ชอบep3มากๆครับ คาดหวังกับ Craig Mazin และ Neil Druckmann ไว้สูงมากกก ไม่ผิดหวังเลยครับ epนี้สุดมากจริงๆ

ถ้าหมายถึง ep3 ผมอินครับ

แย่มาก ทำไมเม้นแบบนี้

ชอบ Ep.3 นี่มากสุดแระตั้งแต่เริ่มปล่อยมา

ตามมุมมองผมนะ

1. การเล่าเรื่องในอดีตที่ 2 ep แรก แฟลซแบ็คไปตอนให้รู้จักเชื้อราใน ep.1 และ การเริ่มระบาดจากอินโดฯใน ep.2

แต่ใน ep.3 นี้ไม่มีแฟรซแบ็คเรื่องของเชื้อราแบบ 2 ep แรก แต่จะเป็นการเล่าจากปากของลุงโจลให้เอลลี่ฟัง เป็นการนำเสนอที่ไม่ซ้ำสองตอนแรก ถือว่าดีงาม

2. การเล่าเรื่อง(แบบละเอียด)ของ บิลและแฟรงค์ ที่ดีงามมีรายละเอียดที่ในเกมไม่มี
- ได้เห็นการเริ่มสร้างเซฟโซนของบิล
- การได้เจอกับกับแฟรงค์
- การก่อความสัมพันธ์และความรัก
- การเจอกันของบิลแฟรงค์กับโจลและเทส(ทำให้รู้งานของโจลว่าเป็นมายังไงทำงานกันยังไง)

3. จดหมายที่บิลทิ้งไว้ให้โจล มันบอกเป็นนัยยะว่า เราผู้รอดชีวิตจะอยู่ไปเพื่ออะไร คำตอบคืออยู่เพื่อใครต่างหาก

เป็นเป็นการเริ่มความสัมพันธ์ุรักแบบพ่อ-ลูกที่โจลเริ่มมีให้เอลลี่ ใน ep นี้มันทำให้รู็ว่าทำไมโจลถึงเห็นคุณค่าของเอลลี่ ทั้งๆที่ก่อนหน้าแทบจะยิงหัวอยู่แล้ว

เหตุผลที่เทสขอมันอาจจะยังไม่พอที่ให้โจลรักเอลลี่ แล้วมาตอกย้ำคนดูให้เห็นเหตุผลจากจดหมายบิลอีก ที่อยู่เพื่อใคร เพื่อความรักกับใครซักคน

4. ผมว่าความรักของบิลและแฟรงค์สวยงามมาก ทำออกมาได้สวยงามหมดจด ผมให้มันสวยงามกว่า โบรคแบ็คเมาเท้นต์อีก

เพราะบิลผู้เหงามาทั้งชีวิต ไม่รู้จักตัวเองจริงๆ มาค้นพบตัวเองกับแฟรงค์ และทั้งคู่ตกหลุมรักกัน อยู่ด้วยกันมาร่วม 17 ปี

ไม่เคยทิ้งกัน ดูแลห่วงใยกัน อีกฝ่ายจะตายอีกฝ่ายก็ไม่ขออยู่ เพราะทั้งชีวิตมีแค่อีกฝ่ายเท่านั้น

ขนาดตอนที่บิลโดนยิง คิดว่าตัวเองจะไม่รอด ก็ไม่ได้ห่วงตัวเอง ยังสั่งให้แฟรงค์ไปหาโจล เพราะโจลจะดูแลแฟรงค์ได้
(นี่ไม่ได้ห่วงชีวิตตัวเองเลย ห่วงคนรักตัวเองมากกว่า)

นี่ละครับความรักที่สวยงาม รักที่ไม่จำกัดเพศ วัย สถานะ ความรักมันเกิดขึ้นได้เสมอ แต่รักแท้แบบนี้มันสวยงามจริงๆ

ผมไปโหวตใน IMDb ให้ 10 เต็ม

แต่เห็นคะแนนเฉลี่ยแล้วไม่แปลกใจเลย

เพราะ

คนไทยเราเปิดกว้างมากนะครับเรื่อง LGBTQ+ ใน SS นี่ก็เปิดกว้างมากๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่ดี

แต่

ทั่วโลกส่วนใหญ่ยังไม่เปิดรับแบบคนไทยเรานะครับ ยิ่งที่เมกาประเทศที่สร้างซีรีส์นี้ยังมีอีกเยอะที่ไม่เอา

