- ก่อนวันดีเดย์ แผนการของฝั่งสัมพันธมิตร คือแยกกันบุกหลายสายโดยเป้าหมายอยู่ที่จุดยุทธศาสตร์หลายจุด
เช่น ดีแยป ก็มีการบุกโดยใช้กำลังพล 6พันคนบุกเข้าตีดีแยป ผลปรากฎว่าพ่ายแพ้ราบคาบ
- ทีแรกเชอชิลคัดค้านการการบุกทางด้านฝั่งแอตแลนติก เพราะแอตแลนติกวอลแข็งแกร่งเกินไป
จึงบุกทางด้านแอฟริกาและอิตาลีแทน ผลปรากฎว่าก็ไม่สามารถบุกผ่านอิตาลีได้
- ข้อสรุปของเมกาและอังกฤษ จึงเป็นต้องมาหาจุดอ่อนที่สุดของแอตแลนติกวอล
- จุดที่แคบที่สุด จู่โจมได้ไวที่สุดจากอังกฤษไปยุโรปคือ กาเล
ฝั่งสัมพันธมิตรจึงรวบรวมไพล่พลสร้างความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ที่บริเวณข้ามฝากไปกาเล ที่ฝั่งอังกฤษ
- ฮิตเลอร์ได้ข่าวจึงส่งสุดยอดนายพลจิ้งจอกทะเลทราย เออวิน รอมเมลไปคุมแอตแลนติกวอลทั้งหมด
รอมเมลถือว่าเป็นนายพลที่ฮิตสุดดังสุด และเก่งกาจที่สุดก็ว่าได้ของฝั่งเยอรมัน
ทำให้แอตแลนติกวอลที่ว่าแข็งแกร่ง ยิ่งแกร่งขึ้นไปอีก บวกกับความป็อปของพี่แก ทำให้ขวัญกำลังใจทหารมาเต็ม
- เมกาใช้เครื่องบินสอดแนมแบบใหม่ ทำให้เห็นแนวการป้องกันของเยอรมันทั้งหมด
บวกกับสายลับภาคพื้นดินของฝรั่งเศส ที่รายงานการป้องกัน จุดตำแหน่งพิกัดต่างๆอย่างละเอียดให้ฝั่งสัมพันธมิตร
- อังกฤษถึงขั้นส่งหน่วยคอมมานโดไปด้วยเรือดำน้ำ เก็บตัวอย่างดินทรายและอื่นๆ เพื่อกลับมาอังกฤษ
แล้วให้ฝั่งออกแบบ ออกแบบรถถังจู่โจมเพื่อที่จะฝ่าสิ่งกีดขวาง กับระเบิด ลวดหนามต่างๆของรอมเมลได้
- จนสุดท้ายฝั่งสัมพันธมิตรสามารถออกแบบ รถถังหน้าตาโง่ๆ ประหลาดๆออกมาได้เพียบ
จนโดนแซวว่าพวกรถถัง รถขนคนสมัยนั้น เรียกว่าโฮบาร์ตฟันนี่ (คนคิดชื่อโฮบาร์ต)
(ตัวอย่าง
https://www.iwm.org.uk/history/the-funny-tanks-of-d-day )
มีตั้งแต่รถถังที่ว่ายน้ำได้ รถถังพ่นไฟได้ รถถังที่มีอุปกรณ์กำจัดเครื่องกีดขวาง ที่หน้าตาสุดประหลาด
ออกแบบมาเพื่อการเฉพาะตั้งแต่กำจัดทุ่นระเบิด กำจัดลวดหนาม
ไปจนถึงรถถังที่พกบันไดไปด้วยเมื่อเจอจุดที่ขึ้นไม่ได้ เจอสิ่งกีดขวางสูงๆก็พาดบันไดใส่เลย ให้เพื่อนวิ่งตามได้ด้วย
(ถ้าไปเซอร์ชดูจะพบว่าหน้าตาโคตรไม่เท่ห์ แต่การใช้งานจริงถือว่าประสบความสำเร็จระดับสูงเลยหละ)
