BLOG BOARD_B
ติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Email: sale@soccersuck.com
ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออนไลน์
ซุปตาร์ฟุตบอลโลก
Status: YNWA#
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 07 Nov 2007
ตอบ: 10036
ที่อยู่: Anfield
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 17:15
ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก


อ้างอิงจาก:
พอดีระยะหลัง เมื่อ ลุงรังนิคมา เฮียได้ยินคำว่าบิดา เกเก้นเพรซซิ่งบ่อยๆ ซึ่งจริงๆทีแรกเฮียก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะครับ

แต่พอรู้สึกว่าเมื่อคำนี้เริ่มแพร่หลาย จนเริ่มเกิดความเข้าใจผิดไปว่า รังนิคเป็นผู้คิดค้น เกเก้นเพรซซิ่งบ้าง เป็นอาจารย์เจอร์เก้นคล็อปบ้าง เจอร์เก้นคล็อปได้อิทธิพลมาจากรังนิคบ้างอะไรทำนองนี้ เลยอยากจะเขียนบทความนี้ โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาย้อนไปตั้งแต่อดีตเลยนะครับเพื่อ ปรับความเข้าใจเกี่ยวกับ ที่ไปที่มา และ ประวัติความเป็นมา โดยจะเรียงลำดับระยะเวลาให้ชัดเจนนะครับ

เริ่มต้นจากเราต้องเข้าใจก่อนว่าตั้งแต่เริ่มมีกีฬาฟุตบอลมา แทคติคต่างๆมีการปรับเปลี่ยน ปรับแต่งเสมอมา ตามช่วงเวลา และ กติกาที่เปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น สมัยก่อนเราสามารถใช้เท้าส่งคืนประตูให้รับบอลได้ การเพรซซิ่งก็ไม่ค่อยมีประโยชน์ พอเปลี่ยนกติกามาเป็นห้ามรับบอลที่ใช้เท้าส่งคืนมา ทีนี้การเพรซซิ่งเริ่มได้ผลแล้ว แทคติคการเล่นของแต่ละทีมก็จะปรับเปลี่ยนกันไป
ค.ศ. 1860-1870 เราอาจจะนึกไม่ถึงว่ายุคนั้น ระบบการเล่นที่นิยมกันคือ
1-2-7 หรือใช้กองหน้า7ตัว กองหลังคนเดียวนะครับ มีบันทึกไว้ว่า ตอนอังกฤษเจอสก็อตแลนด์ในปี 1872 อังกฤษมาด้วยแผน1-2-7 ส่วนสก็อตแลนด์ใช้แผน 2-2-6 ตรงตัวไม่ต้องกลับ ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าพอมายุคนี้ในวันที่เราใช้กองหน้าตัวเดียว หรือ บางทีใช้ฟอลส์ไนน์ด้วยซ้ำเราก็จะเห็นได้ว่าแทคติคฟุตบอลปรับเปลี่ยน พัฒนากันมาโดยตลอด

เวลาผ่านไปอีกร้อยปี ในช่วงยุค 1960 ในยุคนั้นเราไม่มีอินเตอร์เน็ต ข่าวสารต่างๆไม่ได้รวดเร็วเหมือนปัจจุบัน แต่กีฬาฟุตบอลแพร่หลายไปทั่วโลกแล้ว

ดังนั้นฟุตบอลแต่ละประเทศก็จะถูกแยกกันพัฒนาในแบบของตัวเอง แต่ละทีมก็จะมีลายเซ็นเป็นของตัวเอง

ถ้าใครที่เกิดทันยุคนั้นก็คงเคยได้ยินว่า อังกฤษโยนยาว อิตาลีหลังเหนียวเล่นบอลแบบ คาตาเน็คโช่ ตีหัวเข้าบ้าน บราซิลต่อบอลสวยงามเทคนิคแพรวพราว สไตล์แซมบ้า อุรุกวัยจอมโหด เยอรมัน เล่นหลังสามคนมีลิเบอโร่(สวีปเปอร์ หรือตัวกวาด)1คน ฮอลแลนด์มีโททัลฟุตบอล แต่ละตำแหน่งสลับแทนกันได้หมด(รวมถึงเริ่มมีการนำการเพรซซิ่งมาใช้ด้วย) ฝรั่งเศสเล่นบอลคลาสสิคสวยงาม

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่าฟุตบอลแต่ละที่มีความแตกต่างกันไปอันเป็นความงดงามในยุคนั้น

