จะต้องมีนักบุญทุนชาวบ้านอีกกี่คนครับ
คนถึงจะตาสว่างกันซักที

เข้าใจเจตนานะว่ามีเจตนาที่ดีที่อยากช่วยเหลือ
แต่จะทำแบบวิธีการผิดๆแบบนี้ไปเรื่อยๆเหรอ

งบปีๆนึงกู้มาเยอะมากๆนะ แต่สวัสดิการห่วยบัดซบเลย
เอาไปลงกับสถาบัน กับทหารหมด
แต่ 2 กลุ่มนี้แทบไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้กับประเทศเลย

นักบุญทุนชาวบ้านก็ได้หน้าไป
ปัญหาที่แท้จริงก็ยังอยู่เหมือนเดิม

ผมเชื่อว่าเดี๋ยวในอนาคตก็มีอีก
ทางบกมีแล้ว
ทางน้ำมีแล้ว
เหลือทางอากาศแหละเนอะ

น่าสงสารคนในประเทศเหลือเกิน
เมื่อไหร่ไอพวกถ่วงความเจริญมันจะหมดไปซักที

คนข้างล่างมองตาขวางแล้วครับ

ส่วนตัวผมอยากให้เก็บvat10%แล้วกระจายงบไปทุกภาคส่วนแบบ

พอใช้ลงตัวงานไม่โหลดกับคนหน้างาน และต้องไม่มีการแดก%คอรัปชั่นใดๆ แต่ก็นั่นแหละ

เป็นไปไม่ได้ ทำใจ จะได้ไม่ต้องมี นักบุญทุนคนอื่น ทุกคนอื่น555

ประเด็นมันอยู่ที่การเรี่ยไรมากกว่าครับ นักบุญอะไรแบบนี้มีได้แหละ แต่ให้จัดเป็นมูลนิธิ องค์กร แบบสากลเขาทำ ในนามนักกีฬา นักแสดงอะไรแบบนี้ ไม่ใช่มาทำอะไรที่ดึงทรัพยากรส่วนรวมไปสรา้งภาพให้ตัวเอง

ผมว่าประเด็นนี้ไม่มีทางหมดไปจากบ้านเราแน่ๆอะ เหมือนเป็นวัฒนธรรมการบริจาคไปแล้ว

เค้าจับจุดได้ว่าคนไทยขี้สงสารชอบทำบุญเพราะบ้านเราเมืองพุทธอะค้าาบบบ

ยังไงนักบุญทุนคนอื่น หรือเรียกสวยๆว่า fundraiser ก็ยังมีต่อไปครับ หาทางแก้ปัญหาไปด้วยได้ ดีแค่ไหนก็รับบริจาคได้ครับ

ถ้าจะให้ยั่งยืนต้องทำแบบที่แรชฟอร์ดทำ ให้ทั้งเงินตัวเอง ทั้งรับบริจาค ทั้ง call out เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านนโยบาย

เรื่องพวกนี้ผิดถูกมันอยู่ที่ผลตอบรับครับ อยากแก้โครงสร้างก็แก้ไป
อยากให้ความรู้ความเข้าใจคนก็ทำไป คือยุคนี้มันหมดยุคพูดปากเปล่าแล้วอ่ะ
คนสนใจแต่รูปธรรม ต่อให้คนๆนั้นจะสร้างภาพเอาประโยชน์เข้าตัวเอง
แต่ถ้าสิ่งที่เขาทำมันทำได้จริงๆ มันก็จะมีคนสนับสนุนเขาอยู่ดี
ในทางตรงกันข้ามถ้าคนนั้นๆไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากพูดอย่างเดียว
ต่อให้เรื่องที่พูดมันถูก แต่สักพักสังคมก็จะมองข้ามเขาไปอยู่ดี

ปัญหาคือ ตัวเองก็ไม่ทำแต่ขยันแซะ นี่ก็ต้นตอนึง คนทำดีไม่ช่วยก็อย่าไปเห่าเขา ทำได้แบบเขาไหม หรือ ทำได้ตัวเองคงไม่ทำหรอกนิสัยยังงี้ อยู่เงียบๆก็ดีแล้ว