แล้วคนดูบางส่วนอย่างจะเห็นฉากแอ็คชั่นมันๆแบบในเกม หรือฉากของโจลกับเอลลี่มากๆ

แต่ Ep นี้อุทิศให้บิลและแฟรงค์เกือบทั้ง ep คนเลยไม่ชอบใจกันพอสมควรคะแนนเลยน้อย


ต้องยอมรับว่าทั้งโลกนี้คนที่ยี้และเหยียด เกย์ รักร่วมเพศมันยังเยอะอยู่

ต่างประเทศเลยมีการรณรงค์การเรียกร้องโน่นนี่นั่นกันอยู่ ต่างจากไทยทีไม่ต้องทำแบบนั้น เพราะไทยเราเปิดรับได้นานแล้ว

ผมให้ 10 เต็ม 10 เลย ep นี้ เหมือนดูหนังดีๆเรื่องนึงเลย

เขียนได้ดีมากเลยครับ เห็นด้วยทุกข้อ กด10/10epนี้ในimdbเหมือนครับ

ยังไม่ได้ดูนะ แต่บิลล์มันก็เป็นเกย์มาตั้งแต่ในเกมละนี่

แฟนเกมแอนตี้น่ะแหละ ก็ไม่เหมือนในเกมหนิ แต่ผมชอบนะ เพราะผมดูหนังหนิ ถ้าผมอยากให้เหมือนในเกมผมไปเล่นเกมไม่ดีกว่าหรอ ฉากบิลจะทำยังไงในหนังน่ะถามจริง เดินยิงทั้งตอน

เขียนได้เนียบมากครับ

จริงๆ แค่เทสบอกให้ไปส่งเด็กเพราะคือความหวัง คำพูดแค่นี้มันทำให้โจเชื่อ 100% ไม่ได้อยู่แล้ว

พอมาเจอ EP คือหมดจดจริงๆ บิลทำให้โจเข้าใจความหมายของการมีชีวิตอยู่เพื่อใครสักคนขึ้นมา

คราวนี้โจถึงทำภารกิจแบบพ่อส่งลูกไปโรงเรียนได้แบบไร้ข้อกังขา บางคนไปโฟกัสเรื่อง LGBT กันหมด

ไม่อินเลยอ่ะครับ บทบิล-แฟรงค์ มันใส่เข้ามาเยอะไป กลายเป็นตอนที่เทสตาย แล้วพอมาอ่านจดหมายของบิล ว่าให้เอาอาวุธไปปกป้องเทส พอโจทำหน้าเศร้า ผมก็แบบ อิหยังวะ ทั้งตอนมีแต่เรื่องบิล-แฟรงค์ แล้วตกลงเรื่องโจ เทส เป็นมายังไง ทำไมพอเทสตายแล้ว ต้องมีแรงฮึดมาดูแลเด็กแทน คือแบบไม่มีอิมแพคเลย

อีกฉากที่ขัดใจคือ บิลที่แบบคนวิตกจริต ขี้ระแวง วางกับดัก ทั่วหมู่บ้าน แต่พอโจรบุกกลับไปยืนยิงปืนกลางถนนโล่งๆ ให้โดนยิง อันนี้ดูขัดใจมากที่สุดละ

นั่นสิผมก็งงว่าไปโฟกัสตรงนั้นทำไม ไปโฟกัสฉากชายจูบชาย

ทั้งๆที่เนื้อหาสำคัญที่หนังจะบอกคือเหตุผลว่าทำไมต่อไปนี้โจลจะปกป้องเอลลี่ด้วยชีวิต

โจลที่เสียลูกสาวไป เอลลี่เข้ามาเติมเต็มชีวิตส่วนที่โจลขาดหายไป

หนังก็อุปมาเหมือน บิลผู้อ้างว้าง ได้แฟรงค์เข้ามาเติมเต็มให้ชีวิตมีคุณค่า To die for อ่ะ

หนังมันก็สื่อเนื้อหาส่วนนี้ออกมาง่ายๆแบบย่อยง่ายด้วยนะ แต่คนไม่เห็นหรือมองข้ามจุดนี้ไปโฟกัสจุดอื่น
(เหมือนหาตำหนิอ่ะ ซึ่งในส่วนนี้ผมว่าไม่ใช่ตำหนิด้วยซ้ำ เป็นจุดดีงามของ ep ด้วยซ้ำไป)

