ผมสรุปให้จบในประโยคสั้นๆของหนังเรื่องนี้สำหรับคนขี้เกียจอ่านหรือกลัวสปอยล์นะ

"David Fincher กำกับ Batman ไล่ล่า Zodiac"


เอาแบบยาวๆอ่านต่อจากนี้ละกัน ผมไม่ก็เคยรีวิวหนังลง Soccersuck เลย เพราะคิดว่าคนลงเยอะแล้วโดยเฉพาะหนังฟอร์มใหญ่ แต่รู้สึกแปลกๆที่รีวิวกลับน้อยกว่าที่คิด แล้วมีบางประเด็นที่ผมอยากพูดคุยกับคนที่ดูแล้วด้วย เลยลองรีวิวดู

Story
บทหนังฉีกจากโทนจักรวาล DC ในก่อนหน้านี้เหมือนกับที่ Joker ทำให้หนังขายความซีเรียส ความกดดันมากกว่าจะเป็นหนัง Superhero ที่คุณจะไปดูคลายเครียดในวันหยุด

Batman ฉบับ Robert Pattinson ในฉบับเป็นแบทแมนมาแล้วประมาณ 2 ปี เพื่อที่จะสู้กับอาชญากรรมในเมืองก็อตแธม แต่ความเป็นจริงแล้วในช่วงเวลา 2 ปีที่ผ่านมา อัตราการเกิดอาชญากรรมกับพุ่งสูงขึ้น ซึ่งทำให้บรูซ เวย์นต้องตั้งคำถามกับการกระทำของตัวเอง ว่าสิ่งที่ทำอยู่ถูกต้องหรือเปล่า แสดงถึงการอยู่ในช่วงที่กำลังค้นหาทิศทางของตัวเอง คล้ายกันกับ Christian Bale ใน Batman Begin ฉบับโนแลน

สำหรับผมแก่นของหนังที่นำเสนอเรื่องการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมของเมือง ถือเป็นประเด็นที่หนังนำเสนอได้ดีไม่แพ้กับสิ่งที่ The dark knight เคยทำไว้เลย

เวลาดูหนัง Superhero สำหรับผมจะดีเยี่ยมหรือเมคเซนส์หรือไม่ ขึ้นอยู่กับแรงจูงใจกับจุดหมายของ Villian เป็นอย่างมาก การจุดประเด็นลักษณะของตัวร้ายในเรื่องถือว่าทำได้ดีเยี่ยมเหมือนกับ Ozymandias ใน Watchmen เลย คือมีแรงจูงใจที่ส่งต่อเป็นการกระทำที่"เข้าใจ"ได้ ไม่ได้เนื้อหาบางเบาเหมือนตัวร้ายใน Superhero ทั่วไปที่อยากครองโลกหรือลืมไปงานวันเกิดอะไรทำนองนั้น แล้ว The Riddler ในรูปแบบของฆาตกรต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าพลิกจากเวอร์ชั่นของจิม แคร์รี่แบบคนทิศทางเลย

หนังไม่ได้นำเสนอตัวร้ายที่ต้องการทำลายล้างโลกหรือครองโลก แบทแมนไม่ได้มีภาระกิจในการปกป้องโลก แต่อยู่ในสเกลการสืบสวนหาปริศนาของตัวร้าย และต่อสู้กับแผนการของตัวร้ายในช่วงท้ายเรื่องเพื่อปกป้องก็อตแธม

หนังไม่ได้เสียเวลาเกริ่นเล่าเรื่องการตามของพ่อแม่ทั้งหมดหรือการฝึกมาเป็น Batman แต่ใช่วิธีแทรกอยู่ในบทพูดและเนื้อเรื่องที่อยู่ในหนังทดแทน ซึ่งเป็นวิธีที่ดีมากๆ ไม่ได้รู้สึกขาดไปเลยแบบตอน BvS หรือยาวเกินไปแบบ Batman Begin
การขมวดปมหนัง การบีบคั้นของสถานการณ์ตอนช่วงท้ายเรื่องของแบทแมนทำได้ดีมาก มีความลุ้นตามอยู่บ้าง แต่ยังเป็นรอง The dark knight อยู่ขั้นนึง ถ้ายิ่งใครชอบหนังแนวสืบสวนสอบสวนจะรู้สึกถึงความกดดันได้ดีเลย

