ​ ไม่ต้องมาเกิดอีกต่อไป​ แค่นี้แหละ​ใจความ​ ส่วนพวกเปลือกๆนั้นมันของแถม​ ชาติเก่าๆถ้าเคยทำได้พอฝึกไม่นานมันก็ได้อีก​ ถ้าชาติเก่าๆไม่เคยทำเลยพยายามทั้งชาติก็อาจไม่ได้อะไร​ แต่ก็ต้องพยายามต่อไปหากหวังดีกับตนเองจริงๆ

ศาสนาไม่เท่ากับวิทยาศาสตร์อยู่แล้วเพราะวิธีคิดวิธีหาคำตอบต่างกัน

ส่วนศาสนาพุทธเราก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วมันเป็นยังไง ใช้วิธีอนุมานเอาก็ไม่ได้เพราะเราไม่รู้บริบทสังคมโดยรวมของสังคมเมื่อสมัยสองพันกว่าปีที่แล้วเป็นยังไง

จริง ถ้า...ไม่เอาความเชื่อศาสนาพราหมณ์และผีสางเข้ามาด้วยครับ

มันไม่เกี่ยวอยู่แล้ว

และทุกศาสนา อยากจะให้พูดให้ตรงหรือแย้งกับวิทยาศาสตร์ก็ได้ทั้งนั้น
แล้วแต่การประดิษฐ์คำมาแต่งเติม หรือใช้ประโยชน์กัน

อันนี้พอบิดๆให้ตรงกันกับวิทย์ได้ ก็เคลม

ถ้าอันไหนไม่ตรง ก็ให้บอกว่าเป็นนิทานไปสิ


แต่สุดท้ายก็เหมาๆรวมไปเลยว่าพุทธ = วิทยาศาสตร์
ทั้งๆที่ในนั้นแม่งก็เต็มไปด้วยนิทานอะไรไม่รู้เต็มไปหมด

พุทธศาสนา คือหลักปรัชญาอิงธรรมชาติ ทรงเดียวกับเต๋า

ส่วนติ่งวิทยาศาสตร์ แล้วมาแซะเรื่อง เกิดมาแล้วเดิน7ก้าว เกิด/ตายวันเดียวกัน
การไม่ศึกษามาก่อนแต่รีบแซะ วิทยาศาสตร์สุดๆไปเลยครับ

วิทยาศาสตร์=ทุกอย่างที่เกิดขึ้นจริงครับ
ฉะนั้นถ้าถามว่า พุทธ=วิทย์หรือไม่ ก็ต้องมาคุยกันว่าเราจะคุยถึงเรื่องอะไรในศาสนาพุทธ และสิ่งนั้นมันจริงหรือไม่


แต่ถ้าจะคุยกันถึงเรื่องพุทธประวัติก่อนอื่นต้องแยกแยะให้เป็นก่อนครับ ว่าอันไหนคือเรื่องจริงอันไหนคือเรื่องแต่ง ซึ่งตรงนี้ผมไม่ค่อยอยากพูดถึงอ่ะ เพราะผมเข้าใจว่าการจะเผยแพร่ศาสนาให้กับคนที่นับถือไฟไหว้ผีสางเทวดาเมื่อ2500ปีที่แล้ว มันต้องเอาปาฏิหาริย์มาชวนเชื่อก่อนแล้วค่อยแทรกเนื้อหาหลักธรรมคำสั่งสอนลงไป นี่ผ่านมา2500ปีแล้ว พิสูจน์ได้แล้วว่าบนฟ้ามีชั้นบรรยากาศไม่มีเทวดา ใต้ดินมีแต่แมกม่าไม่มีขุมนรก ก็เลยมีแต่คนโง่งมงายเท่านั้นแหละที่ถือเรื่องปาฏิหาริย์ในเรื่องเล่าเป็นเรื่องหลักของศาสนาพุทธ ไม่ว่าจะพูดถึงในด้านเคารพหรือในด้านไม่เชื่อถือก็ตาม


แต่ถ้าว่ากันด้วยหลักธรรมคำสั่งสอนต่างๆ สิ่งที่ว่ามาจากความคิดของคนเมื่อ2500ปีที่แล้ว มันน่าอัศจรรย์มากครับ ที่เรียนรู้ธรรมชาติของมนุษย์ และหาวิถีชีวิตที่ถ้าทุกคนยึดถือตามนั้น มนุษย์จะสงบสุขได้ถึงขนาดนั้นในเวลานั้น และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความสมเหตุสมผล เป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้จริงเลยอิงไปกับหลักวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

อันนี้นอกเรื่องแต่อยากบ่นหน่อยเถอะ คือตามประวัติที่ร่ำเรียนกันมา จะเรื่องจริงหรือเรื่องเล่าอะไรก็ตาม จะเห็นว่าบุดดาพยายามจนเกือบตายตั้งหลายรอบกว่าจะตรัสรู้ และหนีออกมาจากศาสนาที่ท่านไม่ชอบ แต่ผ่านมา2500ปี มีประเทศหนึ่ง ที่บอกว่าเป็นเมืองพุทธ ดันเอาเทพในศาสนาที่ท่านพยายามแทบตายกว่าจะหลุดพ้นได้มาบูชาคู่กับท่านซะงั้น เชี่ย โคตรย้อนแย้งอ่ะ.....

