คอมเมนเตเตอร์
Status:

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 29 Apr 2021
ตอบ: 11238
ที่อยู่: ***อยู่ในใจเสมอนะจ้ะ*** เข้าร่วม: 20 Mar 2000
โพสเมื่อ: Thu Apr 07, 2022 23:09
''กว่าจะมีวันนี้'' กองเต้เมืองไทย
>>ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2538 ครอบครัวของนายตำรวจท่านหนึ่งในจังหวัดระยอง ได้ถือกำเนิดลูกชายคนโตขึ้น ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่า ชีวิตของเด็กน้อยคนนั้น ในอ้อมกอดคุณพ่อคุณแม่ เมื่อโตขึ้น เขาจะเป็นเช่นไร
>>วันที่ถือกำเนิด คุณพ่อกับคุณแม่ของเขาก็คงคิดเหมือนกับบุพการีทุกคนบนโลกใบนี้
-เขาจะเป็นนายตำรวจเหมือนคุณพ่อไหมนะ
-เขาจะเกเรหรือเปล่า
-เขาจะขยันเรียนไหม
-เขาจะดื้อหรือเปล่า
-เขาจะผ่องอำไพเช่นแสงดาวในหน้าที่การงานขนาดไหน
>> เด็กน้อยในอ้อมกอดอันอบอุ่นของครอบครัวในวันนั้น ไม่ได้ตอบพ่อแม่ทันที แต่ตอนนี้ เขาได้ตอบคำถามเหล่านั้นแล้ว ด้วยการไม่ต้องพูดอะไรเลยสักคำ…..
>> เด็กชายพิธิวัตต์ (ชื่อเก่า พิธิวัต) สุขจิตธรรมกุล เกิดที่อำเภอเมือง จ.ระยอง เมื่อ 27 ปีที่แล้ว โดยมีคุณพ่อเป็นนายดาบตำรวจ และคุณแม่เป็นแม่บ้าน ชีวิตของเขาเรียบง่าย ไม่ได้เดือดร้อน ไม่ได้ร่ำรวย และยังไม่มีสปอร์ตไลท์จากที่ใดจับมาที่เด็กน้อยคนนี้
"คุณพ่อกับคุณแม่ของผม เป็นคนสุรินทร์ แต่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่จังหวัดระยองครับ ตอนเด็กผมก็เรียนอยู่ที่โรงเรียนอนุบาลระยอง ตอนนั้น ชีวิตก็เรียบง่ายครับ ไปโรงเรียน เตะบอล กลับบ้าน กินข้าว นอน"
"ผมเริ่มเตะบอลตั้งแต่เด็กๆ แต่มาเริ่มจริงจังขึ้น ตอน ป.3 เพราะมีอะคาเดมี่นึง เค้ามาโคกับโรงเรียน แล้วก็จัดการฝึกนักเรียนที่โรงเรียน แล้วก็ส่งแข่งขันในนามทีมโรงเรียนครับ ก็เลยได้เริ่มฝึกฟุตบอลแบบจริงจังมากขึ้น"
"พอ ป.4 ผมลองไปคัดตัวกิจกรรมของสโมสรอาร์เซน่อล เพื่อหาเด็กที่ได้ไปเปิดประสบการณ์ที่ประเทศอังกฤษ แล้วผมก็คัดติดครับ ได้ไปประเทศอังกฤษครั้งแรก รุ่นเดียวกับ “อั้ม” อรรถวิทย์ สุขช่วย เป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกเลย ตอนนั้น สนามเหย้าของอาร์เซน่อลยังเป็นไฮบิวรี่อยู่เลยครับ ได้เจอกับ โรแบร์ ปิแรส, เธียร์รี่ อองรี, เฟเดริก ลุงเบิร์ก, ปาทริค วิเอร่า ฯลฯ เป็นการได้ดูฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แบบนั่งติดขอบสนามครั้งแรกด้วย"
หลังจากที่กลับมาจากประเทศอังกฤษ “พิธิวัตต์” ก็คิดมากกว่าที่เคยคิด และมันคิดไกลกว่าที่เคยมี เขาเริ่มอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เหมือนกับนักเตะระดับโลกที่เขาเพิ่งได้เจอมา
"จากนั้น ผมก็พยายามไปคัดฟุตบอลครับ ตอนนั้นก็มี เจเอ็มจี อคาเดมี่ เขามาเป็นที่ประเทศไทย ผมก็ลองไปคัด แต่ครั้งแรกไม่ติดครับ ต้องกลับตั้งแต่ 8 โมงเช้าเลยด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เพราะวันที่ไปคัด เขาให้ลงเกมฝั่งละ 7 คน เล่นระบบ 3-3 (ผู้รักษาประตู 1 คน) ผมเล่นตำแหน่งปีกซ้าย หรือตัวรุกฝั่งซ้าย แล้วตัวรุกอีกสองคนเค้ารู้จักกัน เลยไม่ส่งบอลให้ผมเลย ทำให้ต้องกลับตั้งแต่เช้าเลยครับ"
