“ผี” ขยันผลิต content // “หงส์” กับจุดโทษงงๆ
ลิเวอร์พูล 2-0 วัตฟอร์ด
เกมตึงๆที่ แอนฟิลด์ ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เบียดเอาชนะ วัตฟอร์ด 2-0 เหมือนจะมีประเด็นให้แตะน้อยมากแต่ท้ายที่สุดหนีไม่พ้นเกิดปมพิพาทจุดโทษในนาที 89 ของ ฟาบินโญ่
ผมบอกมาตลอดว่าการขาดคอมมอนเซนส์ของผู้ตัดสิน อังกฤษ มักทำให้เกิดช็อต “อยุติธรรม” ให้เราได้เห็นและหัวร้อนอยู่เสมอ
ถามว่า ยูราย คุชก้า ทำฟาว์ล ดิโอโก้ โชต้า ในจังหวะชุลมุนเตะมุมจริงไหม?
จริง!! เรียกว่าตาของ คุชก้า ไม่ได้มองบอลเลยและจิตมุ่งมั่นกับการดึง/เหนี่ยวกะโค่นให้ล้มอย่างเดียวโดยไม่สนใจว่าบอลจะอยู่ตรงไหน
แต่ปัญหาคือจุดที่บอลตกอยู่ห่างจากโลเกชั่นการ “ดึง” อยู่ร่วม 10 หลา มันหมายความว่าอะไร หมายความว่าต่อให้ โชต้า ล้มหรือไม่ล้มบอลไม่มีทางมาถึงอยู่แล้ว (ตัว โชต้า เองยังไม่ประท้วงอะไรเลยด้วยซ้ำ)
เมื่อบอลไม่มาถึง “โอกาส” ทำประตูจึงไม่ควรมาอยู่ในจังหวะนี้และควรจบที่ “แตนอาละวาด” โหม่งเคลียร์ทิ้งได้
ครับ เราเห็นกันมาโดยตลอดหากห้อง VAR เรียกผู้ตัดสินไปดูเหตุการณ์อะไรก็ตามมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการเปลี่ยนแปลงคำตัดสิน คล้ายๆขอตามความเห็นพวกพ้อง (ที่ได้ดูภาพช้า) มากกว่าจะยืนยันคำตัดสินเดิมที่อาจถูกด่าอยู่คนเดียว
ในขณะเดียวกันเพื่อป้องกันการเสียงแตกว่าทำฟาว์ล+ดึงขนาดนี้แล้วจะปล่อยไปเฉยๆเหรอ?
การหาที่ลงต่อเหตุการณ์นี้สำหรับผมนะคือแจกใบเหลืองให้คนทำฟาว์ลและไม่ควรเป็นจุดโทษ (ในกรณีที่ไม่มีโอกาสเข้าถึงบอลแล้ว) เป็นการเตือนสติคนดึงแบบบ้าคลั่งให้รู้ด้วยว่ามีโอกาสถูกใบเหลืองแม้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำประตูในภายหลังก็ตาม
เป็นการหาทางออกที่วินวิน หาไม่แล้วไม่ใครก็ใครอาจต้องมาเสียประตูด้วยจังหวะแบบนี้บอกเลยว่าไม่แฟร์ด้วยประการทั้งปวง
ในขณะที่รูปเกมโดยรวมต้องบอกว่า “หงส์แดง” กดเกือบทั้งเกมเพราะ วัตฟอร์ด ไปรับในแดนตัวเองตามคุณภาพผู้เล่น (ไล่ไปก็เสียแรงเปล่า)
แต่ที่ไม่ลืมคือ “แตน” มีสถิติที่ค่อนข้าง “เบี้ยว” คือเล่นนอกบ้านดีกว่าในบ้าน สถิติในบ้านนี่กินบ๊วยนะครับแพ้ 11 จาก 14 แต่พอออกนอกบ้านแม้ไม่โดดเด่นแต่ก็แพ้แค่ 9 จาก 16 นัดและประตูได้เสียติดลบน้อยกว่าอีก 7 ทีมเลยทีเดียว
เวย์หากินของ “ปู่รอย” รอย ฮอดจ์สัน ที่ใช้ยามคุมทีมเล็กๆคือใช้ตัวเร็วๆสู้กับ high defense ของเจ้าถิ่นและเกือบขึ้นนำตั้งแต่นาที 22 หาก อลิสซอน ไม่ช่วยชีวิต
การมีอยู่ของนายทวารทีมชาติ บราซิล บนเส้นเสาประตูมีส่วนสำคัญทำให้ “หงส์แดง” ถึงยังอมตะชนะ 10 นัดรวดโดยมีถึง 8 เกมที่เก็บคลีนชีต (เสียแค่ 2 ประตู)
บวกกับดวงนิดหน่อยที่คู่ต่อสู้มักพลาดลูกเหน่งๆอย่างเช่นนาที 57 ลูกซัด 12 หลาของ เจา เปโดร ที่เหลือแค่เขากับ “พ่อหมี” แต่บอลกลับหลุดเสาเหลือเชื่อ