ในยุค 80 เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเพลย์เมคเกอร์ ในยุคที่วิทยาศาสตร์ทางการกีฬายังไม่พัฒนา กองกลางกองหลังยังไม่เข้าบอลเร็วราวกับปีศาจเหมือนทุกวันนี้ การที่ทีมไหนมีนักเตะสายพันธุ์ เพลย์เมคเกอร์ เลี้ยงดี ยิงได้ จ่ายคม เผลอๆนักเตะคนเดียวสามารถยกระดับทีม จากทีมระดับธรรมดาขึ้นมาคว้าแชมป์ได้เลย

เหมือนอย่างที่มาราโดน่าทำไว้ในปี1986 ที่พระเจ้ากับเพื่อนร่วมทีมอีก10คนสามารถคว้าแชมป์โลกได้ รวมถึงพานาโปลีคว้าแชมป์ได้ และไม่ใช่แค่มาราโดน่า ยุคนั้นมียอดเพลย์เมคเกอร์เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น มาราโดน่า พลาตินี่ ซิโก้(บราซิล) ขนาดกัปตันซึบาสะ ที่ทุกวันนี้ยังอยู่ U23 อยู่เลย ในยุคนั้นเล่นศูนย์หน้าอยู่ดีๆยังเปลี่ยนตำแหน่งเอาเลยคิดดู

ดังนั้นในปี 1987 ในยุคที่ กัลโช่ อุดมไปด้วยยอดเพลย์เมคเกอร์ นาโปลีมี ดิเอโก้ จูเวนตุสมียังมีพลาตินี่ (ใกล้เลิกเล่นแล้ว) และมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ โรโบโต้ บาจโจ้ กำลังเริ่มฉายแวว อาริโก้ ซาคคี่ โค้ชโนเนมจากปาร์ม่าได้เข้ามาคุมทีมมิลาน แล้วทำการปฎิวัติทีมขึ้นมา และใช้ระบบ “โซนเพรซซิ่ง” เพื่อไม่ให้เพลย์เมคเกอร์ได้เล่นสบายๆอีกต่อไป

มิลานกลายเป็นยอดทีมในยุคนั้น ถ้าใครยังจำได้มิลานยุคนั้น หน้ามี แวนบาสเท่น กุลลิท แผงมิดฟิลด์ อาจจะไม่มีเพลย์เมคเกอร์เต็มตัว แต่เต็มไปด้วยแผงมิดฟิลด์เขี้ยวลากดินอย่าง โดนาโดนี่ ไรท์การ์ด อันเชล็อตติ โคลอมโบ(ปีกขวา) ส่วนแผงหลัง4คนคือโคตรบอลอย่าง มัลดินี่ บาเรซี่ คอสตาคูต้า และ เมาโรทัสซอทติ ซาคคี่และมิลานชุดนี้เปลี่ยนฟุตบอลอิตาลี่ไปตลอดกาล

อาริโก้ซาคคี่คุมมิลานตั้งแต่1987-1991 ก่อนสลับไปรับงานคุมทีมชาติอิตาลีและไปแพ้จุดโทษกับบราซิลในนัดชิง ก่อนที่จะกลับมาคุมมิลานอีกสมัยจนถึงปี1997

มิลานยุคนั้นให้ความสำคัญกับการฝึกซ้อมมาก ในทุกรายละเอียดจนทำให้ โค้ชโนเนมชาวเยอรมันอีกคนหนึ่ง ชื่อโวล์ฟกัง แฟรงค์ (จำชื่อนี้ไว้ในใจให้ดี) แฟรงค์ถึงกับขอเข้าไปดูการฝึกซ้อมของปรมาจารย์ซาคคี่

ความที่ไม่ใช่คนที่มีชื่อเสียง ซาคคี่จึงยอมให้แฟรงค์สังเกตการณ์จากริมขอบสนาม แฟรงค์ไม่ปล่อยให้โอกาสที่ได้ศึกษาเรียนรู้และจดจำทุกรายละเอียดในการฝึกซ้อม แฟรงค์นำ “วีดีโอ”เทปของมิลาน มาดูเพื่อที่จะแกะ “รูปแบบ”การเคลื่อนไหวของนักเตะทั้งทีม และคิดถึงเรื่องการฟื้นฟูร่างกาย การกิน การฝึกฝนความคิดจิตใจ ของนักเตะซึ่งยังเป็นเรื่องใหม่มากในสมัยนั้น ทั้งหมดเพื่อจะนำมาใช้กับงานของเขาในภายหลัง

ในปี 1995 แฟรงค์เริ่มต้นงานใหม่ของเขาที่ทีมเล็กๆอย่างไมนซ์05 วันที่เขามารับงาน ไมนซ์อยู่ที่โหล่ของลีกา2 ช่วงแรกๆของการคุมทีมไมนซ์ก็ยังไม่ดีขึ้น จนถึงช่วงเบรคครึ่งฤดูกาลในวันที่ไม่มีอะไรจะเสีย แฟรงค์ตัดสินใจบอกกับไฮเดลผู้จัดการทั่วไปของสโมสรว่าเขาจะซ้อมโดยเล่นหลังสี่คนยกเลิกระบบสวีปเปอร์

