"Rapid HIV Test เป็นการตรวจคัดกรองเชื้อเอชไอวีเบื้องต้นชนิดเร็ว รอผลเพียง 20-30 นาที แต่หากผลตรวจเป็นบวกหรือพบเชื้อ ผู้ตรวจต้องตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าติดเชื้อจริงหรือไม่ ด้วยวิธีตรวจแบบ Anti-HIV Test หรือ NAT ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ได้รับเชื้อมา"


คือ พอดีอ่านบทความแล้วแปลกใจตรงที่ เขาบอกว่าเป็นที่นิยมในคลีนิคนิรนามใช้ในตอนนี้เพราะรวดเร็วสุด แต่ทำไมในเหตุผลจึงบอกว่าหากเป็นบวกต้องตรวจใหม่โดย NAT

ผมเลยงงว่า เอ้า หากบวกต้องตรวจใหม่เพราะไม่ 100% แล้วถ้า ลบ ไม่ต้องตรวจใหม่หรอในเมื่อไม่ 100% และหากไม่ 100% ทำไมถึงใช้วิธีแบบนี้ครับ เลยงงว่าสรุปการเทสแบบนี้ เป็นสิ่งที่ดีหรือไม่

ปล.ผมไม่ได้เสี่ยงจะตรวจนะครับ แต่อ่านผ่านแล้วติดใจมีคำถามเฉยๆ

ต้องบอกอย่างนี้การตรวจวินิจฉัยผู้ติดเชื้อ HIV ทำไมไม่ตรวจ Nucleic Acid Test (NAT)


เพราะการจะบอกว่าติดเชื้อแล้วจะใช้ตัวชี้วัดคือ Anti-HIV ซึ่งเป็น Antibody ของเชื้อ ไม่ใช่ตัวเชื้อ


แล้วทำไมไม่ใช่ตัวเชื้อเป็นการวัดล่ะ? ในเมื่อตรวจเลือดเจอเชื้อแล้ว ก็หมายความว่าติดแล้วไม่ใช่หรอ?

เพราะว่ามีโอกาสอยู่ที่ได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกาย แต่ทานยาป้องกัน แล้วไม่ติดเชื้อจริงๆ (มันมีโอกาส ซึ่งหลังๆยามีประสิทธิภาพดีขึ้น) พูดง่ายๆคือไวรัสเข้าไปในร่างกาย แต่ infect เข้าเซลล์ไม่ได้ สุดท้ายไม่มี Host ไวรัสก็แบ่งตัวไม่ได้ ตายจนหมด

กลับกัน Antibody จะสร้างขึ้นมาส่วนใหญ่ต้องผ่าน Life cycle ของไวรัสไปพอสมควร ถึงจะเกิดการกระตุ้น ดังนั้นมัน infect เข้า CD4 t-cells ที่เป็น Target ของไวรัสเรียบร้อยแล้ว



ส่วนการตรวจ Antibody ปัจจุบันมันแม่นยำในระดับ 99.99....% แล้วล่ะ ยิ่งเป็น 4th generation ที่จำเพาะต่อ p24 เพิ่มไปอีกนี่แทบไม่มีทางพลาดเลย

ซึ่งตามเกณฑ์การวินิจฉัยผู้ติดเชื้อ HIV ของไทย ต้องให้ผลเหมือนกัน โดยใช้วิธีการตรวจที่แตกต่างกัน 3 วิธีถึงจะยืนยันได้ว่าติดเชื้อจริงๆ

คิดดูว่ามันมีโอกาสแค่ไหนที่จะตรวจเทสที่แม่นยำ 99% กว่าๆ ผิดพลาดถึง 3 หลักการ มันหนึ่งในล้านล้านได้มั้ง เกิดมาทั้งชีวิตผมก็ไม่เคยเจอเคสที่ตรวจผิดพลาดเลย

อารมณ์เหมือนชุดตรวจโควิดปะตามาร์ค ตีว่าวิธีสวอปหรือใช้งานชุดตรวจถูกนะ ถ้าเป็นลบก้เชื่อได้ เเต่ถ้ามีเชื้อเเม้เเต่นิดเดียวชุดตรวจจะเเสดงผลเเต่ความเเม่นยำของการเเสดงเป็นบวกต้องย้ำอีกที

