ต่อเนื่องจากกระทู้ที่จะพาสาวไปเที่ยวต่างจังหวัด ตอนแรกว่าจะตอบในกระทู้นั้นแหละ แต่คิดว่ายกมาเปิดประเด็นใหม่ดีกว่า ทั้งนี้ผมไม่ได้มีเจตนาจะตัดสินใด ๆ นะ

เนื่องจากยุคสมัยนี้ความตระหนักรู้เรื่องสิทธิสตรีเป็นเรื่องสำคัญ และกระแสเรื่องการ manipulate เพื่อขอมี sex ในแบบที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจเป็นที่พูดถึงมากขึ้น

ผมเกริ่นก่อนว่าผมก็ผู้ชายแบบที่เคยใช้หัวล่างนำหัวบนนี้แหละสมัยวัยรุ่น แต่มี 3 ข้อที่ผมตั้งเป็นกฏเหล็กมาตั้งแต่เมื่อก่อนแล้วคือ 1. ไม่ยุ่งกับคนมีแฟน 2. ไม่ฝืนใจทั้ง 2 ฝ่าย 3. ป้องกันให้ดีที่สุดทุกครั้ง

ซึ่งต่อเนื่องจากทั้งข้อ 2 และ 3 ผมเคยปฏิเสธอีกฝ่ายเนื่องจากขอให้ผมไม่ใส่ถุงยางเพราะชอบความรู้สึกมากกว่าและอยู่ในระยะที่ปลอดภัย ซึ่งผมยอบรับเลยว่าตอนหน้างานผมเกือบแบบอีกนิดเดียวจะหัวโล่งเข้าไปแล้ว แต่ ณ วินาทีสุดท้ายก็ดึงสติแล้วเลือกที่จะปฏิเสธไป ซึ่งแน่นอนว่าทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจแล้วก็แยกย้ายกันไป แล้วก็ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นจะโดนเอาไปนินทาอะไรอีกบ้าง

สิ่งที่ผมจะสื่อคือ ทุกคนมีสิทธิที่จะปฏิเสธออกไปตรง ๆ แต่การไม่ปฏิเสธแปลว่ายินยอม (consent) จริงหรือไม่? อันนี้คือที่มาของประเด็นของการ manipulate ต่อให้ไม่นับเรื่องความได้เปรียบทางกายภาพ ผมก็คิดว่าตัวเองมีความแข็งแกร่งทางด้านจิตใจมากกว่าคนทั่ว ๆ ไป (ผมไม่แน่ใจว่าใช้คำไทยแบบนี้ถูกไหม คือผม sensitive นะ แต่มี self-discipline สูงมากในบางเรื่อง)

แต่มันมีคนที่เขาสามารถตกอยู่ในสภาวะที่รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ในสถานการณ์นั้น ๆ ไม่ว่าจะกลัวอะไรต่าง ๆ ที่จะเป็นผลพวงที่จะตามมา เช่น กลัวอีกฝ่ายไม่พอใจ หรือแม้แต่บางคนเมื่ออยู่ในสภาวะกดดันอาจจะถึงขนาดไม่มีสติสัมปชัญญะพอที่จะควบคุมตนเองได้ไปเลย

ผมเคยคุยเรื่องนี้กับผู้หญิงหลายคนในสถานะที่แตกต่างกัน ส่วนใหญ่ก็บอกว่าควรให้ถามก่อน อย่างน้อยให้เขาตอบว่าโอเคก่อนแล้วค่อยดำเนินการต่อ ส่วนจะถามตอนไหนให้ดูสถานการณ์ ไม่ใช่อยู่ดี ๆ ไปถาม ส่วนใหญ่จะทำให้หมดอารมณ์ไปเลย ซึ่งก็ยากสำหรับผู้ชายที่ต้องอ่านสถานการณ์ให้ออกอีก (แต่ส่วนตัวผมถามตอนนัวกันแล้วจะข้ามไป step ถัดไป)

แต่ในทางกลับกัน มันก็มีผู้หญิงบางคนที่เขาไม่ชอบให้ถามเหมือนกัน เขาคาดหวังว่าผู้ชายจะต้องแปลสัญญะทางร่างกายออกว่าเขาโอเคหรือไม่ ซึ่งก็ยากอีกเช่นกัน