ถ้าเป็นประเทศอื่นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่นี่คือเยอรมันทีมที่เกือบทุกทีมในลีกจะเล่นคล้ายๆกัน และ ความสำเร็จในระดับโลกของฟุตบอลเยอรมันยุคนั้นมาจากระบบลิเบอโร่ เคยมีคน “ลองดี”นำระบบหลังสี่มาใช้เหมือนกันแต่มักจะจบไม่ค่อยสวยสักราย ปี1982 เอริค ริบเบคเคยลองให้บาร์เยิร์นเล่นกองหลังสี่คนดู ยังไม่ทันไรก็ถูกเรียกเข้าห้องเย็น โดยคนเรียกก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเขาคือสุดยอดลิเบอโร่ในตำนาน จักพรรดิลูกหนังฟรานซ์ แบคเค่นบราวน์นั่นเอง

แบร์ตี้ โฟลค์ โค้ชทีมชาติเยอรมันเคยให้สัมภาษณ์สื่อว่า การเล่นระบบหลังสี่จะทำลายฟุตบอลเยอรมัน ดังนั้นผู้เล่นที่ยังอยากติดทีมชาติย่อมไม่กล้าเล่นระบบหลังสี่เพราะจะหมดสิทธิติดทีมชาติไปโดยปริยาย

แต่แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาของนักเตะในลีกา2อย่างไมนซ์ บ่อยครั้งการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ก็เริ่มจากกลุ่มคนที่เรามองว่าล้มเหลว วันนั้นกองหลังลูกทีมของแฟรงค์คนหนึ่งที่ชื่อ เจอร์เก้นคล็อป ให้สัมภาษณ์สื่อว่าตอนนั้นเราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ต่อให้ต้องซ้อมปีนต้นไม้ ถ้ามันจะช่วยเพิ่มแต้มให้กับทีมได้เราก็จะทำ

แฟรงค์ต้องพยายามอธิบายให้ผู้บริหารทีมเข้าใจในสิ่งที่เขาจะทำว่า ถ้ากองหลังน้อยลงหนึ่งคน กองกลางก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งคน
ผู้บริหารถาม “ถ้ามีใครสักคนหลุดขึ้นมาล่ะ”
แฟรงค์ตอบว่าเราจะบีบจนไม่มีใครหลุดขึ้นมา ต่อให้เขาวางบอลยาวขึ้นมาเราก็จะมีเจ้ายักษ์ คล็อปอยู่
ผลงานของไมนซ์ค่อยๆดีขึ้นและสามารถหนีตกชั้นได้ในนัดสุดท้าย ทุกคนฉลองกันแต่แฟรงค์หลบไปเงียบๆตามคาแรคเตอร์ของเขา
ปี1995-1997 แฟรงค์คุมไมนซ์ช่วงแรก
ปี1997-1999 ราล์ฟ รังนิค ที่เราจะรู้จักเค้าในเวลาต่อมาว่า “บิดาเกเก้นเพรซซิ่ง” เริ่มคุมทีม อูล์ม 1846 ซึ่งตอนนั้น น่าจะอยู่ในลีกา2เท่านั้น
ปี 1998-2000 โวลฟ์กัง แฟรงค์ คุมไมนซ์เป็นสมัยที่ 2
ปี 1999-2001 รังนิคคุมสตุทการ์ท
ในช่วงที่แฟรงค์ คุมไมนซ์เขาถ่ายถอดวิชา ความรู้ ไอเดียการคุมทีมของเขาให้กับลูกทีมเต็มที่ หนึ่งในลูกทีมหัวโจก ที่คอยพูดคุย ซักถามไม่หยุด บางครั้งก็ถกเถียงกับ แฟรงค์ตลอดเวลา ลูกทีมคนนั้นชื่อว่าเจอร์เก้นคล็อป
เบนจามิน แฟรงค์ลูกชายของโวล์ฟกังแฟรงค์เล่าว่า พ่อแนะนำให้คล็อปเขียนทุกอย่างที่เขาบอกลงไป พ่อรู้สึกว่าวันหนึ่งคล็อปจะได้ใช้ประโยชน์จากมัน พ่อของเราคือแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเป็นผู้จัดการทีม....

