BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ผู้ช่วยผู้จัดการทีมชุดใหญ่
Status: たぶん
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 6352
ที่อยู่: soccercirclejerk
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 13:17
สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ



สงสัยว่าตอนยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี อะไรเป็นสาเหตุให้ที่กำแพง atlantic wall ที่ขึ้นชื่อว่าหนาแน่น ในขณะนั้นถึงแพ้ได้ครับ เหมือนเคยดูคลิปหนึ่งบอกว่าตอนฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลบุก ฮิตเลอร์กำลังหลับพอดี พวกนายพลอยากจะขอกำลังเสริมแต่ไม่กล้าโทรไปปลุก แล้วก็อีกข้อหนึ่งถ้าสมมุติฝ่ายสัมพันธมิตรบุกแล้วยังไม่สำเร็จ ควรจะบุกต่อไหมครับหรือยกเลิกภารกิจ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
ซุปตาร์ฟุตบอลโลก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 May 2022
ตอบ: 10794
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 13:20
[RE]สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ
สับขาหลอกครับ หลอกว่าจะขึ้นอีกหาดนึง อักษะเลยทุ่มกำลังไปหาดนั้นจำชื่อไม่ได้ละ แต่กองทัพใหญ่ฝั่ง allie ไปขึ้นนอมังดี
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: #YSTN
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 29571
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 13:25
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
ไม่ทางที่จะยกทัพไป แล้วลุ้นว่าหัวหน้าอีกฝั่งจะเผลอ(นอน)มั้งครับ

คิดว่า ตัวแปรหลักคือ การถอดรหัสสื่อสารของอักษะได้ เลยมั่นใจมาฝั่งหาดนอร์ได้
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ซุปตาร์ฟุตบอลโลก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 19 May 2011
ตอบ: 21134
ที่อยู่: -
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 13:26
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
ทยอยบุกมาหลายรอบแล้วครับ จนฝั่งเยอรมันไม่รู้ว่าจะบุกจริงวันไหน
ละพื้นที่ให้ป้องกันก็ยาวมาก แถมไม่ใช่พื้นที่ถนัดของตัวเอง
ฝั่งบุกก็จัดมาครบ บก น้ำ อากาศ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ค.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 3861
ที่อยู่: BKK Thailand.
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 13:45
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
หลอกล่ออย่างยุบยับเลยครับ.

มีเป็นสิบๆปฎิบัติการเพื่อให้เยรมันเข้าใจจุดที่จะบุก กำลังพล และช่วงเวลาผิดพลาดครับ.
กระทั่งเอานายพลชื่อดังไปนั่งบัญชาการในจุดที่ไม่ได้บุกครับ.

ทั้งสายลับสองหน้าก็รายงานจุดอื่น วิทยุก็หลอกว่าไปที่อื่น.
มีกระทั่งเอาเครื่องบินไปทิ้งหุ่นทหารปลอมโดดร่มที่นอมังดี เพื่อให้ทางเยรมันตอบสนองช้าลงถ้าเอาพลร่มไปลงจริงๆครับ.
เรื่องไม่ตื่นนี่คือเป็นประเด็นรองนิดนึงครับ คือเยรมันโดนแล้วอยากเอากองพลรถถังมาอุด แต่ไม่ทันเพราะไม่กล้าปลุกฮิตเลอร์ครับ.
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ค.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 3861
ที่อยู่: BKK Thailand.
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 13:51
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
ถ้าสนใจแบบสรุปๆไปดูสารคดีปนหนังเรื่อง "The World Wars มหากาพย์สงครามโลก".

กระชับดีครับ เพลินๆ.
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะอบจ.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 3605
ที่อยู่: ทองหล่อ ซอย 10
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 13:53
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
สาเหตุคือวางแผนมาดีแหละครับ แล้วก็ได้โชคช่วยด้วยในหลายๆเรื่อง เช่น สภาพอากาศที่ดีขึ้น

ส่วนการบุกผมว่าคงบุกเรื่อยๆแหละครับ คงไม่ยกเลิกแล้ว คือต้องเข้าใจก่อนว่า ในการบุกไม่ใช่ว่าจะบุกสำเร็จทุกจุดนะครับ ถูกผลักดันให้ถอยร่นก็มี รุกไม่คืบก็มี เอาง่ายกว่าจะชนะที่ปารีสสัมพันธมิตรตายไป 2 ล้านกว่าคนแล้ว
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
แข้งบุนเดสลีกา
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 8526
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 14:21
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
มันเป้น operation ย่อยๆ แยกมา แต่หลักๆคือก่อนหน้ายกพลขึ้นบก มีการทำข้อมูลลวง มากมายเพื่อให้เยอรมันเชื่อว่าจะยกพลขึ้นบก ที่อื่น แล้วก็ให้เข้าใจว่าช้ากว่าบุกจริงไปอีกสักพัก
ระหว่างนั้น แนวรับ ก็ถูกสปายมาหมดว่าเรดาร์อยู่ไหน ป้อมปืนอยู่ไหน พอจะบุกก็ ทำลายเรดาร์ จากกำลังทางอากาศซึ่งสำคัญสุดในการบุก
ที่เลือกวันนี้ เพราะว่าจะเอา วันพระจันทร์เต็มดวง บุกเที่ยงคืน เพราะ พระจันจะอยู่สูง กลางฟ้า ทหให้เครื่องบินเห็นชัด ไม่มีเงามาบัง แต่เอาเขาจริงคือ สภาพอาการมันแย่ แต่ก็เพราะอากาศมันแย่ ทางเยอรมันคิดว่ามันจะมีพายุ ก็ไม่ได้คาดคิดว่าสัมพันธมิตรจะบุกแทน

พอบุกจริง แผนที่วางไว้เรื่องจะทุ่มกำลังทิ้งระเบิดที่หาดก็เหลว เพราะ เมฆเยอะ มองไม่เห็นเป้า เคลียร์กับระเบิดก็ช้า ดีที่สัมพันธมิตร ได้เปรียบด้วยจำนวนเรือมหาศาล ทำให้ สามารถให้ส่งกำลังเข้าไปได้ต่อเนื่อง สุดท้ายก็ส่งคนขึ้น ไปลุยกับปืนกล กับ รถถัง

ไอ้เรื่องไม่กล้าโทรไปปลุกนี้ก็ปญอเกินครับ
เพราะเยอรมัน ตอนนั้น มีแค่ 2 แผนเองว่าจะตั้งรับที่หาดหรือ ตั้งรับในเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผบ.เยอรมันทะเลาะกันตลอดในช่วงก่อนยกพลขึ้นบก ฮิตเลอร์ก็สั่งให้ส่งรถถังไปเพิ่มด้วยเพราะ คิดว่าถ้าสัมพันธมิตรขึ้นบกได้จะต้องรับศึกหลายทางมากขึ้น พูดตามหลักคือเป็นจุดตาย

พอโดนยึดหาดได้ เยอรมันที่ ครองน่านฟ้าในยุโรปไม่ได้เหมือนช่วงแรกของสงครามโลก ก็รับมือไม่ค่อยเป็นชิ้นเป็นอัน

2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
Talent bringt dich an den start, Einstellung ans ziel.
พรสวรรค์นำคุณไปที่จุดเริ่มต้น ทัศนคตินำคุณไปสู่เส้นชัย
ออฟไลน์
ปลายอาชีพค้าแข้ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Sep 2013
ตอบ: 3829
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 14:39
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
เป็นเพราะการสร้างข่าวปลอมของสัมพันธมิตรครับ ทำให้เยอรมันเดายากว่าจะยกพลขึ้นบกทางไหนกันแน่ เคยดูในสารคดี ฝั่งสัมพันธมิตรถึงขนาดสร้างรถถังสูบลมเพื่อหลอกว่าจะเตรียมขึ้นบกตรงนั่นตรงนี่ครับ

1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 Jun 2016
ตอบ: 23
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 15:03
สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ
Atlantic wall แข็งแกร่งก็จริง แต่ต้องได้รับการสนับสนุนจากหน่วยอื่นด้วย ไม่สามารถต้านทาน การยกพลขึ้นบก ที่มีจำนวนพล และอาวุธยุทโธปกรณ์ มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกได้ครับ (เรือประมาณ 7 พันลำ กำลังพลหลักแสน และพวกยาพาหนะรถถังหลักหมื่นคัน)

นาซีรู้ว่าฝ่ายสัมพันธมิตรต้องยกพลขึ้นบก เพื่อทวงคืนยุโรปตะวันตก (เพราะตอนนั้นนาซีโดนตีแตก โดยกองทัพแดง ที่ยุโรปตะวันออก ตายเยอะ จึงไม่สามารถวางกำลังป้องกันตามแนวแบบแน่นหนาได้)​ ซึ่งตอนนั้นนาซีได้ทุ่มพละกำลังส่วนใหญ่ไปที่ หาด Calais ซึ่งเป็นหาดที่มีแผ่นดิน ที่ใกล้ที่สุดระหว่าง UK กับ France (Rommel เป็นคนคุมกำลัง และวางแผน)​ โดยฝ่ายสัมพันธมิตรก็มีการปล่อยข่าวลือ กับสร้างกองกำลังดัมมี่ขึ้นมา หน่วยข่าวกรองเยอรมันเห็น และรับรู้ จึงทุ่มกำลังสนับสนุนส่วนใหญ่ไปที่ Calais (กาแล)

กำลังพลของฝ่ายสัมพันธมิตร ส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะไปขึ้นที่ Normandy

วันที่ฝ่ายสัมพันธมิตร ยกพลขึ้นบก มีการเล่าว่า รอมเมล ไม่อยู่แนวหน้า เพราะไปฉลองวันเกิดภรรยา ส่วนฮิตเลอร์ยังไม่ตื่นนอน ทำให้ฝ่ายสนับสนุน SS-Panzer ที่มีความสามารถ เข้ามาช่วยได้ช้าครับ

*แก้คำผิด
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
แก้ไขล่าสุดโดย sank289 เมื่อ Wed Feb 22, 2023 15:12, ทั้งหมด 1 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 30 Jan 2010
ตอบ: 8434
ที่อยู่: ทรานซิลเวเนีย
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 18:04
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
- ก่อนวันดีเดย์ แผนการของฝั่งสัมพันธมิตร คือแยกกันบุกหลายสายโดยเป้าหมายอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์หลายจุด
เช่น ดีแยป ก็มีการบุกโดยใช้กำลังพล 6พันคนบุกเข้าตีดีแยป ผลปรากฎว่าพ่ายแพ้ราบคาบ

