"สวัสดีครับ ผมชื่อหลุยส์ แม็คแคชนี่ย์ อายุ 21 ปี ผมเป็นนักศึกษาวิศวกรรมเครื่องกล ผมจะไปป่วนเกมฟุตบอลนัดนี้ ผมกลัว แต่ผมเชื่อว่ามีคนอีกมากมายที่จำเป็นต้องรู้ว่าอนาคตนั้นจะเป็นอย่างไร"

"คนอีกเป็นพันล้านไม่รู้หรอกว่า ระหว่างพวกเขาเอาแต่อยู่ที่บ้าน หรือไม่ก็ออกไปไหนก็ได้ที่อยากไป ขณะที่ประเทศต่างๆ เริ่มร้อนเกินกว่าที่จะอาศัยอยู่ ความอดอยากแพร่กระจายจากการเพาะปลูกที่ล้มเหลว

"ต่อสู้แย่งชิงขนมปังบนชั้นวางสินค้าในร้านเบเกอรี่ที่มอร์ริสันส์ ค่าครองชีพกำลังวิกฤต โควิด และสงครามในยูเครน ล้วนแต่เป็นสิ่งบอกเหตุต่ออนาคต"

"ผมอยากให้รัฐบาลทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อไม่ให้เรื่องเหล่านี้กลายเป็นจริง แต่พวกเขากลับกำลังแผ่ขยายด้านน้ำมันและกาซธรรมชาติ ทำให้สิ่งต่างๆ เลวร้ายลงกว่าเดิม เพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น"

"เราทราบถึงเรื่องนี้เพราะสำนักงานพลังงานนานาชาติ บอกเราว่าจะไม่มีน้ำมันและกาซใหม่ๆ ในปี 2021 หากรัฐบาลจริงจังต่อการดำเนินการเรื่องสภาวะอากาศ"

"เรากำลังเรียกร้องให้คนทั่วไปมาร่วมกับคนอีกนับพันเข้าร่วมกับการประท้วงทางสังคมขนาดใหญ่ในครั้งนี้ คนจากทุกวัยนับหมื่นคน ได้ลงชื่อสนับสนุนความต้องการไม่ให้มีน้ำมันและกาซใหม่เกิดขึ้นมา"

"แค่หยุดน้ำมัน ไม่ต้องคิดอะไรเลย นี่คือย่างก้าวแรกในการยุติความเสียหาย มันเริ่มขึ้นมานานหลายสัปดาห์แล้ว แค่ลงชื่อด้านล่าง แล้วค้นหาว่าเรากำลังทำอะไร ทำไมมันถึงจะได้ผล และคนธรรมดาทั่วไปอย่างพวกเราสามารถก้าวขึ้นมา ไม่เอาแต่เพิกเฉย"

"คุณมีทางเลือก เราไม่สามารถทำตัวตามปกติแล้วก็มีอนาคตที่ปลอดภัย" ทั้งหมดคือคำกล่าวของเด็กชายชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นระดับแกนนำของกลุ่มผู้ประท้วง หน้าสนามกูดิสัน พาร์ค ก่อนเข้าไปป่วนเกมระหว่าง เอฟเวอร์ตัน กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด เมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

วีรกรรมของเจ้าหนุ่มหลุยส์ ไม่ใช่ครั้งนี้เป็นครั้งแรก เพราะเขาเคยติดคุกมาแล้วจากการชุมนุมปิดถนนของกลุ่ม Insulate Britain โดยเขาเคยกล่าวเอาไว้ถึงแคมเปญนี้ว่า "เรารู้ว่าต้องทำอะไร มันง่ายๆแค่นั้น แค่หยุดน้ำมัน ตอนนี้พวกเขากลับกำลังทำตรงกันข้าม"