Artwork

ออกตัวก่อนเลยว่าส่วนตัวผมไม่ชอบหนังโทนมืด โดยเฉพาะหนังที่ใช้โทนนี้โดยไม่จำเป็น แต่กลับกันเรื่องนี้มันไม่ได้มืดเพราะอยากให้ดูดาร์ค ดูเรียล แต่โทนหนังมันต้องมืดจริงๆ เพราะบรรยากาศของเนื้อหาที่เล่า แต่หนังไม่ได้มืดจนขาดความคมชัด ยังคงเห็นสาระสำคัญได้อย่างไม่ปวดตา

โทนหนังมีความเป็นหนัง Thriller มากกว่า Superhero ทั้งเสียงประกอบ โทนหนัง บรรยากาศ การดำเนินเรื่องให้อารมณ์เดียวกันกับการดู Se7en หรือ Zodiac ที่กำกับโดย David Fincher

Cast
เป็นหนึ่งในหนังที่ต้องพูดว่า เลือกคนได้ถูกต้องหมดเลย ตั้งแต่ตัว Robert Pattinson ที่แสดงเป็น Bruce Wayne/Batman ออกมาได้ตรงกับโจทย์ของหนังชัดเจน

และนี่คือ Batman ในมุมมองที่ผมมองว่าเล่นกับคำที่ว่า The greatest detective in the world จริงๆ ไม่ได้แค่มา Show-Off gadgets แล้วก็เอาชนะตัวร้ายไป ตัวแบทแมนเองมีบาดแผล มีความสับสนลังเลในการกระทำของตัวเอง มีความมนุษย์ ไม่ได้เป็นฮีโร่เย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนเวอร์ชั่นอื่นๆ

ถือว่ากอบกู้ภาพลักษณ์แบทแมนหลังจากยุคของ Ben Affleck (ไม่ใช่ว่าเบนไม่ดีนะ แต่บทหนังแม่งห่วยไป พยายามขายความเท่จนดู Cringe)

ในบทอัลเฟร็ดของ Andy Serkis ฉบับนี้เป็นอัลเฟร็ดที่เรารู้ปูมหลังเป็นใครบ้างเล็กๆน้อยๆ มีความสัมพันธ์กับตัวเอก และไม่ได้ดูแก่เกินไปเหมือน Michael Caine
ยังเป็นอัลเฟร็ดที่ดู Active ได้ดี และเข้าใจว่าทำไมถึงได้เป็นคนที่มาดูแลบรู๊ซ เวย์น

อีกคนคือ Zoe Kravitz ในบท Catwomen คือสเน่ห์เหลือร้ายมาก สวยมากกกกก จนโดดเด่นไม่แพ้รุ่นพี่แบบ Michelle Pfifer หรือ Anne Hatthaway เลย Jeffrey Wright ในบทกอร์ดอน ก็ทำได้ดีเช่นกัน ดูเถรตรงสมกับตัวละคร

แล้วที่สำคัญสำหรับพวก SJW ที่ชอบความหลากหลายทางเชื้อชาติมายัดใส่ตัวละคร นี่แหละ How it should be done ไม่มีใครแคร์หรอกว่า Catwomen, Gordon ผิวสีอะไร ถ้าแสดงออกมาได้สมความคาดหวังของตัวละคร

บทเพนกวินของ Colin Farrell เอาจริงๆ ตอนไปดูผมลืมจริงๆว่าคนแสดงคือ Colin Farrell แล้วลืมภาพตลกๆของเวอร์ชั่น Danny DeVitto ไปเลย
นี่คือมือขวา Mob boss แบบที่ควรจะเป็น ดูร้ายเจ้าเล่ห์ เอาตัวรอดเก่ง และแอคชั่นได้