ทั้งนี้ โดยข้อสรุปส่วนตัวผม ผมคิดว่าก็ควรถามอีกฝ่ายแหละ แต่เลือกจังหวะถามให้ดี อย่างน้อยมันสร้างโอกาสที่อีกฝ่ายจะสามารถที่จะปฏิเสธได้เพื่อยืนยันว่าเป็นการเต็มใจทั้ง 2 ฝ่าย ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่สังคมต้องใส่ใจให้มากขึ้นนะ ในทุกสังคมเพศ อาจจะโดยเฉพาะผู้ชายที่โตมากับค่านิยมเรื่อง sex แบบที่ผู้ชายต้องเป็นผู้ที่อยู่ในสถานะที่เหนือกว่าเสมอ ซึ่งนำไปสู่การแปลสัญญะของอีกฝ่ายแบบเข้าข้างตัวเองว่าอีกฝ่ายยินยอมพร้อมใจจะมีอะไรกับเรา

อันนี้ถามเป็นกรณีศึกษาเลยครับ อย่างที่ผมเคยเจอคือ ตอนผมจะมุดลงล่าง ผู้หญิงเขาจะห้ามไว้ครับ บอกอย่านะ พอผมมุดลงไปได้ผู้ ญ กดหัวผมไม่ให้ขึ้นมาเลยครับ แบบนี้เรียกขืนใจไหมครับผม

ผมไม่เคยขอมี พสพ นะ
อย่างมากก็แค่ขอกอดแค่นั้นแหละ จากนั้นมันตามไปเอง 555

ตอบยากอะ เอาจริงผมก็ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องให้นะ

จะบอกว่าเขาปฏิเสธเป็นพิธีก็กลัวจะสร้างความเข้าใจผิด ๆ แต่เรื่องนี้มีอยู่จริง ไอ้ค่านิยมแบบผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัวมันทำให้ผู้หญิงบางคนมีนิสัยคำพูดที่ออกมาโดยอัตโนมัติไม่ตรงกับความต้องการจริง ๆ ของตัวเอง แล้วมันทำให้ผู้ชายแปลสัญญะผิด

แต่บางคนเขาบอกว่าอย่าก็คืออย่า ถึงลงไปแล้วเขาไม่ขัดขืน ซึ่งอาจจะเป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ควบคุมไม่ได้ แต่หลังจากนั้นเขาก็อาจจะรู้สึกไม่โอเคกับสิ่งที่เกิดขึ้นก็ได้

เรื่องแบบนี้ผมไม่เคยเจอกับผู้หญิงต่างชาติเลยนะ คือถ้าเขา say no คือ no จริง ๆ อย่าทะลึ่งฝืนเด็ดขาด

ตอนกดหัวผู้ชายน่าจะโดนขืนใจนะฮะ

ละเอียดอ่อนจริงเรื่องนี้ การอ่านสัญญาณสำคัญมากๆ เพราะถ้าต้องมาขอทุกครั้งผมว่าชีวิตก็ขาดความตื่นเต้นไปเลยนะ(ทั้งสองฝ่าย) คือบางคนเงียบก็เพราะยินยอมจริงๆ ส่วนตัวคิดว่าถ้าเขาไม่พูดปฏิเสธมันก็ถือว่ายินยอมนะ แบบเราไม่ได้ล็อกแขนหรือฝืนใจเขาแบบรู้แก่ใจดีอะ ถ้าเขาจูบกลับ มีอารมณ์ร่วม ไม่ได้ปัดป้องปฏิเสธงี้ผมก็ว่ามันเป็นสัญญาณว่ายินยอมได้แล้วนะ

แต่ตัวผมเองเวลามีไรกับใครครั้งแรกผมถามก่อนใส่นะ คนเขินไม่อยากตอบเขาก็จะพยักหน้ายึกๆ ผมว่ามันเร้าอารมณ์ดี

ถามด้วยการจูบ เล้าโลมก่อนแทนได้ไหม ถ้าไม่ได้เขาคงปัดป้องถือเป็นคำตอบ

เรื่องนี้ผมเข้าใจพอสมควรเพราะส่วนตัวก็อยู่ในสังคม ผญ เป็นหลักอยู่แล้ว
โดยเฉพาะการไม่ยอม แต่ปฏิเสธไม่ได้ อาจจะเพราะแพนิคอะไรบางอย่าง
ทำให้ไม่กล้าขัดขืน ซึ่งบางครั้งผมก็มารู้ทีหลังจากการคุยกันอีกที (พูดถึง
การมี sex ที่ตอบสนองกันด้วยนะ ไม่ใช่ ผญ แพนิคนอนแข็งทื่อละผมทำฝั่งเดียว)
ผมเลยเลือกขอโดยใช้สถานการณ์/ภาษากายแทนไม่ใช้การรุกตรงๆ ยกเว้น
กับคนที่รู้ว่าคุยกันตรงๆได้ อันนั้นก็จะเลือกพูดเข้าประเด็นเลย