นี่ทำให้เราทราบว่าคล็อปได้รับปรัชญาการทำทีมของเขาส่วนหนึ่งมาจากใคร
หลังจากโวล์ฟกังแฟรงค์ลงจากตำแหน่งปี2000 ไมนซ์กลับมาย่ำแย่อีกครั้งและเปลี่ยนโค้ชไปอีก4คน
ผู้บริหารพยายามหาคนที่จะมาสืบสานปรัชญา และ วิธีเพรซซิ่งและการเล่นกองหลังสี่คนของโวล์ฟกังแฟรงค์ โค้ชคนสุดท้ายเอคการ์ด เคราซ์ชุน เริ่มกลับมาเล่นกองหลังสี่คนช่วงปลายๆของเขาแต่ก็สายไปแล้ว ผู้บริหารสงสัยว่าทำไมเขาไม่เล่นแบบนี้ตั้งแต่ต้นก่อนจะรู้ภายหลังว่าโค้ชผู้นี้ได้โทรไปถามลูกทีมคนหนึ่งในทีมว่าระบบกองหลังสี่คนที่เคยเล่น พวกนายเล่นกันยังไง คงไม่ต้องบอกว่าปลายสายคือลูกทีมที่ชื่อเจอร์เก้นคล้อป

หลังจากเคราชุนต้องออกไป นาทีนั้นไม่มีใครรู้ว่าไมนซ์จะหาโค้ชจากที่ไหนอีกแล้ว
ไฮเดลตัดสินใจเดิมพันกับไอเดียหนึ่งของเขา เขาโทรไปคุยกับใครคนหนึ่ง
“ผมคิดว่าไอ้สิ่งที่เราจะเล่น หรืออยากจะเล่นกันให้ประสบความสำเร็จเนี่ย ไม่มีใครในเยอรมันเข้าใจมันสักคน แต่พวกคุณทุกคนในทีมเข้าในมันดี”
เขาพูดต่อ
ไม่ใช่ว่าจะให้โค้ชคนไหนมาคุมก็ได้ ดังนั้นเราคงต้องโค้ชตัวเราเองแล้วล่ะ แต่ยังไงก็ต้องมีใครสักคนมานำเรื่องนี้ผมคิดว่าคนนั้นควรเป็นคุณ”
ปลายสายตอบกลับมาว่า
“ไอเดียดีนะ มาลองดูกัน”
28 กุมภาพันธ์ 2001 เจอร์เก้นคล้อป เป็นผู้จัดการทีมไมนซ์ 05
และนี่คือจุดเริ่มต้นตำนาน
7 กันยายน 2013 โวล์ฟกังแฟรงค์เสียชีวิต
เจอร์เก้น คล้อป กล่าวในงานศพของ ปรมาจารย์ โวล์ฟกัง แฟรงค์ว่า
“คุณคือโค้ชของบุนเดสลีกา ต่อให้ไม่เคยทำงานที่นั่น”
“ผมบอกผู้เล่นมากกว่าพันคนว่าโวล์ฟกังมีอิทธิพลต่อนักฟุตบอลทั้งรุ่นจนถึงทุกวันนี้ เขาคือโค้ชที่มีอิทธิพลกับผมมากที่สุด เขาคือมนุษย์ที่พิเศษมาก” (ที่มา หนังสือ Klopp bring the noise)
จริงๆจุดมุ่งหมายที่เขียนบทความนี้ไม่ใช่จะ สรุปว่าใครคือบิดาเพรซซิ่งเพราะเอาเข้าจริงๆเฮียก็ยังไม่รู้เลยว่ามาตรฐานควรจะเป็นแบบไหน เพราะจะเห็นได้ว่ามีผู้คู่ควรหลายท่านเหลือเกิน ซาคคี่ แฟรงค์ รังนิค หรือจะย้อนไปไรนุสมิเชล แต่อยากจะเขียนเพื่อปรับความเข้าใจ ตามสิ่งที่ได้ทราบมา อีกอย่างอยากจะให้เกียรติ และ สดุดีโวล์ฟกังแฟรงค์ด้วย เพราะยังมีคนรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาน้อยเกินไป
จริงๆคำว่าบิดาเกเก้น หรือ บิดาเพรซซิ่งหรืออะไร มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกครับ

แต่มันจะดูแปลกเหมือนกัน เหมือนถ้ามีใครสักคนมากินผัดกระเพราที่บ้านเราแล้วติดใจ กลับไปเปิดร้านเล็กๆที่อเมริกา แล้วผัดกระเพราะเกิดกลายเป็นที่นิยมในอเมริกา แล้วฝรั่งคนนั้นเคลมตัวเองว่าเป็นบิดาแห่งผัดกระเพราเฮียว่ามันก็แปลกๆใช่ไหมครับ

แล