ลองนึกดูนะครับ ถ้าบิลไม่ทิ้งขดหมายไว้ แล้วตายตามแฟรงค์ไป

หนังมันจะเอาเหตุผลไหนมาซัพพอร์ตว่าโจลจะรักและปกป้องเอลลี่

เหตุผลนี้มันดีงามมากใน ep นี้ ถ้าไม่มีเหตุผลนี้นะ หนังก็จะง่อยๆไปล่ะ แบบว่าค่อยๆเดินทางไปแล้วค่อยรักห่วงใยเหรอ มันธรรมดาไปมั้ง เนอะ

ผมชอบ ep นี้มากๆเลยครับ ตัวละครในเกมมีมิติขึ้น เข้าใจความหมายของ the last of us มากขึ้นไม่ใช่เรื่องของการเอาตัวรอดอย่างเดียวแต่มันอธิบายถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้ดี ตรงนี้ถือว่าทำมาดีมากๆ ส่วนความรักของแฟรงกับบิลสวยงามจริงๆ

ตอนแรกก็แปลกๆ แต่หลังๆซึ้งมาก อีพีนี้สุดๆครับ10\10 ชอบมากดีแล้วจะได้ไม่เหมือนในเกมทั้งหมด

ส่วนตัวผมค่อนไปทางชอบ มากกว่าไม่ชอบนะ ให้ 8.5/10

ผมเข้าใจว่าบางคนทำไมไม่ชอบ อาจจะตัวเกมส์ไม่ได้กล่าวเยอะว่าบิลเป็นเกย์ แค่มีหยอดๆไว้

แต่ในซีรีย์เรียกว่ายก Ep นี้ให้เลยยิ่งช่วงต้นๆ ไม่เห็นหน้าโจลกับเทสคิดว่าดูผิดเรื่อง

หรืออย่างตอนปลูกสตอร์เบอร์รี่ ไม่มีก็ได้ผมว่า

แต่พอช่วงกลางถึงท้าย ผมรู้สึกว่ามันดีมาก การทำให้ตัวละครประกอปในเกมส์อย่างบิล
ขึ้นมาเป็นตัวหลักในซีรีย์ ทำให้คนจดจำได้ขนาดนี้

ผมไม่แน่ใจว่าบิลในเกมส์เหมือนแค่ให้อาวุธกับรถไหม แต่บิลในซีรีย์ให้ข้อคิดและแรงบันดาลใจกับโจล
(ซึ่งในโลกที่ล่มสลายแบบนั้นก็คงเป็นอะไรที่หายาก)

ส่วนตัวดูมา 3 Ep ให้ Ep 3 ดีที่สุดของซีรีย์ ณ ตอนนี้ครับ

สำหรับผมตอนนี้แสดงถึง สิ่งที่ The Last of us part 1 ได้ดีมาก

Joel: ...No Matter What, You Keep Finding Something To Fight For.
.
.
.
Ellie: Swear to me
.
Ellie: Swear to me that everything you said about Fireflies is true
.
.
.
Joel: I swear.



ความหมายของเกมส์ภาคแรกอยู่ในบทสนทนาเหล่านี้
จากบทสัมพาษณ์ของผู้กำกับผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าเนื้อเรื่องในซีรี่ส์จะอิงตามความหมายนี้กับตัวละครหลักทุกคน ที่อธิบายเหคุผลในการมีชีวิตอยู่ ในแต่ละตัวละคร Ellie, Joel, Bill, Frank, Sam, Tommy, Maria, Marlene.

Ps. Im so nerd 555

Ep. นี้มันมีพวกแอนตี้ไปสแปม 1 ดาวนิคะแนนมันเลยลง

ส่วนตัวเฉยๆกับ ep นี้นะ ไม่ได้เกลียดอะไรกับ lgbt แต่ผมว่ามันเล่าความสัมพันคู่นี้นานไป มันทำให้เนื้อเรื่องความสัมพันของ แอลลี่-โจ มันจะเร่งไปอีกจากตอนล่าสุดก็เหมือนจะดีกันแล้วแค่ยังไม่ไว้ใจให้ทำอะไรเสี่ยงๆ เห็นเขาบอกจบ ss1 เนื้อเรื่องจะจบช่วงต้นเกมภาค2 แปลว่าอีก 6 ep นี้คือ 3-4 ตอนก็น่าจบเกมพาท 1 แล้ว หวังว่าจะไม่มีช่วงเร่งให้โจกับเอลลี่ดีกันแบบเร่งเกินไปนะ