ส่วนใหญ่ผู้สมัครที่ออกนโยบายมาน่าสนใจทั้งนั้น ไอเราชาวบ้านก็เลือกไม่ถูก เพราะก่อนเลือกตั้งแมร่งเป็นคนดีทุกคน ต้องเลือกไปก่อนถึงจะรู้ว่าดีไม่ดี งั้นถ้าสมมุติว่า

1.ก่อนการเลือกตั้ง และหาเสียงเลือกตั้ง ให้ ผู้สมัคร สส. เขียนนโยบายที่ใช้หาเสียงมา 5 ข้อ
2.ทำการเซ็นสัญญาว่า ถ้าทำไม่ได้ 3 ใน 5 ข้อ ภายในสองปี ให้พ้นสภาพการเป็น สส.ทันที

อย่างน้อยก็ช่วยลดพวกนโยบายขายฝัน และช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าคนที่เราเลือกไปจะทำอย่างที่พูดจริงๆ(หรือเปล่า)

ไม่มีประโยชน์ เพราะเป็นรัฐบาลแล้วจะแก้กี่กฎหมายก็ได้55555

จบ ปิดมู้

ไวจัด เหงาเลยมู้นี้

ทำแบบนี้ ประเทศชาติบ้านเมือง คงไม่ต้องมี สส. กันชัวร์ๆ

น่าจะได้เลือกตั้งใหม่ทุก 2 อะถ้างั้น คือหลายโครงการหลายนโยบายมันก็ทำไม่ได้ใน 2 ปี หรือ 4 ปีด้วยซ้ำ โดยเฉพาะพวกโครงการ megaprojects ที่เกี่ยวกับโครงสร้างทั้งหลาย จะกลายเป็นว่าพรรคการเมืองก็ออกแต่นโยบายฉาบฉวย แจกเงินงี้ ประกันราคานู้นนี้

ยิ่งเป็นนโยบายที่ไม่มีตัวชี้วัดชัดเจนก็ยิ่งเป็นปัญหา เช่น ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม, ปฏิรูปตำรวจ, ปฏิรูปทหาร

ผู้สมัครที่ใจอยากจะพัฒนาบ้านเมืองจริงๆ โดยผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นรอง มันมีอยู่จริงไหม

หรือพอมีอำนาจ มีช่องทางทำเงิน ทำให้คนเปลี่ยนไป

"เราจะทำตามสัญญา ขอเวลาอีกไม่นาน..."

พวกมันเคยทำตามสัญญาที่ไหน
เซ็นอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ไม่มีสภาพบังคับ

ไม่ว่าพรรคไหนก็เถอะ

เค้าถึงมีฝ่ายค้าน

เค้าถึงมีการซักฟอก อภิปรายไม่ไว้วางใจ

ถ้าทำไมไ่ด้อย่างที่พุด4ปีก็เลือกใหม่ หรือไม่ก็ยุบสภาก่อน

คนเลือกตั้งก็คนเดิมๆ พรรคเดิมๆ ยากมากที่จะไม่รู้ว่าใครยังไง

นโยบายแต่ละฝ่ายออกมา ก็ถูกวิเคราะห์กันละเอียด เอาความเป็นไปได้มา กางออก จนเห็นทุกรูปแบบอนาคต


สุดท้าย ความถูกใจแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แต่ ขอแค่ได้มีสิทธิเลือกก็พอ

อันนี้คือผมสมมุติแค่แนวทางครับ ใช้จริงก็ปรับเปลี่ยนได้ อาจจะแยกนโยบายระยะยาว กับระยะสั้น แล้วมีผลบังคับแต่นโยบายระยะสั้นก็ได้ครับ เพราะถ้าแค่ระยะสั้นยังรักษาสัญญาไม่ได้ คงไม่มีคุณสมบัติเป็นตัวแทนของประชาชน

ผมลืมนึกไปว่าถ้าทำแบบข้างต้น นโยบายระยะยาวจะถูกเมิน ต้องหาวิธีเพิ่มละครับ ขอบคุณครับ

มันก็น่าสนใจ แต่ปัญหาคือมัจะมีแต่นโยบายระยะสั้น ที่เห็นผลเร็วๆ ละเลยอะไรที่เป็นระยะยาว ถ้าแย่มากๆก็เร่งเอาเงินในอนาคตมาทำผลงาน ซึ่งตอนนี้มันก็มียู่แล้ว

เรื่องนี้ก็เห็นด้วยครับที่ว่านโยบายระยะยาวจะถูกเมิน งั้นเราก็ต้องช่วยกันหาวิธีคิดใหม่ที่จะช่วยทั้งนโยบายระยะสั้นและยาว

เพราะถ้าเป็นแบบในปัจจุบัน ประชาชนก็ไม่มีหลักประกันอะไรเลยว่าคนที่เราเลือกไปจะทำตามนโยบายหรือไม่

จริง ๆ ก็เป็นไปได้ครับ ถ้าลองคิดเร็ว ๆ มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ แต่ส่วนที่ยากที่สุดคือเรื่องการจะต้องมาพิจารณาเส้นวัด อะไรคือสำเร็จ อะไรคือไม่สำเร็จ ในแต่ละนโยบาย แล้วใครจะเป็นคนตัดสินว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ?

นั่นแหละครับ พอสุดท้ายก็จะใช้ดุลยพินิจตัดสิน ทีนี่ก็วุ่นเข้าไปอีกกับคำว่า "ดุลยพินิจ"

ขอบคุณมากครับ อย่างน้อยก็ได้คุยแลกเปลี่ยนความคิดกัน