ปล. ไปเสี่ยงอะไรมาาาาา

ไม่เสี่ยงครับ 55 แค่ติดใจตรงเนื้อหานั้นเลยครับ เลยงงว่าเอ้ายังไงกัน

เหมือนถ้าสาวยอมมาค้างด้วย แสดงว่าได้ลุ้น90%
เหลือแค่เชคซ้ำหน้างาน แต่ถ้าไม่มาก็ไม่มีโอกาสได้เลย
เทียบแบบนี้ได้มะ

ต้องบอกอย่างนี้การตรวจวินิจฉัยผู้ติดเชื้อ HIV ทำไมไม่ตรวจ Nucleic Acid Test (NAT)


เพราะการจะบอกว่าติดเชื้อแล้วจะใช้ตัวชี้วัดคือ Anti-HIV ซึ่งเป็น Antibody ของเชื้อ ไม่ใช่ตัวเชื้อ


แล้วทำไมไม่ใช่ตัวเชื้อเป็นการวัดล่ะ? ในเมื่อตรวจเลือดเจอเชื้อแล้ว ก็หมายความว่าติดแล้วไม่ใช่หรอ?

เพราะว่ามีโอกาสอยู่ที่ได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกาย แต่ทานยาป้องกัน แล้วไม่ติดเชื้อจริงๆ (มันมีโอกาส ซึ่งหลังๆยามีประสิทธิภาพดีขึ้น) พูดง่ายๆคือไวรัสเข้าไปในร่างกาย แต่ infect เข้าเซลล์ไม่ได้ สุดท้ายไม่มี Host ไวรัสก็แบ่งตัวไม่ได้ ตายจนหมด

กลับกัน Antibody จะสร้างขึ้นมาส่วนใหญ่ต้องผ่าน Life cycle ของไวรัสไปพอสมควร ถึงจะเกิดการกระตุ้น ดังนั้นมัน infect เข้า CD4 t-cells ที่เป็น Target ของไวรัสเรียบร้อยแล้ว



ส่วนการตรวจ Antibody ปัจจุบันมันแม่นยำในระดับ 99.99....% แล้วล่ะ ยิ่งเป็น 4th generation ที่จำเพาะต่อ p24 เพิ่มไปอีกนี่แทบไม่มีทางพลาดเลย

ซึ่งตามเกณฑ์การวินิจฉัยผู้ติดเชื้อ HIV ของไทย ต้องให้ผลเหมือนกัน โดยใช้วิธีการตรวจที่แตกต่างกัน 3 วิธีถึงจะยืนยันได้ว่าติดเชื้อจริงๆ

คิดดูว่ามันมีโอกาสแค่ไหนที่จะตรวจเทสที่แม่นยำ 99% กว่าๆ ผิดพลาดถึง 3 หลักการ มันหนึ่งในล้านล้านได้มั้ง เกิดมาทั้งชีวิตผมก็ไม่เคยเจอเคสที่ตรวจผิดพลาดเลย

แม่นมากครับ มีงานวิจัยรองรับ แม่นแบบ99.กว่าๆเปอร์เซ็นต์เลย
https://www.researchgate.net/figure/Comparison-of-the-rapid-test-strategy-with-the-enzyme-linked-immunosorbent-assay_tbl1_14071919

อีกประเด็นคือทำไมลบไม่ตรวจใหม่?