ผมว่าถ้ามันได้จะรู้ได้โดยสัญชาตญาณนะ
ถ้าเป็นแฟนหรือเคยไปแล้วจะขอตรงๆเลยว่าทำได้ไหม

ผมก็ไม่เคยแบบ "เธอ ขอมีอะไรด้วยหน่อยดิ" นะ นึกสถานการณ์ที่จะไปพูดแบบนั้นไม่ออกจริง ๆ

ส่วนใหญ่คือนัวกันไปแล้ว แล้วก่อนจะข้ามไป step ต่อไป (ล้วง) จะถามว่า โอเคนะ? ซึ่งผมไม่ได้บอกว่าวิธีของผมถูกนะ แค่ผมใช้วิธีนี้แล้วสบายใจมากกว่าว่าเขาโอเคแล้วมีโอกาสที่จะปฏิเสธ ซึ่งก็ยังไม่เคยเจอใครปฏิเสธเหมือนกัน

ผมเคยเจอเคสแบบนี้ครับคือ ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงมีเพศสัมพันธ์กัน ณ ตอนนั้นเลย โดยฝ่ายชายไม่ได้ขอว่าจะสอดใส่ ฝ่ายหญิงเองก็ไม่พอใจที่จะให้สอดใส่ ไม่สบายใจที่จะให้สอดใส่ ส่วนฝ่ายชายคิดว่า มาขนาดนี้แล้ว ถ้าไม่ให้สอดใส่อารมณ์มันค้าง แล้วก็งอล โมโหใส่ฝ่ายหญิง ฝ่ายหญิงไม่อยากให้ฝ่ายชายมีพลังลบ ในที่สุดเธอก็ให้ฝ่ายชาสอดใส่ แต่ฝ่ายหญิงยังมีความไม่พอใจและไม่สบายใจ


เช้าวันต่อมาฝ่ายหญิงก๋็รู้สึกว่า ถูกข่มขืนแล้วก๋็เล่าเรื่องราวในคืนนั้นทั้หมดลงโซเซี่ยล แต่ไม่ได้แจ้งความใด ๆ เพราะทั้งสองคนก็มาเคลียร์ใจกันหลังจากนั้น แต่อย่างไรเธอก็ยืนยันว่า นี่คือการข่มขืนเพราะเธอไม่ได้ยินยอมและไม่สบายใจ


ผลคือ ฝ่ายชายในช่วงหนึ่งถูกมองไม่ดีไปเลยแล้วเป็นนักกิจกรรมฝ่ายประชาธิปไตยด้วย เรื่องนี้ก็โพสลงในอินเทอร์เนตในเฟสบุ๊ก


ถึงที่สุดเรื่องแบบนี้ที่ผมเล่าก็ได้ยินมาอีกที เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่รู้เลยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรแน่ ฝ่ายหญิงอาจพูดเท็จจากข้อเท็จจริงก็ได้ แต่ถึงที่สุดพอมันเป็นเรื่องของคนสองคน แต่มันถูกเล่าออกมาสู่สาธารณะชน ไม่ว่าอย่างไร มันเสียกับทั้งสองฝ่ายแน่นอน แต่ก็ต้องมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงกัน ซึ่งเกณฑ์ข่มขืนเนี่ย ถ้ามีคราบอสุจิในช่องคลอดหรือสารคัดหลังในร่างกาย เท่านี้ก็จบแล้ว แม้เราจะเถียงว่า ไม่จริง ฝ่ายหญิงไม่ได้ขัดขืน แต่ระยะหลัง ถ้ามีการฟ้องร้องกัน หลักฐานเท่านี้ก็สามารถระบุได้แล้วว่า เป็นการข่มขืน แม้คุณจะบอกว่า เปล่า ตอนน้ั้นเธอยินยอมก็ตาม


ดังนั้นผมเห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้แน่นอนว่า อย่าคิดว่า การได้นอนกันสองคน ได้จูบกัน ได้เล้าโลมกันจะหมายความว่า เขายินยอมให้สอดใส่ และถึงแม้เขาไม่ได้ขัดขืนจนทำให้เราตีความว่า เขาไม่ได้ปฏิเสธ แต่เช้าวันต่อมาเขามีสิทธิที่จะคิดว่า นั่นคือการข่มขืนก็ได้