ก็นี่แหละคือเหตุผลที่ผมล่ะคนนึงที่คิดว่าไม่วิทยาศาสตร์เอาซะเลย อันนี้คือแบบอะไรเคลมได้เคลม อะไรเคลมไม่ได้บอกนิยายแต่งขึ้นมา ไม่เกี่ยวกับวิทย์ ตกลงจะเอาไงแน่

ผมไม่ได้คิดว่าพุทธเป็นวิทยาศาสตร์นะครับ

แต่ที่ท่านพิมพ์มามันน่าจะต้องตั้งข้อสงสัยถึงหลักสูตรและตัวบุคคลไหมครับ ไม่น่าเกี่ยวกับตัวคำสอนของศาสนา

เพราะจากที่ท่านพิมพ์มันคือพฤติกรรมคนล้วนๆ การเคลมก็เป็นคนนับถือพุทธเคลม หลักสูตรก็เป็นคนในกระทรวงเป็นผู้เขียนขึ้น

ไม่ใช่ว่าศาสนาพุทธเคลมด้วยตัวเองหรือออกหลักสูตรให้เราได้เรียนกันเอง เพราะตัวคำสอนของศาสนาก็มีเท่าเดิมมาเป็นพันปี
จะมีแตกออกก็ไปตามนิกาย เพราะงั้นถ้าจะพิจารณาว่าเป็นวิทยาศาสตร์ไหม

ในมุมผมคิดว่าน่าจะไปดูในสิ่งที่พุทธสอนมากกว่าพฤติกรรมของสาวกน่ะครับ

นักวิทย์ค้นพบทฤษฏีแล้วต้องพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นด้วย คนถึงจะเชื่อและยอมรับ

แต่พุทธพิสูจน์อะไรไม่ได้เลย ได้แต่บอกว่าต้องทำเองถึงจะรู้

คำถามคือใครจะยอมทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ไม่รู้ว่ามีรึเปล่า

ผมคนนึงละไม่เอา

ถ้าเทียบกับยุคปัจจุบัน ศาสนาพุทธ ไม่เท่ากับ วิทยาศาสตร์แล้วครับ มันมีหลายอย่างโดนลบล้าง โดนพิสูจน์ว่าไม่จริง โดนอัพเดทแพทช์ ละก็ยังมีอีกหลายสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้

แต่ในอดีตมันมีความเป็นวิทยาศาสตร์จริงๆครับ เพียงแต่ว่า มันเป็นวิทยาศาสตร์ในสมัยนั้นอะ สมัยโบราณเลย

สิ่งที่ทำให้มีความเป็นวิทยาศาสตร์คือ มันมีการทดลอง มีการตั้งทฤษฎี มีการปฏิบัติ มีการวัดผล และสุดท้ายมีการ "ค้นพบ"

ซึ่งการ "ค้นพบ" ที่สำคัญที่สุดคือ "นิพพาน" การหลุดพ้นซึ่งกิเลส หลุดพ้นซึ่งทุกข์ พูดให้ใกล้ความจริงที่สุดคือ อยากจะรู้สึกอะไรก็รู้สึกได้ อยากจะไม่รู้สึกอะไรก็ไม่รู้สึกได้ ปัจจัยต่างๆไม่มีวันมากระทบความรู้สึกเราได้อีกเลย

ซึ่งอาศัยการปฏิบัติที่หนักหน่วงเอามากๆ

การสร้างหลักธรรมของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าปัจจุบันจะถูกพิสูจน์ตามวิทยาศาสตร์ที่ก้าวล้ำไปตามสมัย อันนั้นจริงบ้าง อันนั้นไม่จริงบ้าง ไม่ต่างกับทฤษฎีของอริสโตเติล ไอแซ็คนิวตัน ที่ถูกลบล้างไปตามกาลเวลา

ของพระพุทธเจ้านี่ ถ้าไม่นับทฤษฎีที่เกี่ยวกับการฝึกจิต มันก็ถูกลบล้างไปกาลเวลาจริงๆนะ มีแต่บทสวดที่สาวกแต่งให้ว่า อะกาลิโก ทำให้คนพุทธหลายคนเลือกเชื่อเรื่องที่อยู่ในคัมภีร์ มากกว่า fact ในชีวิตจริงซะอีก

แต่สิ่งที่ต้องยอมรับว่า วิธีที่พระพุทธเจ้าสร้างหลักธรรม มันสอดคล้องกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์อยู่มากๆ

มีการสังเกต มีการจินตนาการ มีการตั้งสมติฐาน มีการทดลองทำ อะไรงี้ มันเกิดจาก Action จริงๆ

สิ่งที่ทำให้ศาสนาพุทธมันดูเหนือมนุษย์ส่วนใหญ่มาจากพวกสาวกสร้างเรื่องแต่งทั้งนั้น

บวกกับคนไทยที่เอาพุทธ ไปรวมกับผีฟ้า(ความเชื่อโบราณของไทย) และยังปะปนกับพราหมณ์อีก

พูดก็พูด พระไทยยังแยกไม่ออกเลย อันไหนพุทธ อันไหนพราหมณ์ อันไหนผี

ย้ำอีกรอบว่า มันมีความเป็นวิทยาศาสตร์มาจาก action ที่มันสอดคล้อง ไม่ได้บอกว่า พุทธ = วิทยาศาสตร์นะ