มาถึง Paul Dano ในเรื่องนี้ที่โผล่หน้ามาให้เห็น แค่ 2-3 ซีนเท่านั้น แต่ยืนยันเลยว่าการโผล่ออกมาถือว่าเป็น Impact ที่ดีมากๆสำหรับตัวร้าย
ตอนแรกที่ผมเห็นข่าว Paul Dano ได้ Cast บทนี้มาผมรู้สึกไม่ประทับใจเท่าไหร่ แต่พอหนังออกมาแล้ว ของจริงมากๆ การแสดงออกทางสีหน้าแววตาสุดยอดมาก
เหมือนภาพคนร้ายฆาตกรต่อเนื่องอย่าง Zodiac จริงๆนั่นแหละ

ส่วนตัวละครคนอื่นไม่ว่าจะ Peter Saargard ก็นักแสดงฝีมืออยู่แล้ว แม้จะไม่ใช่บทหลัก แต่ฉากที่ออกก็แสดงมาได้สมราคานามสกุลนี้
ถ้าจะมีติงก็คนเดียวคือ John Turturro ของ Carmine Falcone ที่ดูอ่อนแอ ไม่สมกับบารมีเจ้าพ่อมาเฟียเมืองก็อตแธมเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้แย่จนเป็นจุดอ่อนของหนัง


Conclusion
The batman ถึงไม่อยากคาดคาดหวังก็เพราะกลัวจะผิดหวัง แต่ด้วยชื่อของ Batman และ Matt Reeves มันอดไม่ได้จริงๆที่จะเป็นหนังที่ผมแอบคาดหวังมันไว้มากพอสมควร
และผมไม่ได้ดูเทรลเลอร์เลย ยกเว้นตัวแรกที่ปล่อยออกมาเห็น (Robert Pattinson) แต่ผลลัพท์ออกมานี่คือหนัง Batman ที่ผมถือว่าคาดหวังทุกสิ่งอย่างจากฮีโร่คนนี้เลย

พูดถึง DC หลังจากไปเสียเวลากับอยู่หลายปีกับ DC cinematic universe ปล่อยให้ Zack Snyder ตั้งแต่ BvS, Justice league ที่สำหรับผมเรียกได้ว่าเละเทะใช้ได้เลย
สำหรับผม มารอบนี้ WB หาจุดขายของตัวเองเจอแล้ว หลังจากประสบความสำเร็จส่งต่อจาก Joker ฉบับ Joaquin Phoenix ที่ทำโทนหนังให้เป็นหนังซีเรียสและเนื้อหามืดมน
คือเรียกว่าดาร์คจริงๆ ไม่ใช่ดาร์คแค่ภาพ แล้วมาขายว่าหนัง DC แม่งดาร์คสุดๆเลย อะไรแบบนั้น


สำหรับใครที่ชอบหนัง Crime thriller น่าจะชอบหนังเรื่องนี้แบบผม สำหรับผมนี่คือ ฺBatman ที่ผมถือว่าครบเครื่อง ตามความคาดหวัง ตาม Setting ที่ผมคิดไว้กับ Batman เลย ใครดูแล้วชอบประทับใจตรงไหน หรือไม่ดีตรงไหนลองพูดคุยกันครับ

ตรงปริศนาที่หลายคนบอกว่าง่ายไป หรือ ไม่เข้าใจตามไม่ทัน ผมว่ามันเป็นเพราะเขาเล่นกับคำภาษาหรือป่าว
พอมาแปลเป็นภาษาไทย หรือ ที่ผมดูคือพากษ์ไทย เนี่ยมันเลยดูเหมือนยังไงๆ งงๆกับปริศนาของ ริดเลอร์
แต่ผมเดาว่าฝรั่งน่าจะเก็ทและอินกับปริศนาของหนังมากกว่าเราหรือป่าว

ผมเห็นต่างผมจะโดนถล่มมั้ยหงะ

ทำไมผมคิดว่า เวอร์ชั่นนี้ไม่ได้รู้สึกถึงคำว่า The World's Greatest Detective เลยซักกะนิด

หรือมันโดนหักล้างจากที่ว่า พึ่งเป็น Batman ??