- ทีแรกเชอชิลคัดค้านการการบุกทางด้านฝั่งแอตแลนติก เพราะแอตแลนติกวอลแข็งแกร่งเกินไป
จึงบุกทางด้านแอฟริกาและอิตาลีแทน ผลปรากฎว่าก็ไม่สามารถบุกผ่านอิตาลีได้

- ข้อสรุปของเมกาและอังกฤษ จึงเป็นต้องมาหาจุดอ่อนที่สุดของแอตแลนติกวอล

- จุดที่แคบที่สุด จู่โจมได้ไวที่สุดจากอังกฤษไปยุโรปคือ กาเล
ฝั่งสัมพันธมิตรจึงรวบรวมไพล่พลสร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่บริเวณข้ามฝากไปกาเล ที่ฝั่งอังกฤษ



- ฮิตเลอร์ได้ข่าวจึงส่งสุดยอดนายพลจิ้งจอกทะเลทราย เออวิน รอมเมลไปคุมแอตแลนติกวอลทั้งหมด
รอมเมลถือว่าเป็นนายพลที่ฮิตสุดดังสุด และเก่งกาจที่สุดก็ว่าได้ของฝั่งเยอรมัน
ทำให้แอตแลนติกวอลที่ว่าแข็งแกร่ง ยิ่งแกร่งขึ้นไปอีก บวกกับความป็อปของพี่แก ทำให้ขวัญกำลังใจทหารมาเต็ม

- เมกาใช้เครื่องบินสอดแนมแบบใหม่ ทำให้เห็นแนวการป้องกันของเยอรมันทั้งหมด
บวกกับสายลับภาคพื้นดินของฝรั่งเศส ที่รายงานการป้องกัน จุดตำแหน่งพิกัดต่างๆอย่างละเอียดให้ฝั่งสัมพันธมิตร

- อังกฤษถึงขั้นส่งหน่วยคอมมานโดไปด้วยเรือดำน้ำ เก็บตัวอย่างดินทรายและอื่นๆ เพื่อกลับมาอังกฤษ
แล้วให้ฝั่งออกแบบ ออกแบบรถถังจู่โจมเพื่อที่จะฝ่าสิ่งกีดขวาง กับระเบิด ลวดหนามต่างๆของรอมเมลได้

- จนสุดท้ายฝั่งสัมพันธมิตรสามารถออกแบบ รถถังหน้าตาโง่ๆ ประหลาดๆออกมาได้เพียบ
จนโดนแซวว่าพวกรถถัง รถขนคนสมัยนั้น เรียกว่าโฮบาร์ตฟันนี่ (คนคิดชื่อโฮบาร์ต)
(ตัวอย่าง https://www.iwm.org.uk/history/the-funny-tanks-of-d-day )

มีตั้งแต่รถถังที่ว่ายน้ำได้ รถถังพ่นไฟได้ รถถังที่มีอุปกรณ์กำจัดเครื่องกีดขวาง ที่หน้าตาสุดประหลาด
ออกแบบมาเพื่อการเฉพาะตั้งแต่กำจัดทุ่นระเบิด กำจัดลวดหนาม
ไปจนถึงรถถังที่พกบันไดไปด้วยเมื่อเจอจุดที่ขึ้นไม่ได้ เจอสิ่งกีดขวางสูงๆก็พาดบันไดใส่เลย ให้เพื่อนวิ่งตามได้ด้วย
(ถ้าไปเซอร์ชดูจะพบว่าหน้าตาโคตรไม่เท่ห์ แต่การใช้งานจริงถือว่าประสบความสำเร็จระดับสูงเลยหละ)

- ไม่ใช่เท่านั้น ฝั่งสัมพันธมิตร ในเมื่อท่าเรือใกล้ๆนอมังดีไม่มี
ก็สร้างท่าเรือลอยน้ำได้ขนาดใหญ่เท่าโดเวอร์ขึ้นมาเลย
ไหนจะการออกแบบท่อลำเลียงเพื่อส่งน้ำมันใต้น้ำ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากได้สำเร็จด้วย

- เมื่อใกล้วันบุกจริง ฝั่งอังกฤษได้ทำรถถังที่ทำจากยาง เรือรบที่ทำจากยาง (คล้ายๆเรือเป่าลม รถถังเป่าลม)
แต่ดูไกลๆจะเหมือนเรือ เหมือนรถถังเปี๊ยบ จำนวนมาก
เพื่อหลอกล่อว่ามีกองทัพจำนวนมากเตรียมจะบุกจากโดเวอร์ที่อังกฤษ
โดยให้นายพลจอห์น แพตตัน(ที่ทัพนาซีกลัวคนนี้มาก)เป็นผู้นำกองทัพเงานี้
(ตัวอย่าง https://www.abcinflatables.co.uk/theatre-and-film-inflatables/inflatable-tanks-for-dads-army-movie/ )

- วันบุกจริงฉากเปิดเริ่มมาจากทัพอากาศที่โจมตีทางรถไฟ สะพาน ทางเดินสำคัญๆของเยอรมันทั้งหมด
เพื่อไม่ให้ฝั่งเยอรมันส่งคนมาช่วยที่ชายหาดได้
(ซึ่งการโจมตีครั้งนี้ก็ฆ่าเอาคนบริสุทธิ์ไปเยอะเหมือนกัน แต่ไฮเซนฮาวเวอร์ยืนยันว่านี่เป็นวิธีเดียว
และไฮเซนฮาวเวอร์มีอำนาจสูงสุดในการสั่งการกองทัพสัมพันธมิตรทั้งหมดในคราวนี้)

- ฝั่งสัมพันธมิตรใช้เครื่องบินแทบทุกลำออกล่า ฝูงบินลูฟวัฟเฟอร์ ไม่ให้อยู่ใกล้ชายหาด
เพราะถ้าคนในฝูงบินได้เห็นกองเรือ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าจุดที่จะบุกไม่ใช่ปาเดกาเล แต่เป็นนอมังดี ซึ่งก็ทำสำเร็จด้วย

- เมื่อฉากเปิดเริ่มขึ้นจากการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศ ข่าวกรองของเยอรมัน(โง่ยังไงก็โง่อย่างงั้น)
ก็ยืนยันว่ากองทัพเรือของฝั่งสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเล และคำสัมภาษณ์ของนายทหารฝั่งสัมพันธมิตรในสงครามครั้งนั้น ก็พูดตรงกันว่า พวกเค้านึกว่าเราจะไปบุกที่ปาเดกาเล ไม่ใช่นอมังดี
ก็น่าจะชัดเจนว่า เรื่องนอมังดีเป็นความลับขั้นสูงมากๆ น่าจะมีแค่ไม่มีคนเท่านั้นที่จะรู้

- ก่อนวัน D-Day ฝั่งสัมพันธมิตรส่งเหล่าแอร์บอร์น 2หมื่นกว่าคน โดดร่มไปหลังแนวรบเยอรมันบริเวณชายหาด
เพื่อเตรียมพร้อมโจมตีจากฝั่งด้านหลัง และเพื่อก่อกวนกองรถถังแนวหลังของเยอรมันด้วย
ด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ทำให้พอถึงวันD-Day กองรถถังในแนวหลังเยอรมันไม่รู้ว่าควรจะโจมตีข้าศึกตรงหน้า
หรือไปช่วยที่หาดก่อนดี แน่นอนว่าเร็วสายฟ้าแลบแบบนั้น คำสั่งมันก็ออกกันไม่ทัน ทหารก็จะมั่วๆกันหมด

- กลับมาก่อนหน้าวัน D-Day 1 วันที่เหล่า Airborne โดดร่มลงไปแล้ว
ทางฝั่งเยอรมันก็ยังสับสน ว่าเหล่า Airborne พวกนี้เป็นแค่ตัวล่อ แล้วจะขึ้นบกกันที่ปาเดกาแล
หรือจะบุกเข้ามาจากฝั่งนอร์มังดีจริงๆกันแน่

- ในคืนนั้น กองรถถังหลัก4กองของเยอรมันไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะไม่มีใครออกคำสั่งได้นอกจากฮิตเลอร์คนเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นคือฮิตเลอร์หลับอยู่ และไม่มีใครกล้าปลุก

- ส่วนรอมเมลตอนนั้นขอลากลับไป เพราะเป็นวันเกิดของเมีย เลยกลับไปเยอรมันเพื่อฉลองวันเกิดกับเมีย
(ซะงั้น!! เหมือนฉากในหนังที่ตัวร้ายเทพโคตรๆ เท่ห์จัดๆมาทั้งเรื่อง แต่ตอนจบต้องโดนเนิฟให้พระเอกชนะ)
และสาเหตุที่รอมเมลกล้ากลับไปวันนั้น เพราะฝ่ายพยากรณ์อากาศบอกว่าสภาพอากาศจะย่ำแย่ ทำให้รอมเมลชล่าใจ

- ฉากถัดมาคือวัน D-Day จากวันที่5ที่สภาพอากาศย่ำแย่ตามที่ฝั่งเยอรมันคาดการณ์ไว้
แต่มาวันที่ 6มิถุนายน ท้องฟ้าท้องทะเลกลับสดใสเป็นใจ (อย่างกะบทหนังเขียนมา) ให้ไฮเซนฮาวเวอร์สั่งลุย

- ภาพตัดสลับมาที่ฮิตเลอร์พึ่งตื่นนอนหลังสัมพันธมิตรบุกไปหลายชั่วโมง
หน่วยข่าวกรองรายงานว่ามีกองเรือใหญ่ 2 กองกำลังมุกหน้ามาที่กาเล ผลสรุปคือฮิตเลอร์คิดว่า
การบุกที่นอร์มังดีก็เป็นแค่การตบตาที่ทำมาเนียนมากๆ และยังเชื่อว่าพวกสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเลแน่ๆ