ในส่วนของการขึ้นเกมเมื่อเจอทีมรับลึกมักสร้างปัญหาให้ ลิเวอร์พูล เสมอโดยเฉพาะในเกมนี้ที่ปีกไวๆหายเกลี้ยงทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ หลุยส์ ดิอาซ
ในขณะที่ โม ซาลาห์ อาจต้องยอมรับว่าแกถูกสูบวิญญาณไปหมดแล้วนับตั้งแต่กลับมาจาก แอฟค่อน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์และล่าสุดการอดไปฟุตบอลโลกยิ่งบั่นทอนจิตใจเข้าไปอีก
การจับบอลลั่น พยายามทำอะไรเองจนดูเหมือนฝืน เลี้ยงแทบไม่ผ่านใคร ทั้งหมดเหล่านี้มีคำถามตามมาว่าค่าเหนื่อย 400k ที่เรียกมานั้นอาจแพงเกินไปแล้วด้วยซ้ำ
จากการลงสนามก่อนทำให้ ลิเวอร์พูล นำจ่าฝูงชั่วคราวแต่ไม่ได้ส่งผลใดๆกับ แมนฯซิตี้ ที่ใช้เวลาราว 25 นาทีก็ยิงปิดเกมไปแล้ว 2-0
ผมไม่มีจิตสัมผัสใดๆว่าเกมนี้จะมีการแบ่งแต้มหรือพลิกล็อกเพราะจากที่ตามดูมา เบิร์นลีย์ ซีซั่นนี้ ง่อยทั้งการขึ้นเกมและการจบสกอร์
แล้วต้องมาเจอการเพรสของ “เรือใบ” จากที่เวลาขึ้นบอลกระเสือกกระสนอยู่แล้วคงไม่ต้องบอกนะครับว่ารูปเกมจะเน่าและถูกกดขนาดไหน
ทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า สนุกยามเจอทีมท้ายตารางครับเพราะ 26 นัดหลังสุดกวาดชัยมากมายถึง 24
การทำงานมี 3 คีย์หลักๆในการทำลายฝูงชนที่ยืนคือตัววางบอล,ตัววิ่งและตัวรอปิดสกอร์ ที่เหลือก็แล้วแต่วันว่าจะแม่นยำแค่ไหน
บวกกับวันนี้ดันเป็นวันของ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่ทำ 2 แอสซิสต์จากการ build up ที่มาพร้อมกันทั้งจังหวะเป๊ะๆและความหละหลวมของแนวรับเจ้าถิ่น
ท้ายที่สุดแล้วเป็นไปตามคาดที่ แมนฯซิตี้ จะใช้เกมในบ้านพบ ลิเวอร์พูล สัปดาห์หน้าเคลียร์ภัยคุกคามด้วยมือตัวเองซักที
แมนฯยูฯ 1-1 เลสเตอร์
การต่ออายุความหวังในการไปเล่น แชมเปี้ยนส์ลีก ของ แมนฯยูไนเต็ด ขยับห่างออกไปอีกแล้วครับหลังทำได้แค่เสมอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในบ้านตัวเอง
ชื่อของ คริสติอาโน่ โรนัลโด้ ไม่มีชื่อเพราะป่วยเป็นคนที่ “แฟนผี” คิดถึงที่สุดหลังเกมรุกตันหาตัวจบสกอร์ไม่ได้แถมต้องอาศัย เฟร็ด เป็นคนไล่ยิงตามตีเสมออีกต่างหาก
มีการเปิดสถิติกันว่านับตั้งแต่ย้ายมา โอลด์แทรฟฟอร์ด รอบ 2 “โด้” ไม่ได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงเป็นเกมที่ 6 และทั้ง 6 เกม ยูไนเต็ดไม่ชนะใครเลย
ผมมองว่าช่วงต้นเกมเจ้าถิ่นส่งสัญญาณการเล่นที่ดีๆหลายอย่าง การเพรสแดนบนทำให้นักเตะทีมเยือนจ่ายกันพลาดและหาก บรูโน่ แฟร์นานเดส เก็บตกลูกนี้ละเอียดหน่อยน่าจะพาทีมขึ้นนำตั้งแต่นาที 27 ไปแล้ว
เวลาและจังหวะของเกมตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงขึ้นไปพา เลสเตอร์ ขึ้นมาอยู่ในจุดที่ข่ม “ปีศาจแดง” แต่ปัญหาคือ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ เป็นกองหน้าตัวใหญ่ที่เก็บบอลไม่เก่งเอาซะเลย การตัดสินใจในจังหวะสุดท้าย (และหลายๆจังหวะ) ไม่สามารถขานรับแท็คติกส์รับและสวนกลับของ เบรแดน ร็อดเจอร์ส ได้ดีมากพอ
เจ้าถิ่นเกือบต้องเจอปัญหาใหญ่หลัง สก็อต แม็คโทมิเนย์ ยังเล่นบอลขาดสติพุ่งเปิดปุ่มใส่ เจมส์ แมดดิสัน ตั้งแต่ต้นครึ่งหลังแต่โชคดีเอามากๆที่ อังเดร มาร์ริเนอร์ ให้แค่เหลือง ผมไม่แน่ใจว่าหากจังหวะนี้เป็นการเล่นนอกบ้าน “ใบ” ที่ออกมาจะสีอะไรกันแน่
ประตูที่ถูก เลสเตอร์ ตอกหน้าซัดขึ้นนำเป็นการพยายามที่จะเล่นสวนกลับของ ยูไนเต็ด แต่อินเซปชั่น “สวนในสวน” ลงท้ายที่ลูก ealry cross ของ แมดดิสัน ที่มาได้ถูกจังหวะผ่าคู่เซนเตอร์ (และแบ็ค) มาเข้าหัว อิเฮียนาโช่ พอดี
เป็นความโชคดีของ แมนฯยูฯ ส่วนหนึ่งด้วยครับที่ลูกตีเสมอมาอย่างรวดเร็ว 3 นาทีหลังจากนั้น
ถ้าดูจากต้นตอของที่มาลูกนี้จะเห็นได้ว่าเป็นจุดเล็กๆที่ ดาเนี่ยล อามาร์ตี้ย์ ตัวสำรองคืนหลังให้ แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล ห่างตัวและย้อนหลังจนจอมหนึบทีมชาติ เดนมาร์ก ต้องเตะสาดทิ้งแบบขืนๆจนลูกบอลลอยโด่งย้อยไม่พุ่งแรงไปข้างหน้าก่อนที่ ราฟาเอล วาราน ที่หันหน้าเล่นบอลเบียดแย่งเอาชนะ อีเฮียนาโช่ ได้ก่อน
ช่วงเวลาที่เกือบทำทุกคนใน โอลด์แทรฟฟอร์ด หยุดหายใจคือ 2 โอกาสทองของ “จิ้งจอก” ภายใน 1 นาทีที่น่าจะเพิ่มสถิติชนะ “ปีศาจแดง” ทุกรายการ 4 นัดติดต่อกันจากจังหวะที่ อิเฮียนาโช่ ได้ลูกส้มหล่นจากการคืนหลังไม่ดีของ เจดอน ซานโช่ แต่ดันไปชิพ (หาย) แบบไม่ได้ลุ้น และการบินปัดสุดปลายมือของ ดาบิด เดเกอา
ผมแอบบงง BR ที่แก้เกมแปลกๆเพราะ อิเฮียนาโช่ ใช้โอกาสค่อนข้างเปลืองก่อนส่ง แพตสัน ดาก้า มาแทนแต่อยู่ในสนามน้อยมากแค่ 3-4 นาที (ส่งลงในนาที 90+2)
แต่ทีมอย่าง แมนฯยูฯ ก็ยังไม่ทิ้งลายขนาดช่วงทดเจ็บยังอุตสาห์สร้าง content จากช็อต แอนโธนี่ เอลังก้า แย่ง มาร์คัส แรชฟอร์ด ยิงจนบวกหัวทิ่มทั้งคู่ นี่ถ้าน้องแกเป็นงานปล่อยให้ แรช ลากไปยิงอาจถึงประตูเลยด้วยซ้ำ
ผลเสมอครั้งนี้ไม่ได้เป็นผลดีเลยเนื่องจาก “ปีศาจแดง” ตามหลัง อาร์เซนอล อันดับ 4 อยู่ 3 แต้มแต่เตะมากกว่าไปแล้วถึง 2 นัดในช่วงโค้งสุดท้ายอีก 8 นัด (ของฝั่ง ยูไนเต็ด)
ในขณะที่ตั๋วปลอบใจอย่าง ยูโรป้าลีก ก็ต้องออกแรงเหนื่อยยันนัดสุดท้ายแน่ๆหลังมีแต้มเท่า สเปอร์ส ที่อยู่อันดับ 5 และมี 1 เกมเบาๆในมือ
ภัยมืดของ ยูไนเต็ด ณ ตอนนี้คือการที่นักเตะฟอร์มขึ้นลงมาไม่พร้อมกัน เฟร็ด, บรูโน่ วันนี้สอบผ่านแต่ตัวรุกที่ไร้ โรนัลโด้ แทบไม่มีอะไร หลายๆคนมักสลับส่งไม้ต่อจนคุณภาพแนวรับและแนวรุกไม่สัมพันธ์กันซักเท่าไหร่
แท็คติกส์และการแก้เกมของ ราล์ฟ รังนิค อยู่ในจุดที่เรียกว่าก็ไม่ได้แย่อะไรและค่อนข้างโอเคในสายตาของ เร้ดอาร์มี่ (ที่ดูบอลเป็น)
แต่คุณภาพของนักเตะไม่ตอบโจทย์และคงต้องแก้ไขปัญหาหน้างานต่อไปจนกระทั่งจบซีซั่นแน่นอนครับ...