"แต่จากนั้น “อั้ม” อรรถวิทย์ ก็โทรมาบอกว่า เขาจะมีการเปิดคัดอีกรอบนะ ที่สนามบ้านบึง จ.ชลบุรี จะมาลองอีกรอบไหม ผมก็เลยอยากลองอีกครั้ง คราวนี้ติดครับ เป็นช่วงที่กำลังเรียนจบ ป.5 ขึ้น ป.6 พอดี ทำให้ผมได้ย้ายไปอยู่กับ อะคาเดมี่ เจเอ็มจี ตั้งแต่ตอนนั้น ไปกินไปนอนที่นั่นเลย และทางคุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนครับ เพราะเห็นว่าเราชอบฟุตบอลจริงๆ"
>>ภายในอะคาเดมี่ของ JMG ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นอะคาเดมี่ที่มีเครือข่ายอยู่ในหลายประเทศทั่วโลก ซึ่ง ณ จุดสตาร์ทในวันนั้น เด็กชายพิธิวัตต์ ได้เจอกับเพื่อนใหม่ อาทิ สุริยา สิงห์มุ้ย, พิชา อุทรา, สุพร ปีนะกาตาโพธิ์ ฯลฯ
>> เขามีเพื่อนเป็นนักฟุตบอลเยาวชนจากไอวอรี่โคสต์หลายคน
>> เขาได้เจอกับรุ่นพี่ที่เข้าไปอยู่ JMG ก่อนหน้าเขา 1 ปี อาทิเช่น วีระวุฒิ กาเหย็ม, วรนาถ ทองเครือ, รังสรรค์ วิรุฬห์ศรี, ศาสนพงษ์ วัฒยุชูติกุล, สันติภาพ ราษฎร์นิยม ฯลฯ
>> เขาได้ฝึกฟุตบอลวันละ 2 มื้อ ในช่วงเช้า และช่วงเย็น
>>เขาต้องย้ายมาเรียนที่โรงเรียนชุมชนบ้านอ่างเวียน ที่บ้านบึง จ.ชลบุรี
>> เขาได้ทำงานร่วมกับโค้ชต่างชาติเป็นครั้งแรก (ในอะคาเดมี่ JMG จะมีโค้ชชาวต่างชาติเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน และมีผู้ช่วยโค้ชชาวไทย)
"ที่ เจเอ็มจี พวกผมจะได้ซ้อมอย่างเดียว กับอุ่นเครื่อง ไม่มีการส่งแข่งขันเลยครับ ซ้อมอย่างเดียวเจ็ดปี ตั้งแต่อายุประมาณ 12 ถึง 18 ปี (ระดับชั้น ป.6 ถึง ม.6) ก็มีอุ่นเครื่องกับ เจเอ็มจี ของเวียดนามบ้าง ของเบลเยียมบ้าง อย่างเจเอ็มจีของเวียดนาม ผมก็เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ทั้ง เหงียน คอง เฟือง แล้วก็ เลือง ซวน ตรวง"
"ที่ เจเอ็มจี จะเน้นซ้อมเป็นหลักครับ วันละ 4 ชั่วโมง อาทิตย์ละ 5 วัน อาทิตย์นึงก็ 20 ชั่วโมง ตอนนั้นผมก็มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพแล้วครับ เพราะเป็นช่วงที่ฟุตบอลกำลังบูมขึ้นมาพอดี"
"ช่วงนั้น พวกผมชอบ ลีโอเนล เมสซี่ ครับ เพราะพวกนักฟุตบอลต่างชาติใน เจเอ็มจี จะชอบเอาคลิปของ เมสซี่ มาดูกัน ตอนผม ป.6 เมสซี่ก็อายุประมาณ 20 ปี กำลังดังขึ้นมาเลยครับ"
"ชีวิตของพวกเราตอนนั้น ก็คือ ซ้อมฟุตบอล เรียน แล้วก็ดูพวกคลิป อ่านหนังสือพิมพ์ฟุตบอล ทั้งสยามกีฬา สตาร์ซ็อคเกอร์ ทุกคนก็มีความฝันอยากเป็นนักฟุตบอลกันทั้งแคมป์ แล้วก็ซึมซับฟุตบอลจากในทีวี แล้วก็หนังสือพิมพ์ที่ทางอะคาเดมี่จะรับมาทุกวัน"
ชีวิตที่เป็นเหมือนนักฟุตบอลเยาวชนทั่วไปของ พิธิวัตต์ และเพื่อนๆ ในอะคาเดมี่ เจเอ็มจี มันจะไม่แตกต่างกับที่อื่นเลย
>>ถ้าตลอด 7 ปีที่เขาอยู่ที่นั่น เขาใส่รองเท้าสตั๊ดซ้อม….
