พวกเซลขายรถมืออาชีพจะดูลูกค้าออกไหมว่าซื้อไม่ซื้อ เซลบางคนชอบขอเบอร์ไปแต่ผมแค่อยากให้ทำราคาให้เฉยๆแต่เซลโทรมาบ่อยๆ

ผมไม่เคยขายรถนะ

แต่ส่วนตัวอยู่ในวงการเซลล์มานาน ส่วนที่จะถามว่าดูออกไหมลูกค้าคนไหนจะซื้อ

ก็ต้องบอกว่า มีการประเมินในการติดตามแน่นอน คนที่คาดการ์ณว่ามีแนวโน้มก็อาจจะติดตามมากกว่าคนอื่นๆ

แต่จะถึงขั้นมองออกว่าคนนี้ซื้อแน่ คนนู้นไม่ซื้อหรอกคงเป็นไปไม่ได้

ส่วนที่ท่านกล่าวว่าเซลล์ส่วนใหญ่ชอบโทรมาคุย ทั้งๆที่เราอยากจะทราบแค่รายละเอียดบางอย่างแค่นั้นเอง

อันนั้นผมว่า เพราะเขาคงมองว่าการได้คุยกับลูกค้าจะทำให้เข้าใจความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้นและได้รับฟังข้อกังวลใจในสินค้าด้วย เพราะหากเซลล์แค่ส่งใบเสนอราคาหรือโพสเตอร์ไปผมว่ามันก็ไม่ต่างอะไรจากแจกใบปลิวแล้วรอคนที่ต้องการจริงๆเดินมาติดต่อซื้อเอง ซึ่งคนกลุ่มนี้มีน้อยแต่เซลล์มีเยอะ ฉะนั้นโอกาสที่จะปิดยอดเยอะๆคงเป็นไปไม่ได้ แต่การติดต่อและพูดคุยกับลูกค้า บางทีอาจสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าและแก้ไขข้อกังวลใจให้ลูกค้าจนซื้อกับเราได้นั่นเองแหละครับ

ประสบการณ์เพื่อนเป็นเซลล์ขายรถ
ถ้าถามสมรรถนะ เรื่องยิบย่อยๆ เรื่องเครื่องยนต์
ส่วนใหญ่ไม่ซื้อ
แต่ถ้าเข้ามาถามส่วนลด โปรโมชั่น ดอกเบี้ย
ระยะเวลาผ่อน ค่าผ่อน บริการหลังการขาย
พวกนี้จะซื้อทั้งนั้น

อาจไม่ทั้งหมดอ่าครับ ตอนผมไปจองรถที่ห้าง
ผมเดินไปพร้อม พวกครอบครัวป้าๆ ลุงๆ ผมไปคนเดียว
เซลเทไปดูแลป้าๆ ลุงๆ ครอบครัวใหญ่กันหมดเลย
ของผมมี เซลหน้าเด็กมาใหม่ มาคุยด้วยแทน แล้วผมก็จองกับคนนี้เลย

แต่ก่อนเคยทำงานค่ายรถ ปัจจุบันทำด้านอสังหาฯ

บอกเลยว่าพวกเซลล์ดูออกครับ เขาวิเคราะห์และแบ่ง Tier ของลูกค้าได้ด้วย องค์กรสอนให้ครับ

รถยนเขาแบ่ง Tierกันยังไงครับ

แค่คุณก้าวเข้าโชว์รูม
นั่นคือคุณตัดสินใจซื้อรถแล้ว เพียงแต่ยังไม่รู้ตัว

"ดูลูกค้าออกไหมว่าซื้อไม่ซื้อ" มันไม่มีทางดูออกได้100%หรอกครับ

แต่มันก็พอจะบอกได้คร่าวๆ คนนี้90% คนนี้ 70-80% คนนี้50-50 คนนี้ 5-20% บลาๆมันพอประเมินได้แหละ

ส่วนเรื่องการโทร Follow-up หลักการมันก็ง่ายๆแหละครับ

ไม่โทร = ปล่อยไปวัดดวงตามเวรตามกรรม

โทร = 1. จะได้รู้ว่าสรุปซื้อหรือไม่ซื้อ จะได้วางแผนเรื่องยอดต่อๆไปได้
2. มีโอกาสโน้มน้าว
3. เผื่อหลุดว่าปัญหาอยู่ตรงไหน แล้วถ้าแก้ได้ก็อาจจะปิดการขายได้
4. วันนี้ไม่ซื้อ วันหน้ายังมีโอกาส

รถคันนึงขี้หมูขี้หมาก็ 4-5แสน โทรศัพท์ทีนึงเฉลี่ยไม่เกิน10นาที ง่ายมากๆ ทำไมจะไม่ทำ