สถิติ สถิติ สถิติ
เฟร็ด เป็นนักเตะคนที่ 7 ที่ยิงประตูในการลงเล่นนัดที่ 100 ให้ แมนฯยูไนเต็ดและเป็นนักเตะคนแรกนับตั้งแต่ มาร์คัส แรชฟอร์ด เคยทำไว้ในเกมพบ เลสเตอร์ เมื่อปี 2019
เบรนท์ฟอร์ด เอาชนะ เชลซี เป็นครั้งแรกในการพบกัน 9 ครั้งทุกรายการโดยหนสุดท้ายที่ทำได้คือบุกเอาชนะ 3-1 เมื่อปี 1939
เชลซี แพ้ 3 ประตู+ ในศึกลอนดอน ดาร์บี้แมทช์ ที่ สแตมฟอร์ดบริดจ์ (เฉพาะใน พรีเมียร์ลีก) เป็นหนที่สองเท่านั้นหลังครั้งแรกเกิดขึ้นในปี 1997 ด้วยการพ่าย อาร์เซนอล 3-0
“สิงห์บลู” เสีย 3 ประตู+ ให้ทีมน้องใหม่ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นหนที่ 2 ในประวัติศาสตร์หลังครั้งแรกแพ้ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 2-5 เมื่อปีที่แล้วโดยทั้ง 2 ครั้งเกิดขึ้นในยุค โธมัส ทูเคิ่ล
ลิเวอร์พูล ชนะรวด 10 นัดใน พรีเมียร์ลีกทำให้พวกเขาเป็นทีมที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่ทำสถิตินี้ได้ 5 รอบ โดยทีมแรกไม่ใช่ใครที่ไหนเป็น แมนฯซิตี้ ที่ทำได้ 5 รอบเท่ากัน
ดิโอโก้ โชต้า ทำประตูจากการโหม่งเป็นลูกที่ 7 จาก 23 ประตูที่ทำได้โดยนับตั้งแต่ลงเล่นนัดแรกให้ “หงส์แดง” เมื่อเดือนกันยายน 2020 ไม่มีนักเตะคนไหนทำประตูด้วยหัวมากไปกว่าเขาอีกแล้ว
แมนฯซิตี้ เป็นทีมเดียวที่ยังไม่เคยทำแต้มหล่นหลังจากยิงประตูขึ้นนำคู่แข่งในซีซั่นนี้โดยทั้ง 23 เกมเมื่อขึ้้นนำแล้วชนะรวดทั้งหมดและทีมของ เป๊ป กำลังลุ้นอีก 8 นัดเพื่อทำสถิตินำคู่แข่งแล้วปิดเกมชนะให้ได้จนถึงปิดซีซั่น
อิกาย กุนโดกาน ซัดประตูที่้ 34 ใน พรีเมียร์ลีกให้ แมนฯซิตี้ ทำให้เขากลายเป็นนักเตะ เยอรมัน ที่ทำประตูสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก แซงหน้า เมซุส โอซิล (33 ประตู) ไปแล้ว
เควิน เดอ บรอยน์ มีส่วนร่วมกับ 11 ประตูจากการลงสนามใน พรีเมียร์ลีก 13 นัดหลังสุดให้ แมนฯซิตี้โดยแบ่งเป็นยิง 8 และแอสซิสต์อีก 3
มีเพียง เดวิด เบ็คแฮม (18 ประตู) คนเดียวเท่านั้นที่ยิงไดเร็คฟรีคิกใน พรีเมียร์ลีก มากกว่า เจมส์ วอร์ด เพราส์ (13) โดย 9 จาก 13 ของ เพราส์ มาจากการเล่นนอกบ้าน
แอชลีย์ ยัง ทำ OG. เป็นครั้งแรกในอาชีพการค้าแข้งและในเกมที่ 389 ของเจ้าตัวแถมเพิ่มสถิติเป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ทำ OG. ในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก (36 ปี 267 วัน)
แก้ไขล่าสุดโดย เบน ฟรีคิก เมื่อ Sun Apr 03, 2022 03:22, ทั้งหมด 2 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