"พวกเราซ้อมฟุตบอลเท้าเปล่าครับ เป็นเวลาประมาณเกือบ 7 ปี ก่อนที่โค้ชจะให้ซ้อมแบบใส่สตั๊ด ช่วงก่อนมาอยู่ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด บ้างครับ แต่ส่วนใหญ่ก็ซ้อมเท้าเปล่าครับ คือก่อนซ้อมถ้าให้ใส่รองเท้า เค้าก็จะมาบอกว่า วันนี้ซ้อมแบบใส่รองเท้านะ ซึ่งเกมอุ่นเครื่องส่วนใหญ่ ทีมผมจะลงสนามแบบเท้าเปล่า เจอกับทีมที่ใส่สตั๊ดทั้งทีม นั่นก็อาจจะเป็นผลให้ผมชอบทำงานหนักในสนาม และพยายามทำให้ตัวของผมแข็งแกร่งขึ้นอยู่ตลอดเวลา"
"เราก็ซ้อมด้วยเท้าเปล่า ในสนามหญ้า กลางแดด และใช้ลูกบอลหนัง เบอร์ 5 จนชิน ซึ่งมันก็อาจจะมีส่วนที่ทำให้ผมไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องรองเท้า หรือแฟชั่นของฟุตบอลมากนัก เพราะว่าตอนผมออกมาจากอะคาเดมี่ใหม่ๆ ผมไม่รู้จักสตั๊ดเลย ผมเลือกเอา อาดิเพียว สีดำ มาใส่ ไม่ได้แคร์แฟชั่นเลยครับ เพราะคิดว่า อะไรก็สามารถใส่เล่นได้ เท้าเปล่าก็เล่นได้เหมือนกัน"
ไม่ใช่แค่ซ้อมเท้าเปล่าเท่านั้น
ตอนอุ่นเครื่องกับทีมโรงเรียนต่างๆ
พวกเขาก็ใช้เท้าเปล่าเช่นกัน…
"ตอนอุ่นเครื่องกับทีมโรงเรียนเช่น กรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย หรือ เพ็ญสมิทธิ์ ฝั่งตรงข้ามก็ใส่สตั๊ดกันปกตินะครับ แต่ทางเราจะถนัดใช้เท้าเปล่ามากกว่า จะเป็นที่รู้กันว่า พวกเราต้องส่งบอลให้กันอย่างแม่นยำ อย่าให้โดนเหยียบ แต่ถามว่า โดนเหยียบบ้างไหม ก็มีบ้าง แต่พวกผมก็ต้องฝึกฝนการจ่ายบอลเร็ว แม่นยำ และไม่เก็บบอลไว้กับตัวนาน"
หลังจากจบการศึกษาด้านฟุตบอลจาก เจเอ็มจี อะคาเดมี่ พิธิวัตต์ ก็ย้ายมาอยู่กับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ในวัย 18 ปี ช่วงที่ “กิเลนผยอง” กำลังผงาดเกรียงไกร และคว้าแชมป์ไทยลีกแบบ ไร้พ่าย เมื่อปี 2012
แน่นอนว่า ด้วยวัยเพียงแค่นั้น เขาไม่มีทางเบียดนักเตะรุ่นพี่ได้แน่นอน และทางสโมสร ก็เปิดโอกาสให้เขาได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่ง
"ปีนั้น สโมสรเซ็นสัญญาเป็นพันธมิตรกับ แอต.มาดริด ครับ แล้วพวกผมก็ได้ไปฝึกอยู่ที่ประเทศสเปน ไปพร้อมกับ พิชา อุทรา, สุพร ปีนะกาตาโพธิ์, สุริยา สิงห์มุ้ย ฯลฯ พวกที่มาจาก เจเอ็มจี เหมือนกับผมเนี่ยแหละครับ"
"การไปอยู่ที่นั่น ทำให้พวกผมได้รับประสบการณ์เรื่องฟุตบอลอาชีพ และได้เรียนรู้วัฒนธรรม การอยู่การกิน และทัศนคติของนักกีฬาฟุตบอลระดับโลก ผมได้เจอกับนักเตะระดับโลก อย่าง ฟิลิเป้ เมโล, กาบี, ราดาเมล ฟัลเกา, ดิเอโก้ คอสต้า เราก็มองการทำงานของเขา ทั้งในสนาม และนอกสนาม เพราะเราได้ชมทุกเกมที่ แอต.มาดริด เล่นในบ้าน"