- แต่ปรากฎว่าหน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็พลาด (ตามเดิม) ที่รายงานฮิตเลอร์ไปแบบนั้น
เพราะว่าเห็นจากเรดาห์ว่ามีกองเรือขนาดใหญ่ มุ่งมาทางปาเดกาเล
แต่แท้จริงแล้วเป็นกลลวงของอังกฤษ ที่ใช้เครื่องบิน ร่อนเศษกระป๋องที่ทำจากดีบุกลงมาช้าๆ
ทำให้ในเรดาห์จะเห็นกองเรือขนาดใหญ่ค่อยๆมุ่งหน้ามาหาอย่างช้าๆ

- ในขณะเดียวกันฝั่งสัมพันธมิตร ก็ออกปฏิบัติการส่งรูเพิร์ตให้โดดร่มลงไปหลังแนวรบ
เพื่อก่อกวนแนวหลังของเยอรมันอยู่เป็นพักๆ (รูเพิร์ตก็ประมาณตุ๊กตายาง)
เหล่า Airborne ของจริง โดดร่มสลับกับตุ๊กตายางของปลอม ก็ยิ่งทำให้แนวหลังของเยอรมันวิ่งมั่วกันไปใหญ่

- กว่าฮิตเลอร์จะรู้ตัวว่าโดนหลอก ก็ปาไปเกือบสิ้นวันแล้ว ซึ่งตอนนั้นฝั่งพันธมิตรก็สามารถยึดหัวหาดได้หมดแล้ว
ฝั่งพันธมิตรถึงกับบุกมาถึงเมืองคาห์น กว่าฮิตเลอร์จะปล่อยพวก SS-Division(พวกกองทัพเทพของฮิตเลอร์) ออกมาโลดแล่นได้ (เช่น SS-Panzer division ก็คือหน่วยรถถังที่เราเห็นกันในหนังเรื่อง Fury)

- ในด้านกำลังรบ พวกนักวิชาการก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า จริงๆแล้วฝั่งสัมพันธมิตรเหนือกว่ามาก
สิ่งเดียวที่ฝั่งสัมพันธมิตรต้องการมีแค่เวลาเท่านั้น ที่จะขนพล ขนรถถัง ขนอาวุธลงที่หาดซักหาดได้มากพอ
ถ้ามีเวลามากพอที่จะทำแบบนั้น ก็ไม่ต่างจากชนะสงครามแน่นอน และก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ

ฮิตเลอร์ปล่อยให้ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้น คือให้เวลาฝั่งสัมพันธมิตรมากพอที่จะขนคนและอาวุธ
ขึ้นมาที่ชายฝั่งได้ ยิ่งฝั่งพันธมิตรได้เวลานานขนาดไหน ก็ยิ่งขนคน ขนอาวุธ ขนรถถังขึ้นฝั่งมาได้มากเท่านั้น
ความผิดพลาดนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ฮิตเลอร์ต้องแพ้สงครามในที่สุด

โดยสรุป ที่กำแพง Atlantic wall แตกก็มาจากหลายปัจจัย
1. หน่วยข่าวกรองที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเยอรมันตั้งแต่ Battle of Britain ไปยันแพ้สงคราม
2. ความประมาทของฝั่งเยอรมัน ทั้งฮิตเลอร์ รอมเมล และอื่นๆ
(รอมเมลเขียนในตำรารบของตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเมื่อโดนโจมตี 6ชั่วโมงแรกสำคัญยังไง 12ชม 24 48 สำคัญยังไง
แต่ถึงเวลาจริง ตัวเองกลับไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วยซ้ำ)
3. เทคโลโลยีของฝั่งสัมพันธมิตรที่แพรวพราวมาก
4. กลลวงหลอกซ้อนหลอกที่ทำออกมาได้เนียบกริ๊บ
5. ฮิตเลอร์/รอมเมล ช้าเกินไป ถ้าสั่งการให้กองSSทั้งหลาย เข้าช่วยตั้งแต่แรก ฝั่งสัมพันธมิตรโอกาสก็จะน้อยลง
เพราะถึงคนจะเยอะ แต่เทียบกับSS division พวกนี้เจนสงครามกว่ามาก แถมแทบจะเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึก
หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นแหล่งรวมพวกคนเลวแบบเข้าไส้ แถมยังพร้อมใช้ยาวิเศษ
ที่กินแล้วรบได้3วัน3คืนแบบไม่ต้องพัก ซึ่งทุกวันนี้ก็คือยาบ้า ยาไอซ์ นั่นเอง
ในขณะเดียวกันทหารส่วนใหญ่ของฝั่งสัมพันธมิตร ไม่เคยจับปืนรบจริงๆซะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ
ประสบการณ์/ความบ้า/ความเก่ง ก็น่าจะคนละชั้นกันเลย

ถ้ารบจนทำให้ฝั่งสัมพันธมิตรต้องออกจากฝั่งได้ ฝั่งสัมพันธมิตรก็ต้องเริ่มใหม่จาก0 D-Dayจะล้มแหลว
สุดท้ายเยอรมันคงแพ้อยู่ดีแหละ แต่ก็ลองคิดดูว่าสัมพันธมิตรจะกลับมาได้ตอนไหน
ทหารที่เพิ่งเคยรบครั้งแรก เห็นคนตายเกลื่อน บาดเจ็บเป็นพันเป็นหมื่น แถมต้องแพ้กลับมา สภาพจิตใจน่าจะหนัก

เพราะขนาดรบชนะสงครามมา เราก็ยังเห็นกันบ่อยๆในหนังในสารคดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันหนักขนาดไหน
บางคนหลอนไปเลย บางคนจำฝั่งใจไปจนตาย บางคนยังฝันเห็นภาพเดิมๆซ้ำๆ นู้นนี่
แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดแพ้กลับมา แล้วต้องกลับไปรบใหม่จริงๆ เอฟเฟคมันจะขนาดไหน


ส่วนคำถามถัดมาคือ ถ้าวัน D-Day ผิดพลาดในครั้งแรก ไฮเซนฮาวเวอร์ก็คงจะบุกต่อไปอีกพักนึงแน่ๆหละ
แต่ถ้าไม่สำเร็จ ยังไงก็ไม่น่าจะสำเร็จอยู่ดี เพราะยิ่งช้าก็ยิ่งขึ้นฝั่งยากขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว
แต่ที่ต้องบุกต่อ เพราะไฮเซนฮาวเวอร์พูดเองว่าถ้าภารกิจนี้ล้มเหลว จะรับผิดชอบโดยการลาออก

แต่ผลลัพธ์ท้ายที่สุด ก็คงเป็นเยอรมันก็จะแพ้สงครามอยู่ดี เพราะก่อนหน้าวัน D-Day แปปเดียว
ฝั่งอเมริกันก็สามารถปลดปล่อยโรมได้แล้ว

เอาแบบเคสเบา เยอรมันก็ต้องรับศึก3ด้านอยู่ดี ทั้งแอตแลนติก ทั้งโซเวียต และทางอเมริกันจากฝั่งอิตาลี
ในระหว่างนั้นมีเวลาก็คงราวๆ1ปี ถ้าฝั่งสัมพันธมิตรเอาชนะได้ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้

ในเคสหนัก อีกประมาณปีเดียวจาก D-Day ก็ญี่ปุ่นก็แพ้สงครามแล้วจากนิวเคลียที่ฮิโรชิมา นางาซากิ
ต่อให้เยอรมันจะหัวแข็งหัวดื้อก้าวร้าวอะไรขนาดไหน แต่ผมว่าก็ไม่น่าเกินคนญี่ปุ่นในสมัยนั้นมาก
ถ้าฝั่งเยอรมันรู้ว่าญี่ปุ่นโดนอะไรไป แค่เมกาขู่จะใช้ ผมว่าทหารเยอรมันก็คงไม่เอาด้วยกับฮิตเลอร์แล้วหละ
หรือถ้าเมกาบอมใส่เยอรมันซักลูก2ลูก ผมว่าผลลัพธ์ก็ไม่น่าจะต่างจากญี่ปุ่นเท่าไหร่ ก็คือต้องยอมแพ้แน่ๆ

ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดคงไม่ต่างกันคือเยอรมันแพ้ แต่ไม่ว่าจะเคสเบาหรือหนัก คงมีคงตายเพิ่มกันอีกมหาศาล
แก้ไขล่าสุดโดย devildog เมื่อ Wed Feb 22, 2023 21:15, ทั้งหมด 10 ครั้ง
7
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ผู้ช่วยผู้จัดการทีมชุดใหญ่
Status: たぶん
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 6352
ที่อยู่: soccercirclejerk
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 18:49
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
devildog พิมพ์ว่า:
Spoil
- ก่อนวันดีเดย์ แผนการของฝั่งสัมพันธมิตร คือแยกกันบุกหลายสายโดยเป้าหมายอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์หลายจุด
เช่น ดีแยป ก็มีการบุกโดยใช้กำลังพล 6พันคนบุกเข้าตีดีแยป ผลปรากฎว่าพ่ายแพ้ราบคาบ

- ทีแรกเชอชิลคัดค้านการการบุกทางด้านฝั่งแอตแลนติก เพราะแอตแลนติกวอลแข็งแกร่งเกินไป
จึงบุกทางด้านแอฟริกาและอิตาลีแทน ผลปรากฎว่าก็ไม่สามารถบุกผ่านอิตาลีได้

- ข้อสรุปของเมกาและอังกฤษ จึงเป็นต้องมาหาจุดอ่อนที่สุดของแอตแลนติกวอล

- จุดที่แคบที่สุด จู่โจมได้ไวที่สุดจากอังกฤษไปยุโรปคือ กาเล
ฝั่งสัมพันธมิตรจึงรวบรวมไพล่พลสร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่บริเวณข้ามฝากไปกาเล ที่ฝั่งอังกฤษ



- ฮิตเลอร์ได้ข่าวจึงส่งสุดยอดนายพลจิ้งจอกทะเลทราย เออวิน รอมเมลไปคุมแอตแลนติกวอลทั้งหมด
รอมเมลถือว่าเป็นนายพลที่ฮิตสุดดังสุด และเก่งกาจที่สุดก็ว่าได้ของฝั่งเยอรมัน
ทำให้แอตแลนติกวอลที่ว่าแข็งแกร่ง ยิ่งแกร่งขึ้นไปอีก บวกกับความป็อปของพี่แก ทำให้ขวัญกำลังใจทหารมาเต็ม