ไม่หายหรอกท่าน ที่อื่นๆประเทศอื่นๆที่เจริญแล้วเค้าก็ยังมีอยู่
จริงๆมันก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายอะไรนะ เพียงแต่ของเรามันออกแนวตื้นเขินเท่านั้นเอง คือตัวนักบุญเนี่ยไม่ได้ใส่ใจเรื่องโครงสร้างที่มันเป็นต้นตอปัญหาที่แท้จริง มันเลยออกมาแล้วดูตื้นเขินเหมือนพวกหิวแสงอะ กลายเป็นกิจกรรมยกตัวเองเฉยๆ
ถ้านักบุญนี่เป็นคนที่สนใจปัญหาที่แท้จริงอย่างพรี่ตูนหรืออย่างโตโน่ ถ้าแค่วิ่งรอบสนามสามรอบ เกาะโฟมตีขาในสระเด็กเพื่อระดมทุน แต่ในขณะเดียวกันทุกครั้งที่มีโอกาสคือออกมาเป็นปากเสียงให้หมอให้ระบบสาธารณสุข คนก็ยอมรับไง แต่นี่คือถามไปจริงๆเถอะว่าเข้าใจเรื่องอะไรงี้มั่งไหม ตัวเองเคยรู้เรื่องปัญหาในระบบสาธารณะสุขดีขนาดไหน มันเลยเหมือนเป็นอีเวนท์หาแสงให้ตัวเอง คือเหมือนจะวิ่งจะทำทำอะไรเพื่อตัวเองอยู่แล้วแต่เรียกแสงซะหน่อย จริงๆไม่ได้อินอะไรกับปัญหาระบบสาธารณะสุขด้วย จะวิ่งเพื่อโลกร้อน วิ่งเพื่อเด็กด้อยโอกาส วิ่งเพื่อหมาแมวจรจัด เอาอะไรมาครอบก็ได้ทั้งนั้นแหล่ะ เพราะก่อนหน้านี้เค้าไม่เคยมีปากเสียงอะไรด้านนี้เลย อยู่ๆก็โผล่มา แล้วพอหมดอีเวนท์นี้ก็หมดไป แบบนี้จะวิ่งรอบโลกหรือจะว่ายทวนน้ำโขงไปจีนมันก็ดูตื้นเขินอยู่ดีอะครับ

รอแก้ปัญหา รอรอรอ กี่ปีกี่ชาติจะแก้ได้ มันก็ต้องระดมทุนช่วยกันไปก่อน ต่างอะไรกับ กฐินผ้าป่า ที่ทำบุญเข้าวัดกันทุกปี แค่เปลี่ยนที่บริจาคแค่นั้นเอง ไม่ทำไม่บริจาคก็ไม่ต้องไปว่าคนอื่นที่ทำ

ผมเห็นต่างแหะ

ถ้ามองจากสถานะการณ์ปัจจุบันกิจกรรมนี้ถือว่าได้ประโยชน์นะ
คนที่เค้าไม่รู้ว่ามีจุดที่มันลำบากก็ได้รู้แล้วได้ช่วยเหลือ
การระดมทุนหรือเรี่ยไรหรืออะไรทำนองนี้เป็นการทำแบบเต็มใจไม่ได้บังคับทำเพราะงั้นคนที่ไม่สะดวกก็ไม่ต้องร่วมก็จบ

ผมเข้าใจดีว่ามันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ แต่ในเมื่อต้นเหตุยังแก้ไม่ได้ในเวลานี้ก็จำเป็นต้องแก้ปลายเหตุไปก่อนมั๊ยอย่างน้อยก็ยังได้ช่วยคนที่เค้าเดือดร้อนโดนที่เราไม่ได้เดือดร้อนอะไร

ส่วนต้นเหตุทุกคนคงรู้แหละว่ามันเกิดจากอะไรแต่ยังไม่รู้จะแก้ไขยังไง

ส่วนตัวผมไม่เชื่อเรื่องซุปเปอร์ฮีโร่หรอกว่าคน คนเดียวจะแก้ปัญหาของประเทศนี้ได้หมดมันต้องเกิดจากความร่วมมือของคนทั้งประเทศร่วมแรงร่วมใจกันถ้าเรายังแตกแยกกันอยู่แบบทุกวันนี้ก็มีต่างชาตินั่งยิ้มหัวเราะกันไปเหมือนเดิม

ผมเชื่อว่าการระดมทุนแบบนี้จะยังมีต่อไปแหละเพราะยังไงความเลื่อมล้ำมันจะยังคงดำเนินต่อไปคนที่มีมากแบ่งปันให้คนด้อยโอกาสเป็นเรื่องดี

การที่คนมีชื่อเสียงออกมาทำกิจกรรมมันก็เพื่อสื่อสารลองคิดดูว่าถ้าบอกว่าจะขอบริจาคให้กับ รพ.นครพนม เฉยๆมันจะได้ยอดสักเท่าไรแต่พอมีกิจกรรมว่ายน้ำยอดพุ่งไป 82M รวมไปถึงเศษฐกิจของ จ.นครพนมก็ดีขึ้นผิดหูผิดตาในช่วงเวลาดังกล่าว

อันนี้ก็น่าคิดเหมือนกันท่าน

ทำใจครับ เมืองไทยมันไม่พูดกันที่ปัญหาต้นเหตุครับ

พอพูด คนใหญ่คนโตแม่งก็ใบ้กินหมด

เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาอะไรได้เลย ตราบใดที่เรายังมองว่ามันไม่เป็นปัญหา