เงินมันจะเฟ้อไหม คนที่มีเงินเก็บอยู่แบบนี้พังเลยไหมครับ

เราก็จะต้องเจอกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น

เงินหนะเฟ้อแน่นอนครับ แต่ต้องดูว่า เงินเฟ้อแล้วเงินค่าแรงใช้แต่ละวัน เหลือ เพิ่มขึ้นมากไหม ถ้าเหลือเพิ่มมากขึ้นก็ถือว่าโอเคครับ

เงินเฟ้อขึ้น
แต่คนก็มีกำลังซื้อมากขึ้นด้วย

1. เงินเฟ้อ
2. sme ตาย
3. แรงงานตกงาน
4. บริษัทสายการผลิตย้ายฐานไปเพื่อนบ้าน พวกเวียดนาม

คือจะเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ คุณภาพแรงงานมันต้องเพิ่มตาม
รวมถึงเปลี่ยนจากประเทศที่รับเป็นฐานการผลิตราคาถูก
ต้องปรับเป็นประเทศนวัตกรรมให้ได้ก่อน

จะบอกว่าลดฐานช่องว่างคนรวย คนจน
เอาจริงๆบริษัทใหญ่ในไทย ค่าแรงเฉลี่ยเกิน 600 บาทต่อวันไปนานแล้ว

มีเหลือก็แต่พวก SME ที่ถ้าเพิ่มต้นทุนตรงนี้ไปอีกเท่าตัว
จะมีเหลือรอดกันกี่เจ้า ...

กำลังคิดมากเรื่องเงินที่เก็บในบัญชีอยู่ครับ ถ้าไม่ทำอะไรซักอย่างให้มันมีมูลค่าเมื่อถูกค่าแรงปรับขึ้น แย่แน่ๆครับ รู้ตัวอีกทีตอนสาย ควรซื้อทองเก็บไว้ไหมครับ

ผมไม่คิดว่านโยบายนี้จะไม่เกิดขึ้นจริงในเร็วๆนี้แน่ๆ เหมือนกับอีก พรรคที่ใช้หาเสียงแหละ
นโยบายค่าแรงผลกระทบวงกว้างมันเยอะกว่าที่พวกนักการเมืองโฆณษาหาเสียงเยอะ

พอตนเองได้มาบริหารจริง ผลกระทบที่ตัวเองตามแก้ มันก็เยอะมหาศาล
เลยไม่มีใครสามารถทำตามที่พูดได้

ส่วนทางเลือกสำรองในการบริหารความเสี่ยง แบ่งการลงทุนในหลายๆ สินทรัพย์ก็เป็นความคิดที่ดีกว่าถือเงินสดอยู่แล้วครับ

ตอนนี้ห่วงเรื่องค่าไฟมากกว่า

เค้าไม่ได้เพิ่มรวดเดียวไป600ไม่ใช่เหรอ ปี70นุ้น ถ้าsmeอยู่ไม่ได้ก็ปิดไปครับ หรือไม่ก็ไปเวียดนามเลย
คิดว่าปี70ค่าแรงเวียดนามจะเท่าเดิมเหรอ

อันนี้ขอถามถ้าเกิดมีการขึ้นค่าแรงเป็น 600 จริง
ในภาคอสังหาริมทรัพย์จะกระทบในแง่ดีหรือแย่ครับ (กำลังจะขายบ้านเพื่อเปลี่ยน location)

คนชั้นล่าง : บางส่วนตกงานเพราะงานบางอย่างใช้เครื่องจักรทำแทนหรือไม่ใช่คนก็ได้ , บางส่วนมีงานอยู่อาจจะรายได้มากขึ้นบ้างแต่คุณภาพชีวิตยังเท่าเดิม
คนชั้นกลาง : SME ต้องปรับตัว , ทำงานบริษัทต้องปรับตัว