- เมกาใช้เครื่องบินสอดแนมแบบใหม่ ทำให้เห็นแนวการป้องกันของเยอรมันทั้งหมด
บวกกับสายลับภาคพื้นดินของฝรั่งเศส ที่รายงานการป้องกัน จุดตำแหน่งพิกัดต่างๆอย่างละเอียดให้ฝั่งสัมพันธมิตร

- อังกฤษถึงขั้นส่งหน่วยคอมมานโดไปด้วยเรือดำน้ำ เก็บตัวอย่างดินทรายและอื่นๆ เพื่อกลับมาอังกฤษ
แล้วให้ฝั่งออกแบบ ออกแบบรถถังจู่โจมเพื่อที่จะฝ่าสิ่งกีดขวาง กับระเบิด ลวดหนามต่างๆของรอมเมลได้

- จนสุดท้ายฝั่งสัมพันธมิตรสามารถออกแบบ รถถังหน้าตาโง่ๆ ประหลาดๆออกมาได้เพียบ
จนโดนแซวว่าพวกรถถัง รถขนคนสมัยนั้น เรียกว่าโฮบาร์ตฟันนี่ (คนคิดชื่อโฮบาร์ต)
(ตัวอย่าง https://www.iwm.org.uk/history/the-funny-tanks-of-d-day)

มีตั้งแต่รถถังที่ว่ายน้ำได้ รถถังพ่นไฟได้ รถถังที่มีอุปกรณ์กำจัดเครื่องกีดขวาง ที่หน้าตาสุดประหลาด
ออกแบบมาเพื่อการเฉพาะตั้งแต่กำจัดทุ่นระเบิด กำจัดลวดหนาม
ไปจนถึงรถถังที่พกบันไดไปด้วยเมื่อเจอจุดที่ขึ้นไม่ได้ เจอสิ่งกีดขวางสูงๆก็พาดบันไดใส่เลย ให้เพื่อนวิ่งตามได้ด้วย
(ถ้าไปเซอร์ชดูจะพบว่าหน้าตาโคตรไม่เท่ห์ แต่การใช้งานจริงถือว่าประสบความสำเร็จระดับสูงเลยหละ)

- ไม่ใช่เท่านั้น ฝั่งสัมพันธมิตร ในเมื่อท่าเรือใกล้ๆนอมังดีไม่มี
ก็สร้างท่าเรือลอยน้ำได้ขนาดใหญ่เท่าโดเวอร์ขึ้นมาเลย
ไหนจะการออกแบบท่อลำเลียงเพื่อส่งน้ำมันใต้น้ำ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากได้สำเร็จด้วย

- เมื่อใกล้วันบุกจริง ฝั่งอังกฤษได้ทำรถถังที่ทำจากยาง เรือรบที่ทำจากยาง (คล้ายๆเรือเป่าลม รถถังเป่าลม)
แต่ดูไกลๆจะเหมือนเรือ เหมือนรถถังเปี๊ยบ จำนวนมาก
เพื่อหลอกล่อว่ามีกองทัพจำนวนมากเตรียมจะบุกจากโดเวอร์ที่อังกฤษ
โดยให้นายพลจอห์น แพตตัน(ที่ทัพนาซีกลัวคนนี้มาก)เป็นผู้นำกองทัพเงานี้
(ตัวอย่าง https://www.abcinflatables.co.uk/theatre-and-film-inflatables/inflatable-tanks-for-dads-army-movie/ )

- วันบุกจริงฉากเปิดเริ่มมาจากทัพอากาศที่โจมตีทางรถไฟ สะพาน ทางเดินสำคัญๆของเยอรมันทั้งหมด
เพื่อไม่ให้ฝั่งเยอรมันส่งคนมาช่วยที่ชายหาดได้
(ซึ่งการโจมตีครั้งนี้ก็ฆ่าเอาคนบริสุทธิ์ไปเยอะเหมือนกัน แต่ไฮเซนฮาวเวอร์ยืนยันว่านี่เป็นวิธีเดียว
และไฮเซนฮาวเวอร์มีอำนาจสูงสุดในการสั่งการกองทัพสัมพันธมิตรทั้งหมดในคราวนี้)

- ฝั่งสัมพันธมิตรใช้เครื่องบินแทบทุกลำออกล่า ฝูงบินลูฟวัฟเฟอร์ ไม่ให้อยู่ใกล้ชายหาด
เพราะถ้าคนในฝูงบินได้เห็นกองเรือ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าจุดที่จะบุกไม่ใช่ปาเดกาเล แต่เป็นนอมังดี ซึ่งก็ทำสำเร็จด้วย

- เมื่อฉากเปิดเริ่มขึ้นจากการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศ ข่าวกรองของเยอรมัน(โง่ยังไงก็โง่อย่างงั้น)
ก็ยืนยันว่ากองทัพเรือของฝั่งสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเล และคำสัมภาษณ์ของนายทหารฝั่งสัมพันธมิตรในสงครามครั้งนั้น ก็พูดตรงกันว่า พวกเค้านึกว่าเราจะไปบุกที่ปาเดกาเล ไม่ใช่นอมังดี
ก็น่าจะชัดเจนว่า เรื่องนอมังดีเป็นความลับขั้นสูงมากๆ น่าจะมีแค่ไม่มีคนเท่านั้นที่จะรู้

- ก่อนวัน D-Day ฝั่งสัมพันธมิตรส่งเหล่าแอร์บอร์น 2หมื่นกว่าคน โดดร่มไปหลังแนวรบเยอรมันบริเวณชายหาด
เพื่อเตรียมพร้อมโจมตีจากฝั่งด้านหลัง และเพื่อก่อกวนกองรถถังแนวหลังของเยอรมันด้วย
ด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ทำให้พอถึงวันD-Day กองรถถังในแนวหลังเยอรมันไม่รู้ว่าควรจะโจมตีข้าศึกตรงหน้า
หรือไปช่วยที่หาดก่อนดี แน่นอนว่าเร็วสายฟ้าแลบแบบนั้น คำสั่งมันก็ออกกันไม่ทัน ทหารก็จะมั่วๆกันหมด

- กลับมาก่อนหน้าวัน D-Day 1 วันที่เหล่า Airborne โดดร่มลงไปแล้ว
ทางฝั่งเยอรมันก็ยังสับสน ว่าเหล่า Airborne พวกนี้เป็นแค่ตัวล่อ แล้วจะขึ้นบกกันที่ปาเดกาแล
หรือจะบุกเข้ามาจากฝั่งนอร์มังดีจริงๆกันแน่

- ในคืนนั้น กองรถถังหลัก4กองของเยอรมันไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะไม่มีใครออกคำสั่งได้นอกจากฮิตเลอร์คนเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นคือฮิตเลอร์หลับอยู่ และไม่มีใครกล้าปลุก

- ส่วนรอมเมลตอนนั้นขอลากลับไป เพราะเป็นวันเกิดของเมีย เลยกลับไปเยอรมันเพื่อฉลองวันเกิดกับเมีย
(ซะงั้น!! เหมือนฉากในหนังที่ตัวร้ายเทพโคตรๆ เท่ห์จัดๆมาทั้งเรื่อง แต่ตอนจบต้องโดนเนิฟให้พระเอกชนะ)
และสาเหตุที่รอมเมลกล้ากลับไปวันนั้น เพราะฝ่ายพยากรณ์อากาศบอกว่าสภาพอากาศจะย่ำแย่ ทำให้รอมเมลชล่าใจ

- ฉากถัดมาคือวัน D-Day จากวันที่5ที่สภาพอากาศย่ำแย่ตามที่ฝั่งเยอรมันคาดการณ์ไว้
แต่มาวันที่ 6มิถุนายน ท้องฟ้าท้องทะเลกลับสดใสเป็นใจ (อย่างกะบทหนังเขียนมา) ให้ไฮเซนฮาวเวอร์สั่งลุย

- ภาพตัดสลับมาที่ฮิตเลอร์พึ่งตื่นนอนหลังสัมพันธมิตรบุกไปหลายชั่วโมง
หน่วยข่าวกรองรายงานว่ามีกองเรือใหญ่ 2 กองกำลังมุกหน้ามาที่กาเล ผลสรุปคือฮิตเลอร์คิดว่า
การบุกที่นอร์มังดีก็เป็นแค่การตบตาที่ทำมาเนียนมากๆ และยังเชื่อว่าพวกสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเลแน่ๆ

- แต่ปรากฎว่าหน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็พลาด (ตามเดิม) ที่รายงานฮิตเลอร์ไปแบบนั้น
เพราะว่าเห็นจากเรดาห์ว่ามีกองเรือขนาดใหญ่ มุ่งมาทางปาเดกาเล
แต่แท้จริงแล้วเป็นกลลวงของอังกฤษ ที่ใช้เครื่องบิน ร่อนเศษกระป๋องที่ทำจากดีบุกลงมาช้าๆ
ทำให้ในเรดาห์จะเห็นกองเรือขนาดใหญ่ค่อยๆมุ่งหน้ามาหาอย่างช้าๆ

- ในขณะเดียวกันฝั่งสัมพันธมิตร ก็ออกปฏิบัติการส่งรูเพิร์ตให้โดดร่มลงไปหลังแนวรบ
เพื่อก่อกวนแนวหลังของเยอรมันอยู่เป็นพักๆ (รูเพิร์ตก็ประมาณตุ๊กตายาง)
เหล่า Airborne ของจริง โดดร่มสลับกับตุ๊กตายางของปลอม ก็ยิ่งทำให้แนวหลังของเยอรมันวิ่งมั่วกันไปใหญ่

- กว่าฮิตเลอร์จะรู้ตัวว่าโดนหลอก ก็ปาไปเกือบสิ้นวันแล้ว ซึ่งตอนนั้นฝั่งพันธมิตรก็สามารถยึดหัวหาดได้หมดแล้ว
ฝั่งพันธมิตรถึงกับบุกมาถึงเมืองคาห์น กว่าฮิตเลอร์จะปล่อยพวก SS-Division(พวกกองทัพเทพของฮิตเลอร์) ออกมาโลดแล่นได้ (เช่น SS-Panzer division ก็คือหน่วยรถถังที่เราเห็นกันในหนังเรื่อง Fury)

