ผมไม่ได้จบวิศวะ แต่จบวิทยาการคอม ยังต้องเรียนเลย ถึงจะแทบไม่ได้ใช้ หรือบางคนไม่ได้ใช้เลย แต่จริงๆเราได้ระบบความคิดติดตัวมาต่อยอดโดยไม่รู้ตัวมากกว่าสำหรับผมนะ ซึ่งยังไงผมก็ยังเห็นความสำคัญของมันอยู่นะ แคลคูลัสอ่ะ

ก็บรรทัดแรกนั่นแหละ คอมทุกวันนี้มันก็มาจากแคลนั่นแหละ สงสัยไม่รู้จักการนำความร้อนซะแล้ว มิน่าถนนมันถึงพัง

ผมไม่ใช่โยธา แต่เชื่อว่าทุกอย่างมันมีรากฐานเดียวกัน สิ่งที่เป็นตัวตัดสินคือ การใช้ความรู้มีหลายระดับ อยู่ที่ว่าคุณเอามันไปใช้ในระดับไหน หรือพอใจแค่ระดับไหน

ถ้าใช้งานแค่ระดับ user คุณก็รู้แค่ว่าจะใช้งานอย่างไร เอา parameter ไปใส่ คอมคำนวณจบ หรือคุณเดินไปหาของที่มีตามร้านอุปกรณ์ก่อสร้างมาใช้ จบ งานคุณก็จบที่มูลค่าประมาณนึง เหมือนการเดินขึ้นเขาที่ใครก็เคยขึ้น อยากรู้ว่าข้างบนวิวเป็นยังไง ก็ถามคนที่เคยปีนมาก่อน

แต่ถ้าคุณจะใช้งานในระดับที่เป็น researcher การคิดสิ่งใหม่ หรือทำสิ่งที่มีอยู่เดิมให้ต่อยอด คุณจำเป็นต้องรู้ลึกลงไปมากที่สุด (เท่าที่จะทำได้) แล้วลงไปรื้อตั้งแต่รากฐาน ซึ่งนั่นก็ต้องใช้พื้นฐานอย่างมากในระดับ fundamental ถ้าสิ่งที่ทำมันเกิด มูลค่ามันมหาศาล เริ่มตั้งแต่สังเคราะห์วัสดุเอง ทำตัวต้นแบบเอง ออกแบบคำนวณมือเอง เพราะสิ่งที่คุณกำลังทำมันไม่มีใครเคยทำมาก่อน เหมือนปีนเขาที่ไม่มีใครเคยขึ้น ถามใครก็ไม่ได้ ต้องปักหมุดปีน ขึงเชียกเอาเองหมดเพื่อให้คนอื่นตามขึ้นมาได้

ก็เหมือนกับการออกทะเลหาปลา คุณจะจับปลาทูทั้งชาติ หิวทีก็ออกทะเลที หรือปลาวาฬตัวเดียวอิ่มไปเป็นปี แน่นอนความเสี่ยงมันก็ต่างกันไปอีก

และแน่นอน มูลค่าของตัวคุณก็ขึ้นกับสิ่งที่คุณมี

นี่คือสิ่งที่แตกต่างระหว่างประเทศที่มีสิทธิบัตรมากๆ อย่างจีน เมกา ยุโรป ญี่ปุ่น กับประเทศโลกที่สามอื่นๆ ดังนั้นคำตอบที่ว่า ทำไมประเทศเราไม่สามารถตามเขาทัน ผมคงไม่ต้องตอบเองแล้ว มันก็อยู่ที่ทัศนคติของคนที่อยู่ในนั้น และทำไมประเทศที่เขามองไปไกลมากๆเขาถึงกล้าดึงคนเก่ง

สมัยนี้การแข่งขันมันสูงมาก มันไม่ได้จบแค่รู้ลึกแล้ว เดี๋ยวนี้ใครๆก็รู้ลึกกับหมดแล้ว บนโลกใบนี้ คนที่รู้ลึกและกว้างต่างหากที่หายากและมีมูลค่า

ปล.แล้วโยธานี่ทำงานไม่ต้องไปแตะกับสายอื่นบ้างรึ พวกไฟฟ้าเดินไฟโรงงาน คอนโทรล วางเครื่องจักร PID เกิดไอ้พวกสายอื่นมันวางยามา หรือมั่วมา ไม่กลัวชีวิตพังเรอะ ชีวิตไม่คิดจะเอาความรู้ด้านอื่นไว้เป็นเกราะกำบังบ้างเรอะ

ผมวิศวะโยธา เข้าไปอ่านละก็แปลกใจ จะบอกว่าไม่ใช้โดยตรงก็ไม่ได้ แต่พื้นฐานที่เป็นรากฐานในการคำนวณต่างๆ

จนมาถึงสูตรสำเร็จนี้ กว่าเค้าจะพัฒนามาได้มันก็ต้องมาจากรากฐานทั้งนั้น กล้าพูดออกมาแบบนี้สงสัยอยากเป็น