เมื่อจบจากการฝึกซ้อมกับ แอต.มาดริด พิธิวัตต์ ก็กลับมาเมืองไทยอีกครั้ง ก่อนจะได้ลงเล่นในศึกฟุตบอลอาชีพครั้งแรก ในลีกดิวิชั่น 2 กับ นนทบุรี เอฟซี ในเลกสองของปี 2013 ก่อนจะย้ายไปอยู่กับ นครนายก เอฟซี ในปี 2014 ซึ่งเป็นสองสโมสรที่เป็นพันธมิตรกับ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด
ปี 2014 ก็เป็นครั้งแรกที่ พิธิวัตต์ ได้สัมผัสกับสีเสื้อทีมชาติไทย จากการติดทีมชาติไทย ชุดอายุไม่เกิน 19 ปี และเกือบพาทีมชาติไทย ได้ไปสัมผัสกับ ฟุตบอลโลก ยู-20 เป็นครั้งแรกด้วย แต่น่าเสียดายที่แมตช์ชี้ชะตา แพ้ อุซเบกิสถาน 1-2 ทำให้ตกรอบ 8 ทีมสุดท้ายไปอย่างน่าเสียดาย ในศึก ยู-19 ชิงแชมป์เอเชีย 2014 ที่ประเทศเมียนมา
จากนั้นต้นปี 2015 เขาช่วยให้ เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ โค้กคัพ ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยเอาชนะ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด 1-0 ในรอบชิงชนะเลิศ ที่สนามธูปะเตมีย์ ทำให้ในปี 2015 เขาได้ร่วมซ้อมกับทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ภายใต้การคุมทีมของ ดราแกน ทาลายิช แต่ด้วยความที่สโมสรเมืองทอง ในยุคนั้น เต็มไปด้วยสตาร์ดังมากมาย ก็ทำให้เขาแทบไม่ได้สัมผัสกับเกมไทยลีกเลย (ปี 2015 พิธิวัตต์ลงสนามในไทยลีก 3 เกม เป็นเวลาทั้งหมด 18 นาที)
แต่นั่นก็ไม่สำคัญ เพราะเขาคิดเสมอว่า
นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดีอย่างหนึ่งในชีวิตของตนเอง
ไม่ได้ลงสนาม ไม่ได้หมายความว่า จะไม่ได้อะไรเลย
"แม้ว่าจะแทบไม่ได้ลงสนามเลย แต่การได้ซ้อมกับทีมชุดใหญ่ครั้งแรก ที่มีรุ่นพี่ระดับทีมชาติไทย และนักเตะต่างชาติเก่งๆ ทั้ง สารัช อยู่เย็น, คิม ดอง จิน, นาโออากิ อาโอยามะ, ดัสกร ทองเหลา, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ศิวกรณ์ เตียตระกูล, มาริโอ ยูรอฟสกี้, ธีรศิลป์ แดงดา, เคลตัน ซิลวา ฯลฯ ทำให้ผมคิดแค่ว่า ขอตั้งหน้าตั้งตาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้ตนเองเก่งขึ้น ไม่ได้เล่นไม่เป็นไร ขอแค่ให้ตัวเองเก่งขึ้นก็พอ เพราะการได้ซ้อมกับคนเก่งๆ ขนาดนี้ จะเป็นบันไดให้ผมเก่งขึ้นกว่าเดิม"
-จากนั้น ในปี 2016 พิธิวัตต์ ถูกปล่อยไปอยู่กับ บีอีซี เทโรศาสน (โปลิศ เทโร เอฟซี ในปัจจุบัน) สวนทางกับ ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์ ฯลฯ ที่ย้ายมาอยู่กับ “กิเลนผยอง” ก่อนที่จะได้ลงสนามให้กับ “มังกรไฟ” ไปถึง 25 เกมในซีซั่นดังกล่าว จนทำให้ เชียงราย ยูไนเต็ด ทีมบิ๊กเนมของภาคเหนือ จัดการล่าลายเซ็นของเขา
