บิดาแห่งความเชื่อ พิมพ์ว่า:
Noel Wong พิมพ์ว่า:
บางทีก็อาจจะคุยกันด้วยหลักฐาน ดีกว่าจะไป"คาดว่า"ครับ
ผมเข้าใจความโกรธ/เกลียดนะ แต่การคาดเอาเอง โดยไม่มีอะไรประกอบการคาดเดาเลย มันก็แปลกๆ
ส่วนตัวเคยทำงาน บก.ร้อย. อยู่ 2 ปี พอจะเห็นภาพบ้าง
เล่าเทียบเป็นทหารราบแล้วกันนะ
เบี้ยเลี้ยงพลทหารราวๆ 30-40% จะถูกตัดเข้าโรงเลี้ยง"ทุกคน" ไม่ว่าจะเข้าไปกินหรือไม่ ซึ่งตอนสมัยผมอยู่ ก็ตกราวๆนำส่งต่อหัวคนละ 50-60.- บาทต่อวัน(3 มื้อ)
หน้าที่หลักของ สสร.(กองร้อยสนับสนุนการช่วยรบ) คือต้องทำอาหารเผื่อทุกคน ไม่ว่าพลทหารจะเดินมากินหรือไม่ การที่พลทหารเดินมาแล้วอาหารไม่พอ เป็นความบกพร่องของ ผบ.ร้อย จำเป็นจะต้องรับผิดชอบ รวมถึงพลทหารที่ออกเวรมา ไม่ว่าเวลาไหน ต้องมีอาหารเหลือพอให้กินอิ่ม(ไม่อั้น)ตลอดเวลา ซึ่งยอมรับว่าส่วนสูญเสียตรงนี้ค่อนข้างเยอะ เพราะพลทหารเองพอมีเงินในกระเป๋า ก็เลือกจะมาบ้าง/ไม่มาบ้าง บางทีสิบเวรเดินพาทหารไปกินข้าวคนเดียวก็ยังมี หรือยกโขยงไป 30-40 คนก็บ่อย ซึ่งหลังจากขึ้นกองร้อยแล้วไม่มีการบังคับอะไร ตรงนี้เป็นเรื่องที่คาดเดายากมาก จะให้เช็คชื่อล่วงหน้า ก็สนุกสนานอีกเพราะกำลังพลระดับเกือบพันคน
ผมยกตัวอย่างง่ายๆ ตอนฝึกทหารใหม่ กำลังพลรอบทหารใหม่รวมผู้ช่วยครูฝึก ราวๆ 200 คน ไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าแต่ละคนจะกินกี่จาน ข้าว/กับข้าว(แม้จะเลวร้ายแค่ไหน)ก็ต้องกินได้ไม่อั้น ในมุมคนกินก็แบบนึง แต่ในมุมคนทำ...หน้ามืดนะ จะคำนวน/ประมาณการยังไง
แต่ก็มีบ้าง ที่โรงเลี้ยงเองก็เก็บ/กั๊กส่วนที่เป็นเนื้อสัตว์ดีๆเอาไว้เอง ไม่ว่าจะเป็นของสด(ทหารประทวนแอบขนกลับบ้านกิน)หรืออาหารสำเร็จรูป ที่ทั้งประทวนและพลทหารโรงเลี้ยงกั๊กไว้กินกันเอง ตามประสาคนตักกินก่อนครับ
หน่วยที่ผมไปตก เป็นแบบนี้นะ...เล่าสู่กันฟังครับ
ปล. ส่วนตัวเวลานั้น ผม"กินๆให้อิ่ม"ไปก่อนครับ จากเลือกกินเยอะๆ ไปเจอประเภทปลาร้าหลน+แตงกวา กินกับข้าว ตักได้ไม่อั้น จากที่ไม่เคยกินน้ำพริกก็จำเป็นต้องกิน อย่างพวกแกงจืดนี่ยังสบายๆครับ
ทำไมระบบจัดการห่วยขนาดนั้น แค่เช็คชื่อก่อนกินข้าวยังทำไม่ได้
ต้องบอกไว้ก่อนนะครับ ว่าผมปลดทหารนานมากแล้ว
สมัยผมยังมีแค่โทรศัพท์พื้นฐานใช้ระหว่างกองร้อยฯ/กองพันฯ ส่วนโทรศัพท์มือถือเป็นของหรูหรา และแทบไม่มีใครมีเลย ขนาดสัญญาบัตรมีสตางค์ บางคนยังไม่มี
ปัญหาหลักๆก็มาจาก
1. เมื่อมีการกำหนดให้พลทหารทุกคน กินอาหารที่โรงเลี้ยงและมีการหักเบี้ยเลี้ยงสำหรับค่าอาหารไว้รออยู่แล้ว การเตรียมงาน จึงกำหนดไว้ที่"สำหรับทุกคน"ไว้ก่อน
2. การซื้อวัตถุดิบ เป็นการซื้อล่วงหน้าระดับหลายวัน โดยใช้รถกระบะออกไปขนรอบเดียว ไม่ใช่ออกไปซื้อมื้อต่อมื้อ
3. การเตรียมอาหารสำหรับคนหมู่มาก โดยใช้กำลังพลแค่ 10-15 คน จึงค่อนข้างวุ่นวายอยู่ เลยตัดปัญหาด้วยการทำกับข้าวแค่ 1-2 อย่าง
4. เนื่องจาก 2 ข้อข้างบน การตรวจสอบกำลังพลที่จะเข้าไปกินข้าว จึงไม่ใช่แค่การเช็คว่ามื้อนี้มีคนอยากจะไปกินกี่คน แต่กลายเป็นต้องเช็คว่าอีก 1-2 วันข้างหน้า ให้จะลงชื่อล่วงหน้ากันบ้าง
5. จาก 3 ถ้าเป็นการลงชื่อล่วงหน้าขนาดนั้น โอกาสที่จะมีการเปลี่ยนใจ ค่อนข้างสูง และเอาจริงๆหลังจากขึ้นกองร้อยฯแล้ว การบังคับอะไรแบบนี้จะน้อยลงมาก(สำหรับหน่วยผมนะ) และไม่อยากบังคับการลงชื่อแล้วเปลี่ยนใจ
6. เปลี่ยนใจไม่ไป ยังมีโอกาสอาหารเหลือ แต่ถ้าไม่ลงชื่อแล้วเปลี่ยนใจ อยากจะไปแล้วเกิดอาหารไม่พอกินกัน เป็นความบกพร่องของผู้เตรียม(ตามเหตุผลข้อ 1)
7. ถ้าเปลี่ยนระบบมาเลือกไม่กินข้าวที่โรงเลี้ยง และไม่หักเบี้ยเลี้ยง ก็ค่อนข้างยากในการทำบัญชีงบ และเบี้ยเลี้ยงต่างๆ ซึ่งแต่ละกองร้อยฯ ส่วนใหญ่จะมีเสมียนกองร้อยแค่คนเดียวหรือสองคน ส่วนลูกมืออย่างพวก บก.ร้อย.ก็หวังยาก...คิดสภาพทหารทำบัญชีก็น่าปวดหัวล่ะ แล้วยิ่งจำนวนคนทำน้อยอีกด้วย สนุกสนานครับ