สมมติ success rate ของการโทร follow-up อยู่ที่ 1% พอ (น่าจะต่ำพอสมควรแล้วนะ)

ให้โทรสายนึงเฉลี่ย 10 นาที (ค่อนข้างสูง) แปลว่าโทร 100 ครั้งขายได้ 1 คัน

ใช้เวลา 1000นาที = 16.6 ชั่วโมงเอง ก็ขายได้1คันแล้ว

จากสมมติฐานอะไรประมาณนี้นี้ ก็ไม่น่าแปลกหรอกครับที่เค้าจะโทรมา

ถ้าไม่อยากให้โทรมาอีก ก็ปฏิเสธไปตรงๆเลยครับ เซลเค้าไม่โกรธหรอก

ดีกว่าอ้างนู้นอ้างนี่ ขอดูก่อน กำลังคิด ถามเมียก่อน บลาๆๆ ให้ความหวังมั่วๆ สุดท้ายเสียเวลากันทั้งคู่

ดูออกครับ อาจมีพลาดบ้าง แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ คนซื้อกับคนไม่ซื้อ ลักษณะคำถาม คำพูด มันไม่เหมือนกัน คนที่อยากรู้ข้อมูลเฉยๆ เวลาโดนรุกปิดการขายก็จะเบี่ยงไปเรื่อย แต่ถ้าคนจะซื้อ เวลาเขาถามเสร็จ ถ้าเขาโดนปิดการขาย เขาก็จะต่อรองเลย ปิดการขายได้ไม่ได้นั้นอีกเรื่อง

ใอเรื่องเซลส์ชอบโทรไปหา เซลส์คนไหนลูกค้ามุ่งหวังในมือน้อย ก็จะโทรตามลูกค้าที่มีในมืออันน้อยนิดแบบถี่ๆ บางบริษัทเซลส์ต้องส่ง Action Plan ครับ

ผมเป็นเซลส์ ยอมรับสู้พวกสาวๆ ใน Facebook Tiktok ที่นมใหญ่ๆ ขาวๆ ไม่ได้ ลูกค้าโดยเฉพาะผู้ชายแทบจะแย่งกันจองอยู่แล้ว ผมก็ต้องสร้างตัวตนของผมขึ้นมา แรกๆ ก็เหนื่อย ช่วงนี้อยู่ตัวแล้ว มีลูกค้าเก่าแนะนำลูกค้ามาให้ ลูกค้าใหม่บางคนเราไม่รู้จัก แต่เขาฟอลโล่วเราไว้แล้ว ถึงเวลาก็โทรมาหาทักมาหาแล้วนัดจองเลย

จากใจคนเป็นเซลล์มาก่อนทำ toyota มา 6 ปี สอบเป็น tse

ผมดูออกหมดครับจะมาทรงไหน ยิ่งพวกมาชนราคานี้ผมแทบไม่เปิดสู้เลยเจ้าไหนให้มากกว่าเอาเจ้านั้น (สมัยก่อนผึ้งมาแรง)

ลูกค้าคนไหนเป็น hot สนใจจริงๆ ผมถามเลยพี่จองไหม ถ้าจองผมให้มากกว่า ผมชนราคาให้สุดๆบางคันค่าคอมโดนหารแทบไม่ได้ไรเลย แต่ ลค ให้เงินมาเป็นค่าขนมแทน

ผมเลิกทำมาก็หลายปีแล้วสมัยนี้โซเชียลมันแรงการแข่งขันเรื่องราคามันเลยดูปกติ

ลค ผมกลับมาซื้อรถกับผมหรือแนะนำมาประจำเลยครับ เช่นของแถมผมแถมแต่ของที่ต้องเอากิ๊กก๊อกผมไม่แถม แนะนำซื้อติดเองเปลี่ยนเป็นส่วนลดหรือซับดาวน์แทน

จริงๆดีเทลมันเยอะมาก แค่มานั่งพิมพ์ใบเสนอราคาถ้าไม่ใช่บริษัท(รถfleet) ผมก็ไม่ทำละครับ 555555

ในฐานะเซลล์โตโยต้า ก็เห็นด้วยกับหลายๆ ท่านข้างบนที่ตอบไปนะครับ เราจะรู้และคาดการณ์ได้มากขึ้นก็ต่อเมื่อเราได้คุยกับลูกค้า แต่ถ้าลูกค้ายังไม่ต้องการจะซื้อในตอนนี้ แนะนำให้บอกตรงๆ เลยครับ เซลล์จะไม่โกรธท่านเลย ดีด้วยซ้ำ ชัดเจนดี