ผมมองว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย ชีวิตเราอาจจะต้องปรับตัวเหมือนไปอยู่ต่างประเทศมากขึ้นเช่น อะไรที่เคยมีคนบริการเราอาจจะทำเองมากขึ้น ทำอาหารกินเองมากขึ้น แต่ปัญหาคือประชากรที่ไม่สามารถปรับตัวไม่มีSkillหรือถูกทดแทนด้วยเครื่องจักร บางส่วนจะกลายเป็นปัญหาสังคมทำให้ชีวิตคนชั้นกลางอันตรายขึ้น

ก็ถ้าขึ้นแล้วโยนภาระไปให้ผู้ประกอบการ ค่าครองชีพมันก็สูงขึ้นตรงๆตัวครับ อันนี้คือแบบโง่ๆเลย เช่นประกาศปรับค่าแรงตรงๆ ไม่มีอะไรตามหลัง


คือการจะขึ้นค่าแรงมันจะมีผลกระทบไม่กี่อย่างหรอกครับ เพราะค่าแรงหรือแรงงาน คือ resource ที่ขาดไม่ได้ในการผลิต GDP แทบทุกชนิดในโลก เว้นแต่จะเปลี่ยนแรงงาน 80-90% เป็น Robotics น่ะนะครับ แต่ก็จะไม่มีทางเป็น 0

แต่วิธีที่จะขึ้นค่าแรงได้โดยให้ไม่มีหรือมีผลกระทบน้อยที่สุดเท่าที่เป็นไปได้มันก็พอมีครับ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าการจะได้โดยไม่มีเสียอะไรเลยนั้นไม่มีอยู่จริง

แรงงานตกงานครับ จ้างคนวันละ600
30คน เปลี่ยนเป็นหุ่นยนต์แล้วจ้องคนคุมหุ่นยนต์คนเดียววันละ1200ดีกว่า


โรงงานที่ต้องการแรงงานทั่วไปเช่นสิ่งทอเสื้อผ้า ย้ายไปเวียดนามตอนไทยขึ้นค่าแรง300 แรงงานในโรงงานพวกนี้ตกงาน

ตอนขึ้นค่าแรง300 รัฐบาลลดเก็บภาษีนิติบุตคลจาก30% เหลือ20% ถ้าค่าแรง600รัฐจะลดภาษีให้อีกหรอจาก20% จะเหลือ10%มั้ย แล้วรายได้รัฐจะเป็นไงคิดดู

มันเป็นนโยบาย​ ถ้าทำได้จริงก็ปี​ 70

นักวิเคราะห์​ก็วิเคราะห์​ไปครับ

ผลกระทบยังไม่มา

รอหลังเลือกตั้ง​อีกที​ ใครจะเป็นรัฐบาล

ถามจริงๆ​ ทุกวันนี้มันดียังไง​ มันดีแล้วจริงๆรึ

พวก​ SME เขาก็รอดูว่าใครจะเป็นรัฐบาล

พวกโจมตี​นโยบาย

ของตัวเองดีแล้วจริงๆ​ รึทุกวันนี้​

ทยอยขึ้นไป จนชน หรือให้ใกล้เคียง600 ยังพอเป็นไปได้ กว่า กระโดด เปรี้ยงไป 450 วันแรกที่เป็นรัฐบาลนะครับ
ส่วนตัวผมคิด
มันค่อยๆ ปรับ ไปเรื่อยๆ
แต่ปรับวันแรก ที่เป็นรัฐบาลเลย มันจะเหมือนสมัย เราโดดไป 300 แล้วราคาทุกอย่างโดด ตามอย่างดื้อๆอะ

ถ้าฝั่งสลิ่มงวดก่อน
มิ่งขวัญตรึงราคา ค่าครองชีพ ปชป ประกันค่าแรงขั้นต่ำ รัฐอุดหนุนส่วนต่างช่วย sme

ที่คน ส่วนใหญ่ต้องการ น่าจะเป็นความโปร่งใส ในการ ทำงาน
และดึงเงินคืนจากที่ไปลงที่ ที่เงินไม่ควรไปมากกว่าแค่เรื่อง
ค่าแรงขั้นต่ำนะครับ