- ไม่ใช่เท่านั้น ฝั่งสัมพันธมิตร ในเมื่อท่าเรือใกล้ๆนอมังดีไม่มี
ก็สร้างท่าเรือลอยน้ำได้ขนาดใหญ่เท่าโดเวอร์ขึ้นมาเลย
ไหนจะการออกแบบท่อลำเลียงเพื่อส่งน้ำมันใต้น้ำ ซึ่งในสมัยนั้นถือว่าเป็นเรื่องใหม่มากได้สำเร็จด้วย
- เมื่อใกล้วันบุกจริง ฝั่งอังกฤษได้ทำรถถังที่ทำจากยาง เรือรบที่ทำจากยาง (คล้ายๆเรือเป่าลม รถถังเป่าลม)
แต่ดูไกลๆจะเหมือนเรือ เหมือนรถถังเปี๊ยบ จำนวนมาก
เพื่อหลอกล่อว่ามีกองทัพจำนวนมากเตรียมจะบุกจากโดเวอร์ที่อังกฤษ
โดยให้นายพลจอห์น แพตตัน(ที่ทัพนาซีกลัวคนนี้มาก)เป็นผู้นำกองทัพเงานี้
(ตัวอย่าง
https://www.abcinflatables.co.uk/theatre-and-film-inflatables/inflatable-tanks-for-dads-army-movie/ )
- วันบุกจริงฉากเปิดเริ่มมาจากทัพอากาศที่โจมตีทางรถไฟ สะพาน ทางเดินสำคัญๆของเยอรมันทั้งหมด
เพื่อไม่ให้ฝั่งเยอรมันส่งคนมาช่วยที่ชายหาดได้
(ซึ่งการโจมตีครั้งนี้ก็ฆ่าเอาคนบริสุทธิ์ไปเยอะเหมือนกัน แต่ไฮเซนฮาวเวอร์ยืนยันว่านี่เป็นวิธีเดียว
และไฮเซนฮาวเวอร์มีอำนาจสูงสุดในการสั่งการกองทัพสัมพันธมิตรทั้งหมดในคราวนี้)
- ฝั่งสัมพันธมิตรใช้เครื่องบินแทบทุกลำออกล่า ฝูงบินลูฟวัฟเฟอร์ ไม่ให้อยู่ใกล้ชายหาด
เพราะถ้าคนในฝูงบินได้เห็นกองเรือ ก็จะรู้ได้ทันทีว่าจุดที่จะบุกไม่ใช่ปาเดกาเล แต่เป็นนอมังดี ซึ่งก็ทำสำเร็จด้วย
- เมื่อฉากเปิดเริ่มขึ้นจากการทิ้งระเบิดของกองทัพอากาศ ข่าวกรองของเยอรมัน(โง่ยังไงก็โง่อย่างงั้น)
ก็ยืนยันว่ากองทัพเรือของฝั่งสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเล และคำสัมภาษณ์ของนายทหารฝั่งสัมพันธมิตรในสงครามครั้งนั้น ก็พูดตรงกันว่า พวกเค้านึกว่าเราจะไปบุกที่ปาเดกาเล ไม่ใช่นอมังดี
ก็น่าจะชัดเจนว่า เรื่องนอมังดีเป็นความลับขั้นสูงมากๆ น่าจะมีแค่ไม่มีคนเท่านั้นที่จะรู้
- ก่อนวัน D-Day ฝั่งสัมพันธมิตรส่งเหล่าแอร์บอร์น 2หมื่นกว่าคน โดดร่มไปหลังแนวรบเยอรมันบริเวณชายหาด
เพื่อเตรียมพร้อมโจมตีจากฝั่งด้านหลัง และเพื่อก่อกวนกองรถถังแนวหลังของเยอรมันด้วย
ด้วยความเร็วแบบสายฟ้าแลบ ทำให้พอถึงวันD-Day กองรถถังในแนวหลังเยอรมันไม่รู้ว่าควรจะโจมตีข้าศึกตรงหน้า