- ในด้านกำลังรบ พวกนักวิชาการก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า จริงๆแล้วฝั่งสัมพันธมิตรเหนือกว่ามาก
สิ่งเดียวที่ฝั่งสัมพันธมิตรต้องการมีแค่เวลาเท่านั้น ที่จะขนพล ขนรถถัง ขนอาวุธลงที่หาดซักหาดได้มากพอ
ถ้ามีเวลามากพอที่จะทำแบบนั้น ก็ไม่ต่างจากชนะสงครามแน่นอน และก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ

ฮิตเลอร์ปล่อยให้ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้น คือให้เวลาฝั่งสัมพันธมิตรมากพอที่จะขนคนและอาวุธ
ขึ้นมาที่ชายฝั่งได้ ยิ่งฝั่งพันธมิตรได้เวลานานขนาดไหน ก็ยิ่งขนคน ขนอาวุธ ขนรถถังขึ้นฝั่งมาได้มากเท่านั้น
ความผิดพลาดนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ฮิตเลอร์ต้องแพ้สงครามในที่สุด

โดยสรุป ที่กำแพง Atlantic wall แตกก็มาจากหลายปัจจัย
1. หน่วยข่าวกรองที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเยอรมันตั้งแต่ Battle of Britain ไปยันแพ้สงคราม
2. ความประมาทของฝั่งเยอรมัน ทั้งฮิตเลอร์ รอมเมล และอื่นๆ
(รอมเมลเขียนในตำรารบของตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเมื่อโดนโจมตี 6ชั่วโมงแรกสำคัญยังไง 12ชม 24 48 สำคัญยังไง
แต่ถึงเวลาจริง ตัวเองกลับไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วยซ้ำ)
3. เทคโลโลยีของฝั่งสัมพันธมิตรที่แพรวพราวมาก
4. กลลวงหลอกซ้อนหลอกที่ทำออกมาได้เนียบกริ๊บ
5. ฮิตเลอร์/รอมเมล ช้าเกินไป ถ้าสั่งการให้กองSSทั้งหลาย เข้าช่วยตั้งแต่แรก ฝั่งสัมพันธมิตรโอกาสก็จะน้อยลง
เพราะถึงคนจะเยอะ แต่เทียบกับSS division พวกนี้เจนสงครามกว่ามาก แถมแทบจะเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึก
หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นแหล่งรวมพวกคนเลวแบบเข้าไส้ แถมยังพร้อมใช้ยาวิเศษ
ที่กินแล้วรบได้3วัน3คืนแบบไม่ต้องพัก ซึ่งทุกวันนี้ก็คือยาบ้า ยาไอซ์ นั่นเอง
ในขณะเดียวกันทหารส่วนใหญ่ของฝั่งสัมพันธมิตร ไม่เคยจับปืนรบจริงๆซะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ
ประสบการณ์/ความบ้า/ความเก่ง ก็น่าจะคนละชั้นกันเลย

ถ้ารบจนทำให้ฝั่งสัมพันธมิตรต้องออกจากฝั่งได้ ฝั่งสัมพันธมิตรก็ต้องเริ่มใหม่จาก0 D-Dayจะล้มแหลว
สุดท้ายเยอรมันคงแพ้อยู่ดีแหละ แต่ก็ลองคิดดูว่าสัมพันธมิตรจะกลับมาได้ตอนไหน
ทหารที่เพิ่งเคยรบครั้งแรก เห็นคนตายเกลื่อน บาดเจ็บเป็นพันเป็นหมื่น แถมต้องแพ้กลับมา สภาพจิตใจน่าจะหนัก

เพราะขนาดรบชนะสงครามมา เราก็ยังเห็นกันบ่อยๆในหนังในสารคดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันหนักขนาดไหน
บางคนหลอนไปเลย บางคนจำฝั่งใจไปจนตาย บางคนยังฝันเห็นภาพเดิมๆซ้ำๆ นู้นนี่
แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดแพ้กลับมา แล้วต้องกลับไปรบใหม่จริงๆ เอฟเฟคมันจะขนาดไหน  
 

ขอบคุณมากครับท่าน อ่านเพลินเลยครับ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ก.
Status: จิ้งจกเสพความเหงา
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Feb 2021
ตอบ: 12011
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 21:34
[RE]สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ
devildog พิมพ์ว่า:
- ก่อนวันดีเดย์ แผนการของฝั่งสัมพันธมิตร คือแยกกันบุกหลายสายโดยเป้าหมายอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์หลายจุด
เช่น ดีแยป ก็มีการบุกโดยใช้กำลังพล 6พันคนบุกเข้าตีดีแยป ผลปรากฎว่าพ่ายแพ้ราบคาบ

- ทีแรกเชอชิลคัดค้านการการบุกทางด้านฝั่งแอตแลนติก เพราะแอตแลนติกวอลแข็งแกร่งเกินไป
จึงบุกทางด้านแอฟริกาและอิตาลีแทน ผลปรากฎว่าก็ไม่สามารถบุกผ่านอิตาลีได้

- ข้อสรุปของเมกาและอังกฤษ จึงเป็นต้องมาหาจุดอ่อนที่สุดของแอตแลนติกวอล

- จุดที่แคบที่สุด จู่โจมได้ไวที่สุดจากอังกฤษไปยุโรปคือ กาเล
ฝั่งสัมพันธมิตรจึงรวบรวมไพล่พลสร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่บริเวณข้ามฝากไปกาเล ที่ฝั่งอังกฤษ



- ฮิตเลอร์ได้ข่าวจึงส่งสุดยอดนายพลจิ้งจอกทะเลทราย เออวิน รอมเมลไปคุมแอตแลนติกวอลทั้งหมด
รอมเมลถือว่าเป็นนายพลที่ฮิตสุดดังสุด และเก่งกาจที่สุดก็ว่าได้ของฝั่งเยอรมัน
ทำให้แอตแลนติกวอลที่ว่าแข็งแกร่ง ยิ่งแกร่งขึ้นไปอีก บวกกับความป็อปของพี่แก ทำให้ขวัญกำลังใจทหารมาเต็ม

- เมกาใช้เครื่องบินสอดแนมแบบใหม่ ทำให้เห็นแนวการป้องกันของเยอรมันทั้งหมด
บวกกับสายลับภาคพื้นดินของฝรั่งเศส ที่รายงานการป้องกัน จุดตำแหน่งพิกัดต่างๆอย่างละเอียดให้ฝั่งสัมพันธมิตร

- อังกฤษถึงขั้นส่งหน่วยคอมมานโดไปด้วยเรือดำน้ำ เก็บตัวอย่างดินทรายและอื่นๆ เพื่อกลับมาอังกฤษ
แล้วให้ฝั่งออกแบบ ออกแบบรถถังจู่โจมเพื่อที่จะฝ่าสิ่งกีดขวาง กับระเบิด ลวดหนามต่างๆของรอมเมลได้

- จนสุดท้ายฝั่งสัมพันธมิตรสามารถออกแบบ รถถังหน้าตาโง่ๆ ประหลาดๆออกมาได้เพียบ
จนโดนแซวว่าพวกรถถัง รถขนคนสมัยนั้น เรียกว่าโฮบาร์ตฟันนี่ (คนคิดชื่อโฮบาร์ต)
(ตัวอย่าง https://www.iwm.org.uk/history/the-funny-tanks-of-d-day )

มีตั้งแต่รถถังที่ว่ายน้ำได้ รถถังพ่นไฟได้ รถถังที่มีอุปกรณ์กำจัดเครื่องกีดขวาง ที่หน้าตาสุดประหลาด
ออกแบบมาเพื่อการเฉพาะตั้งแต่กำจัดทุ่นระเบิด กำจัดลวดหนาม
ไปจนถึงรถถังที่พกบันไดไปด้วยเมื่อเจอจุดที่ขึ้นไม่ได้ เจอสิ่งกีดขวางสูงๆก็พาดบันไดใส่เลย ให้เพื่อนวิ่งตามได้ด้วย
(ถ้าไปเซอร์ชดูจะพบว่าหน้าตาโคตรไม่เท่ห์ แต่การใช้งานจริงถือว่าประสบความสำเร็จระดับสูงเลยหละ)

- ไม่ใช่เท่านั้น ฝั่งสัมพันธมิตร ในเมื่อท่าเรือใกล้ๆนอมังดีไม่มี
ก็สร้างท่าเรือลอยน้ำได้ขนาดใหญ่เท่าโดเวอร์ขึ้นมาเลย
ไหนจะการออกแบบท่อลำเลียงเพื่อส่งน้ำมันใต้น้ำ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากได้สำเร็จด้วย

- เมื่อใกล้วันบุกจริง ฝั่งอังกฤษได้ทำรถถังที่ทำจากยาง เรือรบที่ทำจากยาง (คล้ายๆเรือเป่าลม รถถังเป่าลม)
แต่ดูไกลๆจะเหมือนเรือ เหมือนรถถังเปี๊ยบ จำนวนมาก
เพื่อหลอกล่อว่ามีกองทัพจำนวนมากเตรียมจะบุกจากโดเวอร์ที่อังกฤษ
โดยให้นายพลจอห์น แพตตัน(ที่ทัพนาซีกลัวคนนี้มาก)เป็นผู้นำกองทัพเงานี้
(ตัวอย่าง https://www.abcinflatables.co.uk/theatre-and-film-inflatables/inflatable-tanks-for-dads-army-movie/ )

- วันบุกจริงฉากเปิดเริ่มมาจากทัพอากาศที่โจมตีทางรถไฟ สะพาน ทางเดินสำคัญๆของเยอรมันทั้งหมด
เพื่อไม่ให้ฝั่งเยอรมันส่งคนมาช่วยที่ชายหาดได้
(ซึ่งการโจมตีครั้งนี้ก็ฆ่าเอาคนบริสุทธิ์ไปเยอะเหมือนกัน แต่ไฮเซนฮาวเวอร์ยืนยันว่านี่เป็นวิธีเดียว
และไฮเซนฮาวเวอร์มีอำนาจสูงสุดในการสั่งการกองทัพสัมพันธมิตรทั้งหมดในคราวนี้)

- ฝั่งสัมพันธมิตรใช้เครื่องบินแทบทุกลำออกล่า ฝูงบินลูฟวัฟเฟอร์ ไม่ให้อยู่ใกล้ชายหาด
เพราะถ้าคนในฝูงบินได้เห็นกองเรือ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าจุดที่จะบุกไม่ใช่ปาเดกาเล แต่เป็นนอมังดี ซึ่งก็ทำสำเร็จด้วย

