คือตอนซื้อเนี่ย สามารถลงบัญชีแบ่งตามระยะเวลาสัญญาได้ เช่น ซื้อมา 100 ล้าน สัญญา 5 ปี = ปีละ 20 ล้าน (บวกค่าเหนื่อยรายปี)

สมมุติว่า ใช้มา 3 ปี มันจะเหลือ 20 ล้าน 2 ปี (รวม 40 ล้าน)

แล้วถ้าขายต่อได้แค่ 20 ล้าน

บัญชีที่เหลือจะนับแบบไหนอ่ะครับ

1. เอา 40 ล้านที่เหลือ มาหักราคาขาย กลายเป็นขาดทุน 20 ล้าน ในปีที่ขาย (ปีหน้า ไม่มีภาระ 20 ล้าน เพราะนำมารวมกับปีที่ขาย)

2. แบ่งจำนวนขาดทุนตามนะเวลาสัญญาที่เหลืออยู่ ในกรณีนี้ ขาดทุนปีละ 10 ล้าน (20-10) ใน 2 ปีที่เหลือ

3. ไม่ยุ่งกับเงิน 20*2 ล้านที่เหลือ ลงเป็น รายได้ 20 ล้าน ในปีที่ขายเลย

หรือคิดแบบอื่น รบกวนผู้รู้ด้วยครับ

ต้องแยกสัญญาค่าเหนื่อยกับสัญญาซื้อขายครับ

ซื้อมา 100 ล้าน จ่ายปีละ 20 ล้าน ก็ยังต้องจ่ายเหมือนเดิม

ขายได้ 20 ล้าน ก็เอายอดรายรับบวกเข้าบัญชีปีนั้นเลย

ส่วนค่าเหนื่อย ก็จ่ายเป็นรายปี ถ้านักเตะย้าย ก็ไม่ต้องลงบัญชีรายจ่าย

edit เพิ่ม : ผมยกตัวอย่างมูดริก&เซซุสกับอาร์เซน่อล (ตัวเลขอาจไม่เปีะนะ เอาพอเข้าใจ)

น่อลซื้อเซซุสมา 40 ลป. ค่าเหนื่อย 220k/w (ปีละ 12 ลป.) 5 ปี นั่นคือรายจ่ายที่น่อลต้องจ่ายปีแรกที่ค่าตัว 40+12 ลป. และปีถัด ๆ ไปปีละ 12 ลป. รวมสัญญาที่เซ็นมูลค่า 100 ลป. ที่ต้องลงบัญชี FFP

มูดริกกับน่อล จะซื้อ 80 ลป. ค่าเหนื่อย 40k/w (ปีละ 2 ลป.) 5 ปี นั่นคือรายจ่ายที่น่อลต้องจ่ายปีแรกที่ค่าตัว 80+2 ลป. และปีถัด ๆ ไปปีละ 2 ลป. รวมสัญญาที่เซ็นมูลค่า 90 ลป. ที่ต้องลงบัญชี FFP (กรณีมูดริก เชลซีเกทับที่ 95k/w)

ถ้าเซซุสกับมูดริกย้ายในปีที่ 4 น่อลก็ไม่ต้องลงรายจ่ายใน FFP (12+2)*2 = 28 ลป. ครับ (ยังไม่รวมค่าตัวที่จะได้มาอีก)

ความเห็นแรกตอบได้ดีมากแล้ว ขอเสริมนิดหน่อยครับ

1. ต้องแยกว่ามันเป็น CAPEX (capital expense) หรือ OPEX (operating expense)

ค่าตัวนักเตะ จะเหมือนสินทรัพย์ชิ้นนึงของบริษัท จะมีค่าเสื่อมตามเวลา ซึ่งในกรณีแบบนี้ ค่าเสื่อม = ระยะสัญญา เหลือมูลค่าเท่าไหร่ก็บันทึกไว้เท่านั้น อันนี้จะเรียกว่า CAPEX ส่วนกรณีเงินเดือน ก็จะตั้ง accrue หรือลงบันทึกไว้ตั้งแต่ต้นปีว่าจะต้องจ่ายรายเดือน เดือนละเท่าไหร่ อันนี้เรียกว่า OPEX

CAPEX จะสามารถนับเป็นสินทรัพย์ของบริษัทได้และถูกเอาไปนับรวมว่าบริษัทมีมูลค่าเท่าไหร่ ต่อให้ผ่อนจ่าย ก็จะลงบันทึกมูลค่าเต็มและลงด้วยว่าผ่อนชำระไปเท่าไหร่แล้วครับ แต่เงินเดือนจะนับเป็นค่าใช้จ่ายครับ