และนั่น คือ จุดเริ่มต้นของการเขียนประวัติศาสตร์ให้กับตนเอง ของ พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล
- เขาลงสนามให้กับ “กว่างโซ้งมหาภัย” ตั้งแต่ปี 2017 ไปทุกรายการมากกว่า 200 เกม ซึ่งเป็นนักเตะคนแรกของสโมสรที่เดินทางมาถึงหลัก 200 เกม แบ่งออกเป็น ศึกรีโว่ ไทยลีก 144 นัด, ช้าง เอฟเอคัพ 24 นัด, รีโว่ ลีก คัพ 14 นัด, เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก 15 นัด และ ไทยแลนด์ แชมเปี้ยนส์ คัพ 4 นัด
- เขาคว้าแชมป์รายการระดับเมเจอร์ทุกรายการในประเทศไทยกับสโมสรแห่งนี้ รวมทั้งสิ้นถึง 7 ใบ ทั้ง ไทยลีก (ซีซั่น 2019), เอฟเอคัพ (ซีซั่น 2017, 2018 และ 2020-21), ลีกคัพ (ซีซั่น 2018), แชมเปี้ยนส์ คัพ (ซีซั่น 2018, ปี 2020)
- เขายิงไปทั้งหมด 13 ประตู กับอีก 12 แอสซิสต์ ภายใต้หน้าที่ในแดนกลางที่ถูกขนานนามว่าเป็นนักเตะ "ปิดทองหลังพระตัวจริง"
- เขาคว้าแชมป์ ซีเกมส์ 2017 กับทีมชาติไทย
- เขาเริ่มต้นติดทีมชาติไทย ชุดใหญ่ เป็นครั้งแรกเมื่อกลางปี 2019 ในเกมเปิดบ้านเสมอกับทีมชาติเวียดนาม 0-0 ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย และก็กลายเป็นตัวหลักของทีมชาติไทยนับตั้งแต่นั้นมา
- เขาได้ลงสนามในศึกฟุตบอล เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบแบ่งกลุ่ม เป็นครั้งแรกในปี 2020
- เขาได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของไทยลีก เมื่อปี 2019
- เขาแข็งแกร่ง เขามีวินัย เขามุ่งมั่น เขามีความกระหาย และท้าทายทุกอุปสรรค
"ผมไม่คิดมาก่อนว่า ชีวิตจะมาถึงขนาดนี้ เราคิดแค่ว่า ตั้งใจฝึกซ้อม ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด และผมคิดว่า มันเกิดจากความตั้งใจ ความพยายาม ความมุ่งมั่นครับ ที่ทำให้ผมมาถึงจุดนี้ ซึ่งผมอยากจะไปให้ไกลกว่านี้ อยากพัฒนากว่านี้ ฟุตบอลมันพัฒนาได้ทุกวัน ไม่มีที่สิ้นสุด และถ้าเป็นไปได้ ผมจะไปให้ไกลกว่านี้ให้ได้ครับ…."
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนโลก
มันเต็มไปด้วยเหตุ และผล
ทำอย่างไร ก็ได้อย่างนั้น
ถ้าคุณมีความเป็นมืออาชีพ
ความเป็นมืออาชีพจะตอบแทนคุณ
ถ้าคุณไม่มีความเป็นมืออาชีพ
การตอบแทนที่พบเจอ ก็ย่อมแตกต่าง
มันอยู่ที่คุณ จะเป็นแบบไหน
มันอยู่ที่คุณ จะเลือกแบบไหน
“จอน”
07-04-2565
แก้ไขล่าสุดโดย markmadrid เมื่อ Thu Apr 07, 2022 23:14, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