- เมื่อฉากเปิดเริ่มขึ้นจากการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศ ข่าวกรองของเยอรมัน(โง่ยังไงก็โง่อย่างงั้น)
ก็ยืนยันว่ากองทัพเรือของฝั่งสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเล และคำสัมภาษณ์ของนายทหารฝั่งสัมพันธมิตรในสงครามครั้งนั้น ก็พูดตรงกันว่า พวกเค้านึกว่าเราจะไปบุกที่ปาเดกาเล ไม่ใช่นอมังดี
ก็น่าจะชัดเจนว่า เรื่องนอมังดีเป็นความลับขั้นสูงมากๆ น่าจะมีแค่ไม่มีคนเท่านั้นที่จะรู้

- ก่อนวัน D-Day ฝั่งสัมพันธมิตรส่งเหล่าแอร์บอร์น 2หมื่นกว่าคน โดดร่มไปหลังแนวรบเยอรมันบริเวณชายหาด
เพื่อเตรียมพร้อมโจมตีจากฝั่งด้านหลัง และเพื่อก่อกวนกองรถถังแนวหลังของเยอรมันด้วย
ด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ทำให้พอถึงวันD-Day กองรถถังในแนวหลังเยอรมันไม่รู้ว่าควรจะโจมตีข้าศึกตรงหน้า
หรือไปช่วยที่หาดก่อนดี แน่นอนว่าเร็วสายฟ้าแลบแบบนั้น คำสั่งมันก็ออกกันไม่ทัน ทหารก็จะมั่วๆกันหมด

- กลับมาก่อนหน้าวัน D-Day 1 วันที่เหล่า Airborne โดดร่มลงไปแล้ว
ทางฝั่งเยอรมันก็ยังสับสน ว่าเหล่า Airborne พวกนี้เป็นแค่ตัวล่อ แล้วจะขึ้นบกกันที่ปาเดกาแล
หรือจะบุกเข้ามาจากฝั่งนอร์มังดีจริงๆกันแน่

- ในคืนนั้น กองรถถังหลัก4กองของเยอรมันไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะไม่มีใครออกคำสั่งได้นอกจากฮิตเลอร์คนเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นคือฮิตเลอร์หลับอยู่ และไม่มีใครกล้าปลุก

- ส่วนรอมเมลตอนนั้นขอลากลับไป เพราะเป็นวันเกิดของเมีย เลยกลับไปเยอรมันเพื่อฉลองวันเกิดกับเมีย
(ซะงั้น!! เหมือนฉากในหนังที่ตัวร้ายเทพโคตรๆ เท่ห์จัดๆมาทั้งเรื่อง แต่ตอนจบต้องโดนเนิฟให้พระเอกชนะ)
และสาเหตุที่รอมเมลกล้ากลับไปวันนั้น เพราะฝ่ายพยากรณ์อากาศบอกว่าสภาพอากาศจะย่ำแย่ ทำให้รอมเมลชล่าใจ

- ฉากถัดมาคือวัน D-Day จากวันที่5ที่สภาพอากาศย่ำแย่ตามที่ฝั่งเยอรมันคาดการณ์ไว้
แต่มาวันที่ 6มิถุนายน ท้องฟ้าท้องทะเลกลับสดใสเป็นใจ (อย่างกะบทหนังเขียนมา) ให้ไฮเซนฮาวเวอร์สั่งลุย

- ภาพตัดสลับมาที่ฮิตเลอร์พึ่งตื่นนอนหลังสัมพันธมิตรบุกไปหลายชั่วโมง
หน่วยข่าวกรองรายงานว่ามีกองเรือใหญ่ 2 กองกำลังมุกหน้ามาที่กาเล ผลสรุปคือฮิตเลอร์คิดว่า
การบุกที่นอร์มังดีก็เป็นแค่การตบตาที่ทำมาเนียนมากๆ และยังเชื่อว่าพวกสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเลแน่ๆ

- แต่ปรากฎว่าหน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็พลาด (ตามเดิม) ที่รายงานฮิตเลอร์ไปแบบนั้น
เพราะว่าเห็นจากเรดาห์ว่ามีกองเรือขนาดใหญ่ มุ่งมาทางปาเดกาเล
แต่แท้จริงแล้วเป็นกลลวงของอังกฤษ ที่ใช้เครื่องบิน ร่อนเศษกระป๋องที่ทำจากดีบุกลงมาช้าๆ
ทำให้ในเรดาห์จะเห็นกองเรือขนาดใหญ่ค่อยๆมุ่งหน้ามาหาอย่างช้าๆ

- ในขณะเดียวกันฝั่งสัมพันธมิตร ก็ออกปฏิบัติการส่งรูเพิร์ตให้โดดร่มลงไปหลังแนวรบ
เพื่อก่อกวนแนวหลังของเยอรมันอยู่เป็นพักๆ (รูเพิร์ตก็ประมาณตุ๊กตายาง)
เหล่า Airborne ของจริง โดดร่มสลับกับตุ๊กตายางของปลอม ก็ยิ่งทำให้แนวหลังของเยอรมันวิ่งมั่วกันไปใหญ่

- กว่าฮิตเลอร์จะรู้ตัวว่าโดนหลอก ก็ปาไปเกือบสิ้นวันแล้ว ซึ่งตอนนั้นฝั่งพันธมิตรก็สามารถยึดหัวหาดได้หมดแล้ว
ฝั่งพันธมิตรถึงกับบุกมาถึงเมืองคาห์น กว่าฮิตเลอร์จะปล่อยพวก SS-Division(พวกกองทัพเทพของฮิตเลอร์) ออกมาโลดแล่นได้ (เช่น SS-Panzer division ก็คือหน่วยรถถังที่เราเห็นกันในหนังเรื่อง Fury)

- ในด้านกำลังรบ พวกนักวิชาการก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า จริงๆแล้วฝั่งสัมพันธมิตรเหนือกว่ามาก
สิ่งเดียวที่ฝั่งสัมพันธมิตรต้องการมีแค่เวลาเท่านั้น ที่จะขนพล ขนรถถัง ขนอาวุธลงที่หาดซักหาดได้มากพอ
ถ้ามีเวลามากพอที่จะทำแบบนั้น ก็ไม่ต่างจากชนะสงครามแน่นอน และก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ

ฮิตเลอร์ปล่อยให้ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้น คือให้เวลาฝั่งสัมพันธมิตรมากพอที่จะขนคนและอาวุธ
ขึ้นมาที่ชายฝั่งได้ ยิ่งฝั่งพันธมิตรได้เวลานานขนาดไหน ก็ยิ่งขนคน ขนอาวุธ ขนรถถังขึ้นฝั่งมาได้มากเท่านั้น
ความผิดพลาดนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ฮิตเลอร์ต้องแพ้สงครามในที่สุด

โดยสรุป ที่กำแพง Atlantic wall แตกก็มาจากหลายปัจจัย
1. หน่วยข่าวกรองที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเยอรมันตั้งแต่ Battle of Britain ไปยันแพ้สงคราม
2. ความประมาทของฝั่งเยอรมัน ทั้งฮิตเลอร์ รอมเมล และอื่นๆ
(รอมเมลเขียนในตำรารบของตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเมื่อโดนโจมตี 6ชั่วโมงแรกสำคัญยังไง 12ชม 24 48 สำคัญยังไง
แต่ถึงเวลาจริง ตัวเองกลับไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วยซ้ำ)
3. เทคโลโลยีของฝั่งสัมพันธมิตรที่แพรวพราวมาก
4. กลลวงหลอกซ้อนหลอกที่ทำออกมาได้เนียบกริ๊บ
5. ฮิตเลอร์/รอมเมล ช้าเกินไป ถ้าสั่งการให้กองSSทั้งหลาย เข้าช่วยตั้งแต่แรก ฝั่งสัมพันธมิตรโอกาสก็จะน้อยลง
เพราะถึงคนจะเยอะ แต่เทียบกับSS division พวกนี้เจนสงครามกว่ามาก แถมแทบจะเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึก
หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นแหล่งรวมพวกคนเลวแบบเข้าไส้ แถมยังพร้อมใช้ยาวิเศษ
ที่กินแล้วรบได้3วัน3คืนแบบไม่ต้องพัก ซึ่งทุกวันนี้ก็คือยาบ้า ยาไอซ์ นั่นเอง
ในขณะเดียวกันทหารส่วนใหญ่ของฝั่งสัมพันธมิตร ไม่เคยจับปืนรบจริงๆซะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ
ประสบการณ์/ความบ้า/ความเก่ง ก็น่าจะคนละชั้นกันเลย

ถ้ารบจนทำให้ฝั่งสัมพันธมิตรต้องออกจากฝั่งได้ ฝั่งสัมพันธมิตรก็ต้องเริ่มใหม่จาก0 D-Dayจะล้มแหลว
สุดท้ายเยอรมันคงแพ้อยู่ดีแหละ แต่ก็ลองคิดดูว่าสัมพันธมิตรจะกลับมาได้ตอนไหน
ทหารที่เพิ่งเคยรบครั้งแรก เห็นคนตายเกลื่อน บาดเจ็บเป็นพันเป็นหมื่น แถมต้องแพ้กลับมา สภาพจิตใจน่าจะหนัก

เพราะขนาดรบชนะสงครามมา เราก็ยังเห็นกันบ่อยๆในหนังในสารคดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันหนักขนาดไหน
บางคนหลอนไปเลย บางคนจำฝั่งใจไปจนตาย บางคนยังฝันเห็นภาพเดิมๆซ้ำๆ นู้นนี่
แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดแพ้กลับมา แล้วต้องกลับไปรบใหม่จริงๆ เอฟเฟคมันจะขนาดไหน


ส่วนคำถามถัดมาคือ ถ้าวัน D-Day ผิดพลาดในครั้งแรก ไฮเซนฮาวเวอร์ก็คงจะบุกต่อไปอีกพักนึงแน่ๆหละ
แต่ถ้าไม่สำเร็จ ยังไงก็ไม่น่าจะสำเร็จอยู่ดี เพราะยิ่งช้าก็ยิ่งขึ้นฝั่งยากขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว
แต่ที่ต้องบุกต่อ เพราะไฮเซนฮาวเวอร์พูดเองว่าถ้าภารกิจนี้ล้มเหลว จะรับผิดชอบโดยการลาออก