วิศวะที่มักง่ายมากกว่านะครับ ผมก็ไมไ่ด้ไปลงลึกขนาดนั้นหรอก แต่ถ้าไม่เรียนเริ่มจากพื้นฐานมาไม่รู้กระบวนการ

คิดก็ไปเรียนอย่างอื่นเถอะครับ คนเราสมัยนี้พอมีอะไรที่สบายขึ้นก็อยากใช้ชีวิตกันอย่างมักง่ายเกินไปแล้ว

เห็นว่าตอนนี้ ในกรุ๊ปติดต่อของ บ.เกี่ยวกับในทางนี้หลายๆกลุ่มเริ่มพูดคุยกันกับเรื่องนี้แล้วนะครับนิ

ถามว่าได้ D แปลกมั้ยมันก็ไม่แปลกหรอกเพราะไม่ใช่ทุกคนที่เก่งวิชาคำนวน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เอามาพูดเหมือนภูมิใจหรืออวดภูมิอะไรทั้งนั้นเพราะมันดูเหมือนคนมีปมอยากลบปมด้อยว่าตัวเองห่วย

จะบอกว่าหลายๆอย่างพอทำงานจริงมันเป็นAlgorithmเยอะมาก ซึ่งแคลมันเป็นพื้นฐานอะถ้าเรียนแล้วเข้าใจAlgorithmก็โอเคแล้วแหละ

คือเกรดไม่ดีพอเข้าใจนะอาจจะโง่คำนวณหรือไม่เข้าใจสูตรบางตัว แต่บอกไม่จำเป็นก็ตามสภาพแหละ วิศวะเตะฝุ่นมันเลยเยอะไง

อย่าว่าผมดูถูกเลย

ม พะเยา เพิ่งเคยได้ยิน

สั้นๆ เลยนะ ทุกวันนี้เสียดายที่ไม่ตั้งใจเรียน เห็นเพื่อนๆ เก่งๆ เค้าไปได้ไกลกว่าเราก็ได้แต่นั่งถอนหายใจ เรียนเก่งมีภาษีดีกว่าถึงทุกวันนี้จะมีแต่คนชมว่าทำงานเก่งแต่กว่าจะได้อะไรแต่ละอย่างมาจากการทำงานเก่งขึ้นๆ มันใช้เวลานานกว่าที่คิดเยอะ

จากรุ่นพี่ วศ. วัย 30 ปลายๆ

สาย Com Science ก็ต้องใช่ครับ.
ไม่งั้นเวลาจะสร้างสูตรเองมันทำบ่อได้.

พนักงานบางคนโน่นนี่นั่นทำได้พอเป็นงานวิเคราะ Report ทำบ่อได้เพราะสร้างสูตรจากความต้องการบ่อเป็น.

วิศวะถ้าทำตามปรกติอาจไม่ต้องใช้(ถ้ามีคอม) แต่ถ้าต้องไป ตรวจสอบ ประเมินอาคารน่าจะต้องใช้นิ โปรแกรมมันมีให้ใส่ชั้น 4 ไฟไหม้ ชั้น5ถล่มไหมหรอ???

ถ้าตอนที่เราใช้เครื่องทั้งหมด ตอนนี้เราคงไม่มีทฤษฎีสัมพันธภาพ หรือไม่รู้ว่าดาวโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงรีไม่ใช่วงกลม หรืออื่นๆ

กลับกัน เพราะตอนนี้ทุกอย่างเราใช้เครื่องคำนวณมันก็เลยได้แค่นี้รึเปล่า

เรียนอุตสาหการมา ไม่เคยได้ใช้แคลคูลัสเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่เคยต้องมา Diff หรืออะไรทั้งนั้นครับ เพราะมาทำสายโรงงานแนวบริหารจัดการ ไม่ใช่สายเทคนิคความรู้เฉพาะทาง

ถามว่ามันคือการสร้างโลจิกทางความคิดมั้ย ก็ตอบยากนะ เพราะการสร้างโลจิกมันสามารถสร้างได้หลายทางมาก มาทำงานถ้าเจอหัวหน้าที่โลจิกห่วยแตก บางทีก็ไม่ได้ช่วยให้เราต่อยอดความคิดอะไรเลยก็มี เผลอๆทำให้ Mindset เปลี่ยนไปด้วย

เรื่องนี้ต้องโทษ มหาลัย หลักสูตรเป็นยังไง ถึงล้มเหลวแบบนี้ ไม่พอ Mind set ไม่ได้อีก ได้ D cal ไม่เป็นไรอย่างงี้ นักศึกษาที่จบมา จะมีคุณภาพหรือ มหาลัยไม่ห่วงชื่อเสียงของตนเองหรือไง

ปัญหามันคือเรียนแล้วไม่รู้ว่าใช้งานจริงๆยังไง ถ้าศึกษาจริงๆมันใช้งานได้แบบจริงๆเลย คำนวณได้ค่าที่ต้องการเลย แต่เราไม่ได้ไปเรียนตรงนั้น ทำให้คิดว่าไม่ได้ใช้

แต่ละสูตรมันใช้แคลพิสูจน์แทบทั้งนั้น