ในสังคมยุคนี้ ภรรยา โสเภณีและช่วยตัวเอง น่าจะปลอดภัยสำหรับความสัมพันธ์และเพศสัมพันธ์ที่สุดแล้ว และภรรยาต้องขอความยินยอมแบบมาก ๆ ด้วย ผมเคยคิดขนาดว่า จะต้องขออัดเสียงด้วยซ้ำไปว่า อนุญาต เพราไม่รู้วันดีคืนดี โมโหอะไรมา ไปฟ้องว่า ผมข่มขืน จบเลย

นี่ที่ผมกังวลขนาดนี้เพราะผมเจอเคสแบบ พรากผู้เยาว์บ่อยมาก คือ เยาวชนเขายินดีที่จะมีเพศสัมพันธ์กัน แต่ครอบครัวฝ่ายหญิงรู้ ฟ้องพรากผู้เยาว์ เรียกค่าเสียหายหมด แบบนี้่มันคือ การยินยิมพร้อมใจหรือ กฎหมายก็ระบุชัด

สมัยเด็กๆ ตอนกำลังจะใส่ ผมเคยพลาดไปขอกับคนที่ไม่ต้องการให้ขอ นางหมดอารมณ์เลย

แต่ก็ยังได้ทำกิจกรรมต่อนะครับ เพียงแต่หลังจากเสร็จกิจ นางบ่นยับเลย

แต่ก็อย่างท่านว่าแหละครับ การสังเกตุ ท่าทาง หรืออะไรต่างๆ นาๆ สำคัญมากๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนตัวผมว่า การให้เกียรติซึ่งกันและกันในทุกๆ ด้าน น่าจะแล้ว

ผมเชื่อว่า ในยุคสมัยนี้ผู้หญิงจะตระหนักเรื่องนี้มากขึ้นครับ การมีอารมณ์อาจจะเกิดจากฝ่ายชายถามเบาๆ กระซิบข้างหูอย่างเยือกเย็๋นแต่เร้าร้อน ให้ลมหายใจซึมไปที่ผิวหนังจนขนลุกซู่ กระตุ้นต่อมอารมณ์ทางเพศ จากที่เราถามสั้น ๆ แต่ทรงพลังว่า

"เย็...ได้ไหม"

อันนี้ผมพอรู้ว่าเคสไหน ส่วนตัวผมยังไม่เคยเจอกับตัวเองนะ ที่ผู้หญิงไม่โอเคหลังจากมีอะไรกันไปแล้ว แต่เคยคุยกับผู้หญิงที่รู้สึกแบบนี้

คือเป็นคู่ที่เป็นแฟนกันแล้วเคยมีอะไรกันแล้วนี้แหละ แล้วมีสถานการณ์ที่ฝ่ายหญิงไม่อยากมีอะไรด้วย แต่ยอมเพราะไม่อยากทะเลาะในตอนนั้น แต่พอเหตุการณ์ผ่านไปกลายเป็นแผลในจิตใจเขาว่าทำไมเขาต้องยอมให้ตัวเองถูกขืนใจ รู้สึกเหมือนแค่ตัวเองเป็นเครื่องระบายอารมณ์ทางเพศ สุดท้ายก็เลิกกันแล้วกลายเป็นปมของผู้หญิงอีก

หลัง ๆ นี้ผมจะกลายเป็นคิดมากเรื่องนี้จนจะไม่มีอารมณ์เอาดื้อ ๆ

ผมว่าเรื่องนี้โครตอยู่ที่ ไทม์มิ่งเลย ถ้าพูดไม่ถูกเวลา คือ มรึงอดเย่ ทันที 55+

ส่วนตัวมีทั้ง2เเบบ คือ เเบบว่ายินยอมพร้อมใจ เพราะอีกฝ่ายเคยผ่านมาเเล้ว

ส่วนอีกคน คือ ยังไม่เคย เเต่ตอนนั้น ก็มีหือ อือ ดิ้น นิดหน่อยเเต่ก็ยอม เหมือนในหนังอะ ตอนหลังเราก็มาถามว่ายอมหรือปล่าว เขาบอกว่า เขาก็ฝืนริดๆหน่อยพอเป็นพิธี เพราะรู้ตั้งนานเเล้วว่ายังไงต้องโดน555+

ผมว่าสมัยนี้ยากจริงๆ ก่อนที่จะจิ้มคงต้องถามเเหละ ว่า จะเ_า ละนะ เพื่อความยินยอมทั่ง2ฝ่าย55(