แต่ผลลัพธ์ท้ายที่สุด ก็คงเป็นเยอรมันก็จะแพ้สงครามอยู่ดี เพราะก่อนหน้าวัน D-Day แปปเดียว
ฝั่งอเมริกันก็สามารถปลดปล่อยโรมได้แล้ว

เอาแบบเคสเบา เยอรมันก็ต้องรับศึก3ด้านอยู่ดี ทั้งแอตแลนติก ทั้งโซเวียต และทางอเมริกันจากฝั่งอิตาลี
ในระหว่างนั้นมีเวลาก็คงราวๆ1ปี ถ้าฝั่งสัมพันธมิตรเอาชนะได้ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้

ในเคสหนัก อีกประมาณปีเดียวจาก D-Day ก็ญี่ปุ่นก็แพ้สงครามแล้วจากนิวเคลียที่ฮิโรชิมา นางาซากิ
ต่อให้เยอรมันจะหัวแข็งหัวดื้อก้าวร้าวอะไรขนาดไหน แต่ผมว่าก็ไม่น่าเกินคนญี่ปุ่นในสมัยนั้นมาก
ถ้าฝั่งเยอรมันรู้ว่าญี่ปุ่นโดนอะไรไป แค่เมกาขู่จะใช้ ผมว่าทหารเยอรมันก็คงไม่เอาด้วยกับฮิตเลอร์แล้วหละ
หรือถ้าเมกาบอมใส่เยอรมันซักลูก2ลูก ผมว่าผลลัพธ์ก็ไม่น่าจะต่างจากญี่ปุ่นเท่าไหร่ ก็คือต้องยอมแพ้แน่ๆ

ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดคงไม่ต่างกันคือเยอรมันแพ้ แต่ไม่ว่าจะเคสเบาหรือหนัก คงมีคงตายเพิ่มกันอีกมหาศาล  
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ซุปตาร์ฟุตบอลโลก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 May 2022
ตอบ: 10794
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Feb 22, 2023 22:11
[RE: สงสัยวัน D-day ตอนบุกนอร์มังดีครับ]
devildog พิมพ์ว่า:
- ก่อนวันดีเดย์ แผนการของฝั่งสัมพันธมิตร คือแยกกันบุกหลายสายโดยเป้าหมายอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์หลายจุด
เช่น ดีแยป ก็มีการบุกโดยใช้กำลังพล 6พันคนบุกเข้าตีดีแยป ผลปรากฎว่าพ่ายแพ้ราบคาบ

- ทีแรกเชอชิลคัดค้านการการบุกทางด้านฝั่งแอตแลนติก เพราะแอตแลนติกวอลแข็งแกร่งเกินไป
จึงบุกทางด้านแอฟริกาและอิตาลีแทน ผลปรากฎว่าก็ไม่สามารถบุกผ่านอิตาลีได้

- ข้อสรุปของเมกาและอังกฤษ จึงเป็นต้องมาหาจุดอ่อนที่สุดของแอตแลนติกวอล

- จุดที่แคบที่สุด จู่โจมได้ไวที่สุดจากอังกฤษไปยุโรปคือ กาเล
ฝั่งสัมพันธมิตรจึงรวบรวมไพล่พลสร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่บริเวณข้ามฝากไปกาเล ที่ฝั่งอังกฤษ



- ฮิตเลอร์ได้ข่าวจึงส่งสุดยอดนายพลจิ้งจอกทะเลทราย เออวิน รอมเมลไปคุมแอตแลนติกวอลทั้งหมด
รอมเมลถือว่าเป็นนายพลที่ฮิตสุดดังสุด และเก่งกาจที่สุดก็ว่าได้ของฝั่งเยอรมัน
ทำให้แอตแลนติกวอลที่ว่าแข็งแกร่ง ยิ่งแกร่งขึ้นไปอีก บวกกับความป็อปของพี่แก ทำให้ขวัญกำลังใจทหารมาเต็ม

- เมกาใช้เครื่องบินสอดแนมแบบใหม่ ทำให้เห็นแนวการป้องกันของเยอรมันทั้งหมด
บวกกับสายลับภาคพื้นดินของฝรั่งเศส ที่รายงานการป้องกัน จุดตำแหน่งพิกัดต่างๆอย่างละเอียดให้ฝั่งสัมพันธมิตร

- อังกฤษถึงขั้นส่งหน่วยคอมมานโดไปด้วยเรือดำน้ำ เก็บตัวอย่างดินทรายและอื่นๆ เพื่อกลับมาอังกฤษ
แล้วให้ฝั่งออกแบบ ออกแบบรถถังจู่โจมเพื่อที่จะฝ่าสิ่งกีดขวาง กับระเบิด ลวดหนามต่างๆของรอมเมลได้

- จนสุดท้ายฝั่งสัมพันธมิตรสามารถออกแบบ รถถังหน้าตาโง่ๆ ประหลาดๆออกมาได้เพียบ
จนโดนแซวว่าพวกรถถัง รถขนคนสมัยนั้น เรียกว่าโฮบาร์ตฟันนี่ (คนคิดชื่อโฮบาร์ต)
(ตัวอย่าง https://www.iwm.org.uk/history/the-funny-tanks-of-d-day )

มีตั้งแต่รถถังที่ว่ายน้ำได้ รถถังพ่นไฟได้ รถถังที่มีอุปกรณ์กำจัดเครื่องกีดขวาง ที่หน้าตาสุดประหลาด
ออกแบบมาเพื่อการเฉพาะตั้งแต่กำจัดทุ่นระเบิด กำจัดลวดหนาม
ไปจนถึงรถถังที่พกบันไดไปด้วยเมื่อเจอจุดที่ขึ้นไม่ได้ เจอสิ่งกีดขวางสูงๆก็พาดบันไดใส่เลย ให้เพื่อนวิ่งตามได้ด้วย
(ถ้าไปเซอร์ชดูจะพบว่าหน้าตาโคตรไม่เท่ห์ แต่การใช้งานจริงถือว่าประสบความสำเร็จระดับสูงเลยหละ)

- ไม่ใช่เท่านั้น ฝั่งสัมพันธมิตร ในเมื่อท่าเรือใกล้ๆนอมังดีไม่มี
ก็สร้างท่าเรือลอยน้ำได้ขนาดใหญ่เท่าโดเวอร์ขึ้นมาเลย
ไหนจะการออกแบบท่อลำเลียงเพื่อส่งน้ำมันใต้น้ำ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากได้สำเร็จด้วย

- เมื่อใกล้วันบุกจริง ฝั่งอังกฤษได้ทำรถถังที่ทำจากยาง เรือรบที่ทำจากยาง (คล้ายๆเรือเป่าลม รถถังเป่าลม)
แต่ดูไกลๆจะเหมือนเรือ เหมือนรถถังเปี๊ยบ จำนวนมาก
เพื่อหลอกล่อว่ามีกองทัพจำนวนมากเตรียมจะบุกจากโดเวอร์ที่อังกฤษ
โดยให้นายพลจอห์น แพตตัน(ที่ทัพนาซีกลัวคนนี้มาก)เป็นผู้นำกองทัพเงานี้
(ตัวอย่าง https://www.abcinflatables.co.uk/theatre-and-film-inflatables/inflatable-tanks-for-dads-army-movie/ )

- วันบุกจริงฉากเปิดเริ่มมาจากทัพอากาศที่โจมตีทางรถไฟ สะพาน ทางเดินสำคัญๆของเยอรมันทั้งหมด
เพื่อไม่ให้ฝั่งเยอรมันส่งคนมาช่วยที่ชายหาดได้
(ซึ่งการโจมตีครั้งนี้ก็ฆ่าเอาคนบริสุทธิ์ไปเยอะเหมือนกัน แต่ไฮเซนฮาวเวอร์ยืนยันว่านี่เป็นวิธีเดียว
และไฮเซนฮาวเวอร์มีอำนาจสูงสุดในการสั่งการกองทัพสัมพันธมิตรทั้งหมดในคราวนี้)

- ฝั่งสัมพันธมิตรใช้เครื่องบินแทบทุกลำออกล่า ฝูงบินลูฟวัฟเฟอร์ ไม่ให้อยู่ใกล้ชายหาด
เพราะถ้าคนในฝูงบินได้เห็นกองเรือ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าจุดที่จะบุกไม่ใช่ปาเดกาเล แต่เป็นนอมังดี ซึ่งก็ทำสำเร็จด้วย

- เมื่อฉากเปิดเริ่มขึ้นจากการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศ ข่าวกรองของเยอรมัน(โง่ยังไงก็โง่อย่างงั้น)
ก็ยืนยันว่ากองทัพเรือของฝั่งสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเล และคำสัมภาษณ์ของนายทหารฝั่งสัมพันธมิตรในสงครามครั้งนั้น ก็พูดตรงกันว่า พวกเค้านึกว่าเราจะไปบุกที่ปาเดกาเล ไม่ใช่นอมังดี
ก็น่าจะชัดเจนว่า เรื่องนอมังดีเป็นความลับขั้นสูงมากๆ น่าจะมีแค่ไม่มีคนเท่านั้นที่จะรู้

- ก่อนวัน D-Day ฝั่งสัมพันธมิตรส่งเหล่าแอร์บอร์น 2หมื่นกว่าคน โดดร่มไปหลังแนวรบเยอรมันบริเวณชายหาด
เพื่อเตรียมพร้อมโจมตีจากฝั่งด้านหลัง และเพื่อก่อกวนกองรถถังแนวหลังของเยอรมันด้วย
ด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ทำให้พอถึงวันD-Day กองรถถังในแนวหลังเยอรมันไม่รู้ว่าควรจะโจมตีข้าศึกตรงหน้า
หรือไปช่วยที่หาดก่อนดี แน่นอนว่าเร็วสายฟ้าแลบแบบนั้น คำสั่งมันก็ออกกันไม่ทัน ทหารก็จะมั่วๆกันหมด

- กลับมาก่อนหน้าวัน D-Day 1 วันที่เหล่า Airborne โดดร่มลงไปแล้ว
ทางฝั่งเยอรมันก็ยังสับสน ว่าเหล่า Airborne พวกนี้เป็นแค่ตัวล่อ แล้วจะขึ้นบกกันที่ปาเดกาแล
หรือจะบุกเข้ามาจากฝั่งนอร์มังดีจริงๆกันแน่