เพราะว่า HIV หลักการแรกที่เอามาตรวจเป็น Screening test ต้องมี Sensitivity 100%

หมายความว่า เอาทุกเคสที่ควรจะตรวจได้ผลบวกมา ต้องได้บวกทุกครั้ง ดังนั้นการตรวจ test แรกจะไม่มี False negative ไม่มีเอาคนที่ติดเชื้อมาตรวจแล้วได้ผลเป็นลบ


แล้วอีกอย่างที่ไม่นิยมตรวจ NAT เพราะมันนาน ใช้เครื่องมือยุ่งยากกว่า ราคาแพงกว่า ใช้คนทำที่ต้องเข้าใจมากกว่า ซึ่งจริงๆ NAT ที่ใช้กันมันก็คือ PCR นี่แหละ

ขออภัยนะครับ ถ้าหากผมไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิด

ท่านกำลังหมายถึงว่า หากตรวจพบ hiv จากการเทสแบบไหนก็ตาม ต้องเทสต่ออีกสองแบบ เพื่อยืนยันอย่างงั้นหรอครับ จึงจะได้ผลที่ชัดเจน

แต่หากเป็น ลบ จากการเทสแบบไหนก็ตามได้ผล 99.99% แล้วแบบนี้หรอครับ

ไม่ใช่ครับ Flow การวินิจฉัยเป็นแบบนี้

ตรวจเทสแรก Non-reactive = Negative (ไม่ติดเชื้อ)ไม่ต้องมี repeat ต่อ (แต่ต้องพิจารณาระยะเวลาที่เสี่ยงมาด้วย เพราะมีเรื่องของ window period ด้วย)


ตรวจเทสแรกให้ผล Reactive = ต้องตรวจต่ออีก 2 หลักการที่แตกต่างกันหรือมีแอนติเจนที่จำเพาะต่างกัน

ทุกหลักการต้องให้ผล Reactive ทั้งสามหลักการ ถึงจะรายงานว่า Positive ได้(แต่จะมีการเจาะเลือดตรวจซ้ำอีกครั้ง เพื่อป้องกันการเจาะเลือดสลับกัน)

ดังนั้นการจะสรุปว่าคนๆนึงเนี่ยติดเชื้อ HIV ได้ ต้องมีการตรวจอย่างน้อย 3 ครั้ง



https://ddc.moph.go.th/uploads/publish/1136120210426093742.pdf

อันนี้ Flowchart แบบละเอียดครับ อยู่หน้า 18 ลองอ่านเพิ่มเติมดูได้ เผื่อผมอธิบายงง

อ๋อเข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมาก ความรู้เลย

ปกติผมก็เข้าใจแค่ เสี่ยงไม่เสี่ยง ถ้าเสี่ยงก็ตรวจ ติดคือติด ไม่ติดคือไม่ติด ไม่เคยอ่านบทความหรือเข้าใจวิธีการทำงานแบบนี้เลย ขอบคุณมากครับ

ผมเคยใช้ของ Insti ตรวจแบบ home kit

มันก็เคลมว่า 99.99% นะ ไปฟังยูทูปหมอมาก็บอกเชื่อถือได้

ผลตรงกับตรวจโรงบาล ไม่เจอเชื้อ ขึ้น 1 จุดบน

เหมือนเป็นยี่ห้อเดียวในไทยที่ได้ อย.ด้วยมั้ง ลืม

ปล.เข็มแม่งเจาะเลือดเจ็บชิบหายเลย

มันค่อนข้างซับซ้อนครับ มันถึงมีคลินิคนิรนาม เป็นเหมือนคลินิคเฉพาะทางอยู่

เพราะคนจะตรวจและอธิบายคนไข้ได้นี่ต้องมีความแม่นยำในเรื่องพวกนี้สูง และต้องเกลี่ยกล่อม เยียวยาความรู้สึกผู้ติดเชื้อได้อีก

เคยอ่านผ่านๆว่ามีแบบเจาะเองด้วย แต่ไม่เคยเห็นหน้าตาหรือเคยเห็นใครใช้เลยครับ 555และหวังว่าชีวิตนี้จะไม่ต้องใช้ครับ เอาแค่เรียนรู้เป็นความรู้รอบตัวพอ 55

เหมือนว่าตัวนี้ก็เป็น rapid test ครับ

ผมก็ไม่ไม่รู้มันทำงานยังไง

หลอดทดลองแรกสีแดงเอาเลือดใส่ผสมกับสารมัน เท
หลอดสองน้ำเงิน เทสาร แล้วจุดจะขึ้น
หลอดสามสีขาว เทสาร เพื่อความชัด

ตอนตรวจใจแทบวาย

ขอบคุณมากครับท่าน