หรือไปช่วยที่หาดก่อนดี แน่นอนว่าเร็วสายฟ้าแลบแบบนั้น คำสั่งมันก็ออกกันไม่ทัน ทหารก็จะมั่วๆกันหมด
- กลับมาก่อนหน้าวัน D-Day 1 วันที่เหล่า Airborne โดดร่มลงไปแล้ว
ทางฝั่งเยอรมันก็ยังสับสน ว่าเหล่า Airborne พวกนี้เป็นแค่ตัวล่อ แล้วจะขึ้นบกกันที่ปาเดกาแล
หรือจะบุกเข้ามาจากฝั่งนอร์มังดีจริงๆกันแน่
- ในคืนนั้น กองรถถังหลัก4กองของเยอรมันไม่สามารถทำอะไรได้
เพราะไม่มีใครออกคำสั่งได้นอกจากฮิตเลอร์คนเดียวเท่านั้น แต่ประเด็นคือฮิตเลอร์หลับอยู่ และไม่มีใครกล้าปลุก
- ส่วนรอมเมลตอนนั้นขอลากลับไป เพราะเป็นวันเกิดของเมีย เลยกลับไปเยอรมันเพื่อฉลองวันเกิดกับเมีย
(ซะงั้น!! เหมือนฉากในหนังที่ตัวร้ายเทพโคตรๆ เท่ห์จัดๆมาทั้งเรื่อง แต่ตอนจบต้องโดนเนิฟให้พระเอกชนะ)
และสาเหตุที่รอมเมลกล้ากลับไปวันนั้น เพราะฝ่ายพยากรณ์อากาศบอกว่าสภาพอากาศจะย่ำแย่ ทำให้รอมเมลชล่าใจ
- ฉากถัดมาคือวัน D-Day จากวันที่5ที่สภาพอากาศย่ำแย่ตามที่ฝั่งเยอรมันคาดการณ์ไว้
แต่มาวันที่ 6มิถุนายน ท้องฟ้าท้องทะเลกลับสดใสเป็นใจ (อย่างกะบทหนังเขียนมา) ให้ไฮเซนฮาวเวอร์สั่งลุย
- ภาพตัดสลับมาที่ฮิตเลอร์พึ่งตื่นนอนหลังสัมพันธมิตรบุกไปหลายชั่วโมง
หน่วยข่าวกรองรายงานว่ามีกองเรือใหญ่ 2 กองกำลังมุกหน้ามาที่กาเล ผลสรุปคือฮิตเลอร์คิดว่า
การบุกที่นอร์มังดีก็เป็นแค่การตบตาที่ทำมาเนียนมากๆ และยังเชื่อว่าพวกสัมพันธมิตรจะบุกมาที่กาเลแน่ๆ
- แต่ปรากฎว่าหน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็พลาด (ตามเดิม) ที่รายงานฮิตเลอร์ไปแบบนั้น
เพราะว่าเห็นจากเรดาห์ว่ามีกองเรือขนาดใหญ่ มุ่งมาทางปาเดกาเล
แต่แท้จริงแล้วเป็นกลลวงของอังกฤษ ที่ใช้เครื่องบิน ร่อนเศษกระป๋องที่ทำจากดีบุกลงมาช้าๆ
ทำให้ในเรดาห์จะเห็นกองเรือขนาดใหญ่ค่อยๆมุ่งหน้ามาหาอย่างช้าๆ
- ในขณะเดียวกันฝั่งสัมพันธมิตร ก็ออกปฏิบัติการส่งรูเพิร์ตให้โดดร่มลงไปหลังแนวรบ
เพื่อก่อกวนแนวหลังของเยอรมันอยู่เป็นพักๆ (รูเพิร์ตก็ประมาณตุ๊กตายาง)
เหล่า Airborne ของจริง โดดร่มสลับกับตุ๊กตายางของปลอม ก็ยิ่งทำให้แนวหลังของเยอรมันวิ่งมั่วกันไปใหญ่
- กว่าฮิตเลอร์จะรู้ตัวว่าโดนหลอก ก็ปาไปเกือบสิ้นวันแล้ว ซึ่งตอนนั้นฝั่งพันธมิตรก็สามารถยึดหัวหาดได้หมดแล้ว