คราวนี้ ถ้าขายสินทรัพย์ก่อนหมดค่าเสื่อมทำอย่างไร ก็ขายไปครับ แล้วก็ไปทำ write-off ทางบัญชีให้มูลค่าเหลือ 0 แล้วก็บันทึกยอดขายมาอีกบรรทัดนึงแทน แต่ต้องแสดงให้ทราบว่ารายได้ที่เพิ่มมา มาจากการขายสินทรัพย์ออกไป เท่ากับว่ามูลค่าสินทรัพย์ของบริษัททางบัญชีจะลดลง แต่มีกระแสเงินสดเข้ามาแทน

ถ้าอยากได้ละเอียดกว่านี้ น่าจะต้องสายบัญชีหรือพวกที่มีความรู้ด้าน IFRS มาตอบแล้วล่ะครับ

งบการเงินจริงๆมันละเอียดกว่านี้ วิธีที่ท่านสาธิตมันขึ้นอยู่กับว่า ทีมนั้นๆต้องการจะลงบัญชีแบบไหนซะมากกว่า

แต่เท่าที่เห็นส่วนมากจะไม่ยุ่งกับ 20+20ล้านที่เหลือ นั้นคือผ่อนจ่าย5ปียังไงก็ปล่อยไว้อย่างนั้น แม้จะขายนักเตะได้ก็ไม่นำไปหักลบส่วนที่เหลือ ยกเว้นแต่บางทีอยากเห็นตัวเลขคลีนๆ

ไม่ใช่แค่ทีมฟุตบอล แต่บริษัททั่วๆไปก็มักจะไม่ยุ่งกับหนี้ที่ไม่เป็นภาระจริงๆ พวกเขาถือเงินสดเอาไว้ หรือทำบัญชีให้ดูดีเป็นรายปีดีกว่าคลีนหนี้

ตอบข้อ 1 ครับ

สิทธิในตัวนักเตะเป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตน ตัดจำหน่ายรายปีตามที่ท่านเข้าใจแหละ
ซื้อมา 100 ล้าน สัญญา 5 ปี ก็ตัดจำหน่ายปีละ 20 ล้าน
จบปีแรกไปสิทธิในตัวนักเตะก็จะเหลือ 100-20 = 80
จบปีที่สองสิทธิในตัวนักเตะก็จะเหลือ 80-20 = 60
จบปีที่สามสิทธิในตัวนักเตะก็จะเหลือ 60-20 = 40

ถ้าจบปีที่สามขายไป 20 ล้าน ก็ต้องลงขาดทุน 20 ล้านครับ [20-40=(-20)]

ถ้าผ่อนจ่ายก็ตั้งเจ้าหนี้แยกอีกต่างหากครับ ซึ่งเจ้าหนี้ก็ต้องชำระตามที่ตกลง

เดามุมบัญชี

ซื้อ = สินทรัพย์ ทยอยตัดจำหน่าย ซื้อ 100 ล้าน 5 ปี ก็ตกปีละ 20 ล้าน โดยไม่สนว่าจะซื้อสดหรือซื้อผ่อน

ขาย = รายได้ทั้งจำนวน ไม่สนว่าจะขายเงินสดหรือผ่อน เพราะมันบันทึกรายได้ทั้งหมด แล้วทยอยรับเงินเอา

ดังนั้นวิธีที่เชลซีทำคือซื้อสัญญายาวๆๆ (ขาจ่ายเหลือปีละน้อยๆ)

และขาขายก็ขายออกได้เงินเข้ามาเป็นก้อน

หาทางเอาเงินเข้ามาอุดเงินออกก็จบ

ต่อให้ซื้อ 600 ล้าน แต่ถ้าซื้อ 8 ปี เฉลี่ยมาปีละ 75 ล้าน

หาดาวรุ่งในทีมขายสัก 2-3 คนได้ 75 ล้านต่อปีก็จบเเล้ว

ค่าเหนื่อยเขาจะลงปีต่อปีครับ ลงตามที่จ่ายจริง

ส่วนการซื้อขาย ซื้อมาเท่าไหร่ก็ลงตามนั้น ต่อให้ขายออกก่อน เซ็น5ปีลง5ปี แม้จะขายปีที่2ก็ต้องลง5ปี แต่ขายได้จากการขายลงได้เลย

ซื้อ100 สัญญา5ปี ก็ลงปีละ20 แต่ขายปีที่2ราคา120ก็ลง120ได้เลย เท่ากับว่าปีที่2 จะ+100 ปีที่3ก็จะ-20 (+80)