นาทีที่ 57 ของเกมการแข่งขัน กรรมการเคร็ก พาวสัน ต้องเป่านกหวีดหยุดเกมที่เสมอกันแบบไร้สกอร์ หลังพบว่ามีผู้ประท้วงรายหนึ่งใช้สายเคเบิลรัดคอตัวเองกับเสาประตูทางฝั่งที่ อัสเมียร์ เบโกวิช นายประตูของฝั่งเจ้าถิ่น ยืนอยู่ จนทำให้เจ้าหน้าที่สนาม ต้องวิ่งหิ้วคีมยักษ์ลงมาตัด แต่ก็ใช้เวลานานเกือบ 10 นาที กว่าจะนำตัวคนป่วนรายนี้ออกไป แล้วให้เกมดำเนินต่อ ท่ามกลางเสียงโห่อย่างหนักของแฟนบอลเพราะไม่พอใจ จนถึงขนาดมีชายคนหนึ่งบุกเข้าไปในสนามพร้อมกระทืบหลุยส์ ท่ามกลางวงล้อมของการ์ด

กลุ่ม Just Stop Oil เจ้าของแคมเปญ ออกมาอ้างความรับผิดชอบหลังจบเกมดังกล่าว โดยแถลงออกมาว่า "ผู้สนับสนุน Just Stop Oil ล็อคตัวเองกับเสาประตู ระหว่างเกม เอฟเวอร์ตัน กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด"

"ในค่ำคืนนี้ หลุยส์ ผู้สนับสนุน Just Stop Oil วัย 21 ปี ล็อคตัวเองกับเสาประตูที่กูดิสัน พาร์ค พร้อมสวมเสื้อยืด Just Stop Oil ส่งผลให้กรรมการหยุดเกมเป็นเวลาสั้นๆ"

แน่นอนว่าความพยายามของพวกเขาครั้งนี้ได้ผล เพราะ อเมซอน ที่ได้รับสิทธิ์ถ่ายเกมฟุตบอลในนัดนี้ ดันไปถ่ายความวุ่นวายปั่นป่วนที่เกิดขึ้นให้ชมกันแบบจะๆ แม้ที่ผ่านมาเรามักเห็นการถ่ายทอดสด ตัดไปมุมอื่นหากมีผู้ประท้วงวิ่งลงมาในสนาม เพื่อเป็นการไม่ให้พื้นที่กับพวกเขาในการแสดงออกบนสนามฟุตบอล แต่ครั้งนี้กลับไม่ใช่ ทำเอาโซเชี่ยลด่ากันสนั่นลั่นทุ่งระหว่างเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา

การกระทำของ หลุยส์ ทำให้เกิดเป็นไวรัลอย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าเขาประท้วงเรื่องอะไร แต่สุดท้ายก็มีการเฉลยถึงแคมเปญดังกล่าว

แต่เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่เกิดขึ้นครั้งแรก เพราะระหว่างเกมบิ๊กแมตช์ระหว่างอาร์เซน่อล กับ ลิเวอร์พูล ที่เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม เมื่อคืนวันพุธ ก็มีสมาชิกของกลุ่มผู้ประท้วงเป็นชายอายุ 20 ปี ชื่อ ไค ซึ่งเป็นนักศึกษาด้านนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ลงไปเอามืดตัวเองมัดกับเสาประตูมาแล้ว แต่ครั้งนั้นไม่มีการถ่ายทอดสดให้เห็นเลยไม่ได้เป็นกระแสมากเท่าที่ควร

ไค พูดถึงวีกรรมของตัวเองว่า "หากเราไม่สามารถควบคุมสภาพอากาศ ซึ่งชัดเจนว่าเราอยู่ในจุดวิกฤตตอนนี้ เราก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกคน ตกอยู่ในความเสี่ยง คนรุ่นผมจะไม่มีอนาคต"

"รัฐบาล มุ่งเน้นการลงทุนในน้ำมันและกาซ มากขึ้น แม้สุ่มเสี่ยงจะเกิดวิกฤตสภาพอากาศ ผมอยากให้รัฐบาลทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ พวกเขาต้องดำเนินการ ยิ่งใช้น้ำมันและกาซมากเท่าไหร่ ผู้คนก็ไม่ใช่ยิ่งจ่ายค่าน้ำมันและกาซมากเท่านั้น แต่จะยิ่งฆ่าคนเพิ่มขึ้นทั้งในตอนนี้และอนาคต"

เอาง่ายๆ ว่า Just Stop Oil คือแคมเปญเรียกร้องของกลุ่มคนหนึ่งที่ต้องการให้รัฐบาลสหราชอาณาจักร หยุดให้การสนับสนุนเงินทุนแก่บริษัทเอกชน ไปดำเนินการขุดเจาะน้ำมันและกาซ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของโลกเพิ่มเติม ด้วยการประกาศอย่างเป็นทางการในทันทีว่าจะหยุดออกใบอนุญาตในการขุดเจาะ พัฒนา และผลิตเชื้อเพลิงจากฟอสซิลในอนาคต โดยเฉพาะในแถบทะเลเหนือ

พวกเขาเชื่อว่า การเรียกร้องครั้งนี้คือก้าวย่างแรกที่จะรับประกันการอยู่รอดของมวลมนุษย์ เพราะทุกวันนี้โลกมีน้ำมันและกาซมากเกินกว่าที่จะใช้จนหมด ลดการใช้พลังงานฟอสซิล หันไปดำเนินนโยบายการใช้พลังงานทดแทน และลดความต้องการใช้พลังงาน

แคมเปญนี้ ผู้เข้าร่วมมีทุกเพศทุกวัยก็จริง แต่มุ่งเน้นให้คนวัยหนุ่มสาวที่เล็งเห็นว่าอนาคตพวกเขาตกอยู่ในอันตรายจากวิกฤตด้านสภาวะอากาศก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำในการทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยพวกเขาเชื่อว่า หากไม่ดำเนินการใดๆ นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป อนาคตของพวกเขาก็จะเลวร้ายลง หรือไม่ก็อาจไม่เหลือไว้ให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยกันอย่างสงบสุข

โรเจอร์ ฮัลแลม วัย 56 ปี นักกิจกรรมสิ่งแวดล้อมชาวเวลส์ คือโต้โผของการจัดแคมเปญในครั้งนี้ โดยเขาเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มเรียกร้องด้านสิ่งแวดล้อมชื่อดังอย่าง Extinction Rebellion หรือในภาษาไทยเรียกว่า "กลุ่มกบฎต่อต้านการสูญพันธุ์" ซึ่งดำเนินการประท้วงอย่างกว้างขวางเมื่อปี 2018 เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ประกาศภาวะฉุกเฉินทางนิเวศวิทยาและสภาพภูมิอากาศ เพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก โดยมีเป้าหมายลดปริมาณการเพิ่มของกาซคาร์บอนในชั้นบรรยาภาศเหลือ 0 ภายในปี 2025

นอกจากนั้น เขายังขับเคลื่อนกลุ่ม Insulate Britain หรือ "กลุ่มฉนวนอังกฤษ" ที่เคลื่อนไหวในประเด็นให้สหราชอาณาจักร สนับสนุนการติดตั้งฉนวนกันความร้อนในอาคารและบ้านเรือนภายในปี 2030 เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

การดำเนินการของกลุ่มต่างๆ ภายใต้การนำของ ฮัลลัมนั้น ใช้การเคลื่อนไหวแบบ "ขบวนการนักเคลื่อนไหวนานาชาติด้วยการอารยะขัดขืนที่ไม่ใช้ความรุนแรง" กล่าวคือเป็นการประท้วงแบบสงบ สันติ แต่แน่นอนว่าส่งผลกระทบต่อประชาชนทั่วไป

อย่างเช่นการประท้วงของกลุ่ม Insulate Britain เป็นการนั่งแล้วเอามือกดลงไปบนท้องถนน ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการจราจร ซึ่งมีสมาชิกกลุ่มถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับไปนับพันคน และคาดว่าการทำกิจกรรม Just Stop Oil อาจมีเอกลักษณ์เด่นๆ ในการลงไปป่วนสนามฟุตบอลด้วยการผูกมัดตัวเองกับเสาประตู เพื่อเรียกร้องความสนใจ ซึ่งแน่นอนว่า พฤติกรรมดังกล่าวอาจแพร่หลายไปในอีกหลายประเทศทั่วยุโรป และวงการฟุตบอล คงต้องหาทางรับมือตั้งแต่นี้เป็นต้นไป

ฮัลแลม เริ่มต้นดำเนินการประท้วง Just Stop Oil ช่วง ม.ค. ที่ผ่านมา โดยเขาได้ปลุกกระแสในกลุ่มนักศึกษาในสหราชอาณาจักร โดยอ้างว่า การขยายพื้นที่ขุดหาแหล่งน้ำมันและกาซ ในทะเลเหนือของสหราชอาณาจักร จะยิ่งเป็นการเร่งทำให้เกิดภัยพิบัติด้านสิ่งแวดล้อม

ระหว่างการปลุกระดมนักศึกษาในมหาวิทยาลัยกลาสโกว ช่วงปีใหม่นั้น ฮัลแลม บอกว่า "พวกกลุ่มนักศึกษา ต้องกลายเป็น "นักปฏิวัติ" เพื่อป้องกันหายนะด้านสภาวะภูมิอากาศโลก

เชื่อว่าการลงสนามไปทำกิจกรรมในสนามฟุตบอล คือการยกระดับการต่อต้านของพวกเขา หลังเคยขีดเส้นตายให้รัฐบาลทำตามข้อเสนอของกลุ่มเมื่อ 14 มี.ค. โดยระบุว่า "หากพวกคุณไม่ให้การรับประกันใดๆ ภายใน 14 มี.ค.2022 จะเป็นหน้าที่ของเราในการแทรกแซง ปกป้องอาชญากรรมรุนแรงที่สุดต่อประเทศ มนุษยชาติ และทุกชีวิตบนโลกใบนี้"

กิจกรรมการลงไปประท้วงในสนามฟุตบอลของสมาชิกกลุ่ม Just Stop Oil หากมองว่าประสบความสำเร็จคงไม่ผิดนัก เพราะพวกเขารณรงค์เรื่องนี้กันมานานตั้งแต่ ม.ค. ที่ผ่านมาแล้ว แต่ก็ยังปลุกกระแสไม่ได้เท่าที่ควร ทว่านับจากนี้เป็นต้นไป ไม่ว่าใครจะเห็นด้วยกับวิธีการประท้วงของพวกเขาหรือไม่ แต่ก็อาจทำให้ใครหลายคนได้คิดถึงอนาคตของลูกหลานมากขึ้น

หากไม่ได้ต้องการสนับสนุนแคมเปญนี้ด้วยการบริจาคเงินเป็นค่าใช้จ่ายในการเรียกร้อง อย่างน้อย การเริ่มต้น "ประหยัดพลังงาน" รอบตัวที่สามารถทำได้ ทุกคนก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้โลกใบนี้ยืนยาวและน่าอยู่แบบนี้ต่อไปอีกนานหลายปี

หักดิบ?

วิกฤตสภาพอากาศ น้อยคนที่จะสนใจ

จนกว่าจะได้รับผลกระทบโดยตรง

ถ้าไม่มีภัยพิบัติตูมเดียวอย่างในหนังคนคงจะยากที่จะใส่ใจ

กบต้มดำเนินต่อไป

บางรูปเห็นตูดเต็มๆเลยนะครับ ไม่เป็นไรเหรอครับ

เป็นเรื่องที่ผมเรียนมาเป็น 10 กว่าปี แต่ก็ยังไม่ไปไหนอยู่ดี สุดท้ายมันก็แค่ลมปาก ประเทศใหญ่ๆในโลกไม่ได้คิดเรื่องนี้อย่างจริงจัง บางทีก็ใช้เป็นข้อกีดกันทางการค้าเท่านั้นเอง