ฝั่งพันธมิตรถึงกับบุกมาถึงเมืองคาห์น กว่าฮิตเลอร์จะปล่อยพวก SS-Division(พวกกองทัพเทพของฮิตเลอร์) ออกมาโลดแล่นได้ (เช่น SS-Panzer division ก็คือหน่วยรถถังที่เราเห็นกันในหนังเรื่อง Fury)
- ในด้านกำลังรบ พวกนักวิชาการก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า จริงๆแล้วฝั่งสัมพันธมิตรเหนือกว่ามาก
สิ่งเดียวที่ฝั่งสัมพันธมิตรต้องการมีแค่เวลาเท่านั้น ที่จะขนพล ขนรถถัง ขนอาวุธลงที่หาดซักหาดได้มากพอ
ถ้ามีเวลามากพอที่จะทำแบบนั้น ก็ไม่ต่างจากชนะสงครามแน่นอน และก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ
ฮิตเลอร์ปล่อยให้ความผิดพลาดที่ร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้น คือให้เวลาฝั่งสัมพันธมิตรมากพอที่จะขนคนและอาวุธ
ขึ้นมาที่ชายฝั่งได้ ยิ่งฝั่งพันธมิตรได้เวลานานขนาดไหน ก็ยิ่งขนคน ขนอาวุธ ขนรถถังขึ้นฝั่งมาได้มากเท่านั้น
ความผิดพลาดนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้ฮิตเลอร์ต้องแพ้สงครามในที่สุด
โดยสรุป ที่กำแพง Atlantic wall แตกก็มาจากหลายปัจจัย
1. หน่วยข่าวกรองที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของเยอรมันตั้งแต่ Battle of Britain ไปยันแพ้สงคราม
2. ความประมาทของฝั่งเยอรมัน ทั้งฮิตเลอร์ รอมเมล และอื่นๆ
(รอมเมลเขียนในตำรารบของตัวเองด้วยซ้ำ ว่าเมื่อโดนโจมตี 6ชั่วโมงแรกสำคัญยังไง 12ชม 24 48 สำคัญยังไง
แต่ถึงเวลาจริง ตัวเองกลับไม่ได้อยู่ในช่วงเวลานั้นด้วยซ้ำ)
3. เทคโลโลยีของฝั่งสัมพันธมิตรที่แพรวพราวมาก
4. กลลวงหลอกซ้อนหลอกที่ทำออกมาได้เนียบกริ๊บ
5. ฮิตเลอร์/รอมเมล ช้าเกินไป ถ้าสั่งการให้กองSSทั้งหลาย เข้าช่วยตั้งแต่แรก ฝั่งสัมพันธมิตรโอกาสก็จะน้อยลง
เพราะถึงคนจะเยอะ แต่เทียบกับSS division พวกนี้เจนสงครามกว่ามาก แถมแทบจะเรียกได้ว่าไร้ความรู้สึก
หรือเรียกอีกอย่างว่าเป็นแหล่งรวมพวกคนเลวแบบเข้าไส้ แถมยังพร้อมใช้ยาวิเศษ
ที่กินแล้วรบได้3วัน3คืนแบบไม่ต้องพัก ซึ่งทุกวันนี้ก็คือยาบ้า ยาไอซ์ นั่นเอง
ในขณะเดียวกันทหารส่วนใหญ่ของฝั่งสัมพันธมิตร ไม่เคยจับปืนรบจริงๆซะส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ
ประสบการณ์/ความบ้า/ความเก่ง ก็น่าจะคนละชั้นกันเลย
ถ้ารบจนทำให้ฝั่งสัมพันธมิตรต้องออกจากฝั่งได้ ฝั่งสัมพันธมิตรก็ต้องเริ่มใหม่จาก0 D-Dayจะล้มแหลว
สุดท้ายเยอรมันคงแพ้อยู่ดีแหละ แต่ก็ลองคิดดูว่าสัมพันธมิตรจะกลับมาได้ตอนไหน
ทหารที่เพิ่งเคยรบครั้งแรก เห็นคนตายเกลื่อน บาดเจ็บเป็นพันเป็นหมื่น แถมต้องแพ้กลับมา สภาพจิตใจน่าจะหนัก
เพราะขนาดรบชนะสงครามมา เราก็ยังเห็นกันบ่อยๆในหนังในสารคดีว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มันหนักขนาดไหน
บางคนหลอนไปเลย บางคนจำฝั่งใจไปจนตาย บางคนยังฝันเห็นภาพเดิมๆซ้ำๆ นู้นนี่
แล้วลองคิดดูว่าถ้าเกิดแพ้กลับมา แล้วต้องกลับไปรบใหม่จริงๆ เอฟเฟคมันจะขนาดไหน
ส่วนคำถามถัดมาคือ ถ้าวัน D-Day ผิดพลาดในครั้งแรก ไฮเซนฮาวเวอร์ก็คงจะบุกต่อไปอีกพักนึงแน่ๆหละ
แต่ถ้าไม่สำเร็จ ยังไงก็ไม่น่าจะสำเร็จอยู่ดี เพราะยิ่งช้าก็ยิ่งขึ้นฝั่งยากขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว
แต่ที่ต้องบุกต่อ เพราะไฮเซนฮาวเวอร์พูดเองว่าถ้าภารกิจนี้ล้มเหลว จะรับผิดชอบโดยการลาออก
แต่ผลลัพธ์ท้ายที่สุด ก็คงเป็นเยอรมันก็จะแพ้สงครามอยู่ดี เพราะก่อนหน้าวัน D-Day แปปเดียว
ฝั่งอเมริกันก็สามารถปลดปล่อยโรมได้แล้ว
เอาแบบเคสเบา เยอรมันก็ต้องรับศึก3ด้านอยู่ดี ทั้งแอตแลนติก ทั้งโซเวียต และทางอเมริกันจากฝั่งอิตาลี
ในระหว่างนั้นมีเวลาก็คงราวๆ1ปี ถ้าฝั่งสัมพันธมิตรเอาชนะได้ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้
ในเคสหนัก อีกประมาณปีเดียวจาก D-Day ก็ญี่ปุ่นก็แพ้สงครามแล้วจากนิวเคลียที่ฮิโรชิมา นางาซากิ
ต่อให้เยอรมันจะหัวแข็งหัวดื้อก้าวร้าวอะไรขนาดไหน แต่ผมว่าก็ไม่น่าเกินคนญี่ปุ่นในสมัยนั้นมาก
ถ้าฝั่งเยอรมันรู้ว่าญี่ปุ่นโดนอะไรไป แค่เมกาขู่จะใช้ ผมว่าทหารเยอรมันก็คงไม่เอาด้วยกับฮิตเลอร์แล้วหละ
หรือถ้าเมกาบอมใส่เยอรมันซักลูก2ลูก ผมว่าผลลัพธ์ก็ไม่น่าจะต่างจากญี่ปุ่นเท่าไหร่ ก็คือต้องยอมแพ้แน่ๆ
ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดคงไม่ต่างกันคือเยอรมันแพ้ แต่ไม่ว่าจะเคสเบาหรือหนัก คงมีคงตายเพิ่มกันอีกมหาศาล