โทนหนังเหมือน 7even จริง แต่การสืบสวนนี้แทบหลับ ไม่เห็นถึงความตื่นเต้น

ผมชอบมากเลยอะ ผมให้ 9/10 ตัด 1 แต้มเพราะมึงเดินช้าเหลือเกินพ่อคุณ

แต่ส่วนที่ผมต้องติเลยคือพลอตการสืบสวนสอบสวนนี่แหละครับ มันง่ายเกินไปหน่อย แถมมีเรื่องบังเอิญเพื่อให้การไขคดีไปต่อได้อีก ส่วนตัวเชื่อว่า ผกก.ตั้งใจให้ไกลแค่นี้ เลยแอบเสียดายทั้งๆที่โครงมันโอเคเลย

คงแถได้ว่าริดเลอร์ก็รุ่นๆแบ้ทแมน ความเก่ง ความเหลี่ยมเลยยังไม่เท่าไร

ไหนจะเรื่องการเฉลยปมสำคัญก็เลือกใช้การเล่าแบบทื่อๆ มันขาดชั้นเชิงครับ สำหรับหนังแนวสืบสวนสอบสวนนะ คงกะใช้ซีนที่มาคุยต่อจากนั้นกับ Alfred มาขยายภาพทั้งเรื่องปม และเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างกัน (เดา)

อีกอย่างที่ผมชอบเลย(นอกจากงานภาพและซาวน์) คือการพยามใช้เสียงรอบ แพทเล่าความคิดตัวเองพลางถ่ายบรรยากาศ Gotham ไปด้วย (นึกถึง Taxi Driver) อันนี้แจ๋วเพราะมันคลุมโทนหนังได้หมดจด

ผมฟัง soundtrack แต่บอกตามตรง พวกปริศนาฝรั่งแบบนี้ ผมไม่เข้าใจอยู่แล้ว ตั้งแต่ Hobbit ละ

ผมจำได้ว่าดอกไม้เคยถามเรื่องไม่ชอบหนังมืดตอนเอาเทรลเลอร์มาล
เลยพูดถึงประเด็นนี้ไว้ด้วย

ใช่ครับ แปลไทยแล้วคำไม่สลวยเท่าภาษาอังกฤษเลย ซึ่งมันก็ยากครับที่จะแปลออกมาให้เข้าใจบริบทโดยสมบูรณ์

ไม่โดนถล่มหรอก ผมเห็นคนไม่ชอบเยอะเลยครับ

อย่างไอ้เรื่อง The World's Greatest Detective นี่ตัวละครมันไม่ได้พูดถึงหรอก

แต่เทียบกับเวอร์ชั่นที่ผ่านมา สำหรับผมดีกว่าพอสมควรเลย ของเบนนี่แทบไม่มีฉากสืบสวนเลย ผมนึกไม่ออกเลยว่ามีฉากไหนมั้ย

ส่วนเบลก็มีฉากดูกระสุน ซึ่งมันดูโชว์ gadgets มากกว่า

ส่วนนี้สปอยล์นะ ใครยังไม่ได้ดูอย่าเปิดละกัน

คุ้มที่จะจัด imax ไหมครับ

คงเป็นเพราะผมชอบโทนหนังแนวนี้ด้วย อย่าง breaking bad , mind hunter , อย่าง zodiac นี่ก็เพิ่งดูจบไป หาดูยากมากโชคดีมากๆที่ nf เอามาลง ก่อนแบทแมนเข้าฉายไม่กี่วันพอดี เหมือนรู้แนวหนัง the batman อ่ะว่าจะเป็นยังไง

สรุปแม่งโคตรถูกจริตผมมาก ถูกใจสาย slow burn แบบผม ว่าจะไปซ้ำระบบ imax อีกรอบ รอคนซาๆกว่านี้ จะนั่งกินป้อปคอร์นด้วยเพลินๆ

เขียนได้ดีงาม เห็นด้วยทุกบรรทัด

สำหรับผม รู้สึกเหมือนได้เสพงานศิลป์คุณภาพยอดเยี่ยม งานภาพและเสียงชอบมาก
นักแสดงหลักก็เล่นได้น่าประทับใจมากๆ
นักแสดงที่บทรอง ก็คุมโทนหนังได้ดี (กอดอน คามาย นายกหญิง)

แม้แต่บทตัวประกอบ อย่างตำรวจที่อยู่กับแบทแมนที่ห้องริดเลอตอนท้ายเรื่อง ยังได้ซีน

โดยส่วนตัวหนังเรื่องนี้ขึ้นหิ้งในใจผมไปเรียบร้อย :)