- ในคืนนั้น กองรถถังหลัก4กองของเยอรมันไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะไม่มีใครออกคำสั่งได้นอกจากฮิตเลอร์คนเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นคือฮิตเลอร์หลับอยู่ และไม่มีใครกล้าปลุก

- ส่วนรอมเมลตอนนั้นขอลากลับไป เพราะเป็นวันเกิดของเมีย เลยกลับไปเยอรมันเพื่อฉลองวันเกิดกับเมีย
(ซะงั้น!! เหมือนฉากในหนังที่ตัวร้ายเทพโคตรๆ เท่ห์จัดๆมาทั้งเรื่อง แต่ตอนจบต้องโดนเนิฟให้พระเอกชนะ)
และสาเหตุที่รอมเมลกล้ากลับไปวันนั้น เพราะฝ่ายพยากรณ์อากาศบอกว่าสภาพอากาศจะย่ำแย่ ทำให้รอมเมลชล่าใจ

- ฉากถัดมาคือวัน D-Day จากวันที่5ที่สภาพอากาศย่ำแย่ตามที่ฝั่งเยอรมันคาดการณ์ไว้
แต่มาวันที่ 6มิถุนายน ท้องฟ้าท้องทะเลกลับสดใสเป็นใจ (อย่างกะบทหนังเขียนมา) ให้ไฮเซนฮาวเวอร์สั่งลุย

- ภาพตัดสลับมาที่ฮิตเลอร์พึ่งตื่นนอนหลังสัมพันธมิตรบุกไปหลายชั่วโมง
หน่วยข่าวกรองรายงานว่ามีกองเรือใหญ่ 2 กองกำลังมุกหน้ามาที่กาเล ผลสรุปคือฮิตเลอร์คิดว่า
การบุกที่นอร์มังดีก็เป็นแค่การตบตาที่ทำมาเนียนมากๆ และยังเชื่อว่าพวกสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเลแน่ๆ

- แต่ปรากฎว่าหน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็พลาด (ตามเดิม) ที่รายงานฮิตเลอร์ไปแบบนั้น
เพราะว่าเห็นจากเรดาห์ว่ามีกองเรือขนาดใหญ่ มุ่งมาทางปาเดกาเล
แต่แท้จริงแล้วเป็นกลลวงของอังกฤษ ที่ใช้เครื่องบิน ร่อนเศษกระป๋องที่ทำจากดีบุกลงมาช้าๆ
ทำให้ในเรดาห์จะเห็นกองเรือขนาดใหญ่ค่อยๆมุ่งหน้ามาหาอย่างช้าๆ

- ในขณะเดียวกันฝั่งสัมพันธมิตร ก็ออกปฏิบัติการส่งรูเพิร์ตให้โดดร่มลงไปหลังแนวรบ
เพื่อก่อกวนแนวหลังของเยอรมันอยู่เป็นพักๆ (รูเพิร์ตก็ประมาณตุ๊กตายาง)
เหล่า Airborne ของจริง โดดร่มสลับกับตุ๊กตายางของปลอม ก็ยิ่งทำให้แนวหลังของเยอรมันวิ่งมั่วกันไปใหญ่

- กว่าฮิตเลอร์จะรู้ตัวว่าโดนหลอก ก็ปาไปเกือบสิ้นวันแล้ว ซึ่งตอนนั้นฝั่งพันธมิตรก็สามารถยึดหัวหาดได้หมดแล้ว
ฝั่งพันธมิตรถึงกับบุกมาถึงเมืองคาห์น กว่าฮิตเลอร์จะปล่อยพวก SS-Division(พวกกองทัพเทพของฮิตเลอร์) ออกมาโลดแล่นได้ (เช่น SS-Panzer division ก็คือหน่วยรถถังที่เราเห็นกันในหนังเรื่อง Fury)

- ในด้านกำลังรบ พวกนักวิชาการก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า จริงๆแล้วฝั่งสัมพันธมิตรเหนือกว่ามาก
สิ่งเดียวที่ฝั่งสัมพันธมิตรต้องการมีแค่เวลาเท่านั้น ที่จะขนพล ขนรถถัง ขนอาวุธลงที่หาดซักหาดได้มากพอ
ถ้ามีเวลามากพอที่จะทำแบบนั้น ก็ไม่ต่างจากชนะสงครามแน่นอน และก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ

ฮิตเลอร์ปล่อยให้ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้น คือให้เวลาฝั่งสัมพันธมิตรมากพอที่จะขนคนและอาวุธ
ขึ้นมาที่ชายฝั่งได้ ยิ่งฝั่งพันธมิตรได้เวลานานขนาดไหน ก็ยิ่งขนคน ขนอาวุธ ขนรถถังขึ้นฝั่งมาได้มากเท่านั้น
ความผิดพลาดนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ฮิตเลอร์ต้องแพ้สงครามในที่สุด

โดยสรุป ที่กำแพง Atlantic wall แตกก็มาจากหลายปัจจัย
1. หน่วยข่าวกรองที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเยอรมันตั้งแต่ Battle of Britain ไปยันแพ้สงคราม
2. ความประมาทของฝั่งเยอรมัน ทั้งฮิตเลอร์ รอมเมล และอื่นๆ
(รอมเมลเขียนในตำรารบของตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเมื่อโดนโจมตี 6ชั่วโมงแรกสำคัญยังไง 12ชม 24 48 สำคัญยังไง
แต่ถึงเวลาจริง ตัวเองกลับไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วยซ้ำ)
3. เทคโลโลยีของฝั่งสัมพันธมิตรที่แพรวพราวมาก
4. กลลวงหลอกซ้อนหลอกที่ทำออกมาได้เนียบกริ๊บ
5. ฮิตเลอร์/รอมเมล ช้าเกินไป ถ้าสั่งการให้กองSSทั้งหลาย เข้าช่วยตั้งแต่แรก ฝั่งสัมพันธมิตรโอกาสก็จะน้อยลง
เพราะถึงคนจะเยอะ แต่เทียบกับSS division พวกนี้เจนสงครามกว่ามาก แถมแทบจะเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึก
หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นแหล่งรวมพวกคนเลวแบบเข้าไส้ แถมยังพร้อมใช้ยาวิเศษ
ที่กินแล้วรบได้3วัน3คืนแบบไม่ต้องพัก ซึ่งทุกวันนี้ก็คือยาบ้า ยาไอซ์ นั่นเอง
ในขณะเดียวกันทหารส่วนใหญ่ของฝั่งสัมพันธมิตร ไม่เคยจับปืนรบจริงๆซะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ
ประสบการณ์/ความบ้า/ความเก่ง ก็น่าจะคนละชั้นกันเลย

ถ้ารบจนทำให้ฝั่งสัมพันธมิตรต้องออกจากฝั่งได้ ฝั่งสัมพันธมิตรก็ต้องเริ่มใหม่จาก0 D-Dayจะล้มแหลว
สุดท้ายเยอรมันคงแพ้อยู่ดีแหละ แต่ก็ลองคิดดูว่าสัมพันธมิตรจะกลับมาได้ตอนไหน
ทหารที่เพิ่งเคยรบครั้งแรก เห็นคนตายเกลื่อน บาดเจ็บเป็นพันเป็นหมื่น แถมต้องแพ้กลับมา สภาพจิตใจน่าจะหนัก

เพราะขนาดรบชนะสงครามมา เราก็ยังเห็นกันบ่อยๆในหนังในสารคดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันหนักขนาดไหน
บางคนหลอนไปเลย บางคนจำฝั่งใจไปจนตาย บางคนยังฝันเห็นภาพเดิมๆซ้ำๆ นู้นนี่
แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดแพ้กลับมา แล้วต้องกลับไปรบใหม่จริงๆ เอฟเฟคมันจะขนาดไหน


ส่วนคำถามถัดมาคือ ถ้าวัน D-Day ผิดพลาดในครั้งแรก ไฮเซนฮาวเวอร์ก็คงจะบุกต่อไปอีกพักนึงแน่ๆหละ
แต่ถ้าไม่สำเร็จ ยังไงก็ไม่น่าจะสำเร็จอยู่ดี เพราะยิ่งช้าก็ยิ่งขึ้นฝั่งยากขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว
แต่ที่ต้องบุกต่อ เพราะไฮเซนฮาวเวอร์พูดเองว่าถ้าภารกิจนี้ล้มเหลว จะรับผิดชอบโดยการลาออก

แต่ผลลัพธ์ท้ายที่สุด ก็คงเป็นเยอรมันก็จะแพ้สงครามอยู่ดี เพราะก่อนหน้าวัน D-Day แปปเดียว
ฝั่งอเมริกันก็สามารถปลดปล่อยโรมได้แล้ว

เอาแบบเคสเบา เยอรมันก็ต้องรับศึก3ด้านอยู่ดี ทั้งแอตแลนติก ทั้งโซเวียต และทางอเมริกันจากฝั่งอิตาลี
ในระหว่างนั้นมีเวลาก็คงราวๆ1ปี ถ้าฝั่งสัมพันธมิตรเอาชนะได้ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้

ในเคสหนัก อีกประมาณปีเดียวจาก D-Day ก็ญี่ปุ่นก็แพ้สงครามแล้วจากนิวเคลียที่ฮิโรชิมา นางาซากิ
ต่อให้เยอรมันจะหัวแข็งหัวดื้อก้าวร้าวอะไรขนาดไหน แต่ผมว่าก็ไม่น่าเกินคนญี่ปุ่นในสมัยนั้นมาก
ถ้าฝั่งเยอรมันรู้ว่าญี่ปุ่นโดนอะไรไป แค่เมกาขู่จะใช้ ผมว่าทหารเยอรมันก็คงไม่เอาด้วยกับฮิตเลอร์แล้วหละ
หรือถ้าเมกาบอมใส่เยอรมันซักลูก2ลูก ผมว่าผลลัพธ์ก็ไม่น่าจะต่างจากญี่ปุ่นเท่าไหร่ ก็คือต้องยอมแพ้แน่ๆ

ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดคงไม่ต่างกันคือเยอรมันแพ้ แต่ไม่ว่าจะเคสเบาหรือหนัก คงมีคงตายเพิ่มกันอีกมหาศาล  

สุดยอดครับท่าน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel