จากกระทู้ที่แล้ว ที่อธิบายเรื่องพื้นฐานของการดู F1

http://www.soccersuck.com/boards/topic/2128686

ได้รับการตอบรับดีพอสมควร และมีคนถามคำถามอื่นๆมาเพิ่มเติมด้วย จึงขอตั้งอีกกระทู้ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบสำหรับมือใหม่ที่พึ่งเริ่มดู F1 จะได้สนุกเวลาที่ดู

DRS ( Drag-Reduction System)
ตัว DRS เป็นระบบที่ใช้ในการลดแรงต้านของรถแข่ง F1 ทำให้รถสามารถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดที่สูงขึ้นได้ โดยตัวระบบจะอยู่ที่ปีกหลังของรถแข่ง ในภาวะปกติที่ไม่ได้เปิดใช้งานDRS ปีกหลังจะทำมุมโค้งเฉียงขึ้น ดันอากาศที่ผ่านมาขึ้นไปด้านบน ทำให้เกิดแรงกด(Down Force)ที่กดท้ายของรถลงติดพื้นถนน ทำให้รถ F1 สามารถเข้าโค้งที่ความเร็วสูงโดยไม่หลุดถนน แต่มันก็จะทำให้เกิดแรงต้าน(Drag) ที่ดึงให้รถช้าลงไปด้วย (ว่ากันว่า รถ F1 ถ้าวิ่งด้วยความเร็วเต็มที่ ชุดแอโร่ไดนามิกบนรถสามารถสร้าง Down Force ได้ถึง 5g คือเหมือนรถหนักขึ้น 5 เท่าเลยทีเดียว)

เวลาที่เปิดระบบ DRS จะเป็นการเปิดช่องที่ปีกหลังของรถ ทำให้อากาศผ่านได้ง่ายขึ้น ลดแรงกดและแรงต้านที่กระทำต่อตัวรถ ทำให้รถสามารถมีความเร็วสูงสุดเพิ่มขึ้นได้อีก 10-12 กม/ชม เลยทีเดียว เพื่อช่วยให้รถที่ตามสามารถแซงคันที่นำได้ง่ายขึ้น


ใช้ DRS ได้ตอนไหน
แต่ละสนามจะมีช่วงที่กำหนดให้เป็น DRS zone ที่สามารถเปิด DRS ได้ โดยกติกากำหนด ให้รถที่จะใช้ DRS ต้องเป็นรถคันที่วิ่งตามรถอีกคันอยู่ โดยระยะห่างระหว่างคันที่นำกับคันที่ตามต้องไม่เกิน 1 วินาทีเมื่อผ่าน DRS detection zone โดยทั้ง 2 คันจะเป็นรถที่วิ่งในรอบเดียวกัน หรือกำลังโดนน็อครอบไปแล้วก็ได้ ขอแค่ระยะห่างไม่เกิน 1 วินาที รถคันที่ตามหลังจะใช้ DRS เพื่อช่วยในการแซงได้ว่าแล้วก็ไปดูตัวอย่างกัน



มาดูในตอนแข่งจริงระหว่าง Lecler กับ Verstappen กัน


เป็นตอนรอบที่16 Lecler นำอยู่ตอนผ่านโค้งที่ 15 เข้า DRS zone 3 และคาดไว้แล้วว่า Max Verstappen ต้องใช้ DRSเพื่อแซงตอนโค้งที่ 1 แน่ เจ้าตัวสัมภาษณ์ว่าเจตนาเบรคเร็วในโค้งที่ 1 เพื่อให้ Max แซงเขาขึ้นไปตอนที่ผ่าน DRS detection zone 1 ทำให้Leclerกลายเป็นคันที่ตามหลังและสามารถใช้ DRS เพื่อแซงคืนในช่วงโค้งที่ 4 ได้ (สังเกตุดูการปิดเปิด DRS ของรถแต่ละคันในแต่ละช่วง)

สัญญาณธง (Flags)

สัญญาณธงโบกข้างสนามจะเป็นการแจ้งนักแข่งในสนามเวลาเกิดเหตุการณ์ต่างๆ โดยมีหลายสีหลายแบบ อันนี้เอาแต่ที่สำคัญๆ เจอบ่อยๆแล้วกันนะ

ธงเหลือง คือมีเหตุข้างหน้า ให้ลดความเร็วลงและห้ามแซงกันในเซคชั่นนั้นๆของสนาม แบ่งเป็น
ธงเหลือง 1 อัน ไม่โบก : เหตุเกิดที่ข้างสนาม เช่น รถเสียแล้วสามารถหักลงไปหยุดข้างทางได้
ธงเหลือง 1 อัน + โบก : มีเหตุในสนาม เช่นมีอุบัติเหตุแล้วมีชิ้นส่วนรถบางส่วนหล่นในทางวิ่ง
ธงเหลือง 2 อัน + โบก: มีเหตุขวางทางสนาม เช่นรถที่เกิดอุบัติเหตุแล้วขวางทางวิ่งอยู่

ธงแดง หยุดแข่งชั่วคราว ให้ทุกคันกลับเข้า Pit มักใช้ตอนมีอุบัติเหตุใหญ่ๆ หรือสภาพอากาศไม่เอื้อ ประเภทพายุเข้าแรงๆจนแข่งต่อไม่ได้

ธงเขียว เหตุการณ์เป็นปกติแล้ว แข่งต่อได้ มักโบกตามหลังธงเหลือง

ธงฟ้า โบกแจ้งรถที่กำลังจะโดนน็อครอบ ให้หลบจากไลน์วิ่งเพื่อให้รถที่น็อครอบแซง

ธงตราหมากรุก จบการแข่งขันหรือจบเซสชั่นตอนซ้อม


Safety Car และ Virtual safety car

จะใช้ในกรณีที่เหตุการณ์ในสนามเกินกว่าที่จะจัดการได้ด้วยสัญญาณธง

Virtual safety car(VSC)
กรณีที่ใช้ VSC จะมีการแจ้งรถทุกคันในสนามผ่านทางวิทยุและหน้าจอที่พวงมาลัย เมื่อ VSC ออก รถทุกคันจะต้องรักษาลำดับ ห้ามแซงกันและลดความเร็วลงมาให้ไม่เกินตามที่กำหนด

Safety Car(SC)
กรณีที่เหตุการณ์ซับซ้อนหรือใช้เวลานานเกินกว่าจะจัดการด้วย VSC ก็จะมีการใช้ SC โดยเมื่อ SC ออกมาในสนาม รถทุกคันต้องลดความเร็ว และห้ามแซงกัน รถคันอื่นๆที่ไม่ใช่คันที่นำเป็นที่ 1 จะสามารถแซงรถ SC ได้ จนคันที่นำอยู่มาจ่อหลัง SC จากนั้นทุกคันจะวิ่งรักษาลำดับกันไปแบบนี้โดยทิ้งระยะห่างที่เหมาะสม จนกว่ารถ SC จะกลับเข้า Pit lane หรือถ้าไม่ทันก็อาจวิ่งตามกันจนเข้าเส้นชัยไปเลยก็ได้

จากปัญหาเรื่อง SC ในปีที่แล้วที่สนามสุดท้าย ทำให้ปีนี้ FIA แก้ไข้กฎการใช้ SC ให้มีความชัดเจน ดังนี้
1. รถทุกคันต้องวิ่งตาม SC เมื่อสนามปลอดภัยพอ ผู้ควบคุมการแข่งขันจะให้สัญญาณ ให้รถทุกคันที่โดนน็อครอบแซง SC ขึ้นไป เพื่อจัดลำดับให้ถูกต้อง
2. เมื่อรถทุกคันอยู่ในลำดับที่ถูกต้องแล้ว SC ต้องวิ่งต่อไปอีก 1 รอบ พร้อมกับมีสัญญาณแจ้งรถทุกคันว่า รถ SC จะเข้า Pit lane เมื่อจบรอบ ( Safety car in this lap)
3. เมื่อ SC เข้า Pit lane แล้ว การแข่งสามารถกลับมาทำการแข่งขันในรอบต่อไปได้ทันที


ทำไมหลายๆครั้ง นักแข่งเลือกจะเข้า Pit ตอนที่มี SC หรือ VSC ออก?
เพราะว่าเวลาที่ SC หรือ VSC ออก รถทุกคันจะวิ่งช้าลง ทำให้การเข้า Pit มีโอกาสถูกแซงน้อยลง
ปกติการเข้า Pit ต้องใช้เวลา 20-30 วินาทีตั้งแต่รถเข้า Pit lane จนเปลี่ยนยางเสร็จและออกจาก Pit lane หมายความว่า หากรถ A นำรถ B แค่ 15 วินาที แล้วตัดสินใจเข้า pit ก็มีโอกาสโดนรถ B ที่ไม่เข้า Pit แซงเมื่อออกจาก pit lane
แต่เมื่อ SC ออก รถทุกคันต้องลดความเร็ว ทำให้ระยะห่างระหว่างรถ A กับ B ที่เดิมห่างแค่ 15 วินาที ยืดออกเป็น 30-40 วินาทีได้ เปิดโอกาสให้รถ A สามารถเข้า Pit เสร็จโดยไม่โดนรถ B แซงนั้นเอง

คร่าวๆก็ประมาณนี้ ใครส่งสัยตรงไหนเพิ่มเดิมทิ้งคำถามไว้ได้นะครับ เดี๋ยวมะรืนนี้ก็จะเริ่มแข่งสนามที่ 2 ที่ Jeddah ประเทศซาอุดิอารเบียแล้ว ยังไงจะหาเวลามาอัพเดทข่าว + แนะนำสนามนะ

ชวนเล่น F1 FANTASY ครับ

ลีค

https://fantasy.formula1.com

code 96aa328dfe

สุดยอด รันวงการมากครับ

เพิ่มเติมให้นิดนึงครับ มันจะมีคำว่า Free pit stop อีกคำ

หมายความว่าสามารถเข้าพิตได้โดยไม่เสียตำแหน่งนั่นเอง

มักจะมีคำนี้ออกมาตอน SC พอดี อย่างที่กล่าวมา

เจอเคสสนามสุดท้ายปีที่แล้วก็แก้เรื่องกฏให้Lapped CarแซงSCเลย แต่Michael Masiบินไปเรียบร้อย แอบเสียดายนะชอบตอนTotoแกโวยวายแล้วแกสวนว่าIt's called motor race

แถวบ้านเรียกล่ก 5555 บูชายัญตัวเองไปซะ

ผมชอบนะที่มีteam radioตอนคุยกับFIAอะอยากให้ปีนี้มีอีกไม่รู้จะเอากลับมาไหม

มาซี่โดนอะไรครับ

โดนถอดออกจากการเป็น Race Director ครับ โดยโยกไปทำงานตำแหน่งอื่นแทน

เหมือนปีนี้ วางแผนจะให้มีผู้ช่วย Race Director มาคอยคุยกับพวก Team Principal แทน ป้องกันพวกทีมใหญ่กดดัน RD เพราะปีที่แล้วช่วงโค้งสุดท้ายนี่ RB กับ Mer บ่นสายตรงตลอดเวลา

ถามเรื่องธงดำหน่อยครับ

ต้องทำอะไรถึงโดนธงดำ

ธงดำคือ Disqualify ต้องออกจากการแข่งขันทันที ใครจะโดนมักเป็นพวกที่ทำผิดกฎรุนแรง หรือมันอันตรายอ่ะครับ มีหลายสาเหตุเหมือนกัน ที่ผ่านๆมาที่เคยโดนกันก็มี

- เปลี่ยนรถหลังจากเริ่มรอบ Formation lap ไปแล้ว
- ให้คนอื่นมาสัมผัสรถหรือช่วยเข็นในระหว่างแข่ง
- ขับรถเร็วเกิน Pit lane limit ใน Pit lane หรือฝ่าฝืนสัญญาณไฟแดงตอนออกจาก pit lane
- ฝ่าฝืนคำสั่งของสจ๊วทสนามหลายๆครั้ง

หลังๆนี่ไม่ค่อยมีใครโดนกันแล้วนะ คนล่าสุดที่โดนนี่ใครผมจำไม่ได้แล้ว

แล้วก็ ธงดำในตำนานครับ ปี 1977 ที่ปู่ Hans Heyer ไม่ผ่านรอบคัดเลือก แต่ตอนแข่งจริง แอบออกจากพิทมาจอยกับเขาด้วย

แล้วทีมงานไม่รู้ตัวด้วยนะ แกแข่งจนรถพังไปเอง ก็คือทั้ง not qualify, not finish, disqualify แบบครบคอมโบ