แนวทางการสืบสวน ผมก็ชอบนะ คือเข้าใจว่าคอหนังแนวลึก ระดับโนแลนอาจจะรู้สึกง่ายไป
แต่คนทั่วไปผมว่าดูเพลิน ลุ้นและตื่นเต้น

คุ้มค่าเวลา ค่าตั๋วมากๆ

ยืนยันอีกครั้งว่าแบทแมนเวอร์ชั่นนี้มันสมบูรณ์แบบมากจริงๆ เป็นครั้งแรกที่ดูหนังซุปเปอร์ฮีโร่แล้วรู้สึกว่า
มันดู"จริง" มันมากกว่า realistic คือเป็นคนธรรมดาคนนึงใส่ชุดค้างคาวแต่มันกลับเมคเซนส์
โรเบิร์ต แพททินสัน แสดงดีแบบไม่ว่าจะใส่หรือถอดหน้ากากก็คือคนเดียวกัน เปราะบางไม่ต่างกัน

ความที่มันดูเป็นคนธรรมดาจริงๆ การบอกเล่าจุดเริ่มต้นของแบทแมนเวอร์ชั่นนี้มันเลยไม่ใช่แนววีรกรรมฮีโร่
ยอดมนุษย์ปราบวายร้าย แต่เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของอุดมการณ์ จุดเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวแบทแมนเอง

เป็นแบทแมนที่เป็นทั้งความกลัวของอาชญากรกับความหวังของประชาชนก็อทแธม เป็นคนที่ไม่เหนือไปกว่าคนทั่วๆไป
แต่จุดพลุแฟลร์ส่องสว่างนำทางได้ เป็นเหมือนฮีโร่ที่เกิดขึ้นได้แค่ในก็อทแธมแล้วก็มีแต่ก็อทแธมที่ต้องการ

งานดีไซน์งานอาร์ททุกอย่างก็ยอดเยี่ยม จริงๆผมแทบจะให้ความสำคัญอันดับแรกๆเลยถ้าเป็นหนังแบทแมน
เพราะมันเล่นกับงานดีไซน์ได้เยอะ มันมีความคลาสสิค มีลายเซ็นต์ของมันอยู่แล้ว อยู่ที่ผกก.จะตกแต่งยังไง
ผมถึงได้ชอบแบทแมนของทิม เบอร์ตันมาก แต่กลับไม่ค่อยชอบ TDK ในแง่ของความเป็นหนังแบทแมน
จะถ่ายตึกกับสภาพอากาศยังไงให้ดูเป็นก็อทแธมได้นี่แหละสำคัญกับผมสุดๆ

แปลกที่ผมไม่ได้จดจำความเป็นหนังสืบสวนมันเลย พวกพาร์ทสืบสวนเหมือนไม่ใช่สิ่งที่ขับเคลื่อนหนังเลยด้วยสำหรับผม
ตัวหนังก็รู้สึกว่ามันเรียบเกินไปนิด แล้วก็มีส่วนที่แผ่วเกินไปแต่น่าทำให้เกิดอิมแพคอะไรได้มากกว่านี้

เห็นต่างนะ The greatest detective in the world โม้เกินความเป็นจริง สืบสวนก็ไม่เห็นว่าจะเก่งไปกว่าภาคก่อนๆเลย เป็นเเบทเวอร์ชั่นก่อนๆริดเลอร์โดนจับไปล่ะ ปริศนาต่างๆก็ถูกตัวละครอื่นๆเป็นคนนำพามา เช่นตำรวจเอาที่เเงะพรหมมาให้ น้องเเมวเอาข้อมูลมาโยนให้ สืบสวนก็ตามหลังตัวร้ายทุกๆก้าว ถ้าตัวร้ายมันไม่บ้าปริศนาไม่บ้าอีโก้ เเบทเเมนทำอะไรไม่ได้เลย ขาดลอยเลย เผลอๆถ้าเป็นโลกความเป็นจริงโดนล่อให้ไปฆ่าตั้งเเต่ต้นเรื่องล่ะ