จะเลิกใช้น้ำมันก็ทำได้ แต่ต้องมีพลังงานทางเลือกออกมาให้เพียงพอและราคาเข้าถึงได้ก่อน

ตอนมาประท้วงนั่งรถอะไรมาล่ะ น้ำมันรึไฟฟ้า

คือเค้าประท้วงอะไรต้องอ่านให้เข้าใจก่อนนะ

เรื่องยกเลิกใช้น้ำมัน กับ สภาวะอากาศ

ไหนจะเรื่อง ทรัพยากรทดแทน ที่มีมากพอที่จะใช้เป็นล้านๆปี แต่ออกมาพูดว่าทรัพยากรขาดแคลน
เพื่อให้ราคาไม่ดิ่งลงเพราะทรัพยากรล้น

มันใช่เรื่องหรอครับที่การประท้วงของคุณจะต้องมารบกวนเกมการแข่งขัน อีกหน่อยจะประท้วงอะไรไม่ลงมาในสนามให้หมดเลยหรอ

Respect ครับ ปัญญาเรื่องนี้มันใหญ่พอที่จะรบกวนเวลาในสนามบอลได้ครับ ผู้คนควรตระหนักในปัญหาโลกร้อนมากกว่านี้

ก็เห็นด้วยกับการเลิกใช้น้ำมันนะ ทุกวันนี้รถไฟฟ้าก็ใช้งานจริงได้หลายยี่ห้อแล้ว มันถึงเวลาควรจะเปลี่ยนผ่าน

และไอ้การใช้น้ำมันนี่มันก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พวกรัสเซียหรือตะวันออกกลางบางประเทศ มีเงินเอาไว้ทำเรื่องเหี้ย ๆ

อีกทั้งเป็นข้อต่อรองกับฝั่งยุโรปตะวันตกด้วย ว่าถ้าแข็งข้อกับกู กูจะเลิกขายก๊าซให้

แต่ปัญหาก็คือ มันเปลี่ยนผ่านแบบปุบปับไม่ได้ ในเมื่อโลกเรามันยังเลิกใช้น้ำมันและก๊าซ 100% ไม่ได้ คุณก็ต้องหาคำตอบให้ได้ก่อนว่าจะใช้อะไรมาแทนในรูปแบบไหน และมันทำได้จริงในเชิงปฏิบัติหรือยัง ไม่ใช่พูด ๆ ๆ อย่างเดียวว่าต้องเลิกใช้น้ำมัน แต่ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้สังคมว่าอย่างอื่นที่จะใช้ทดแทนมันพร้อมหรือยัง

เลิกใช้น้ำมันและก๊าซ ให้ไปใช้ไฟฟ้าแทน
แล้วไฟฟ้าผลิตจากอะไร ก็น้ำมันและก๊าซอยู่ดีรึเปล่า

พลังงานทดแทนเอาแน่เอานอนไม่ได้ จนกว่าจะพัฒนาระบบกักเก็บได้มากพอสำรองพลังงาน

ระบบสำรองพลังงานหรือแบตเตอรี่ก็ไม่มีทางผลิตได้จากอุตสาหกรรมเล็กๆหรอก toxic waste อาจจะเยอะกว่าพวก บ.ปิโตรเลียมใน ปจบ ด้วยซ้ำ

ไม่ใช่ไม่เห็นด้วยกับแคมเปญนะ แต่ก็ยังนึกหาทางออกไม่ได้จิงๆ

มันเป็นช่วง Transition period จะให้บอกปุ๊ปทำปั๊ปเป็นธานอสดีดนิ้ว มันเป็นไปไม่ได้

สะท้อนกระจก อนุโลมฮะ

Respect ครับ

เกรงว่าวาไรตี้ลงรูปสะท้อนกระจกจะไม่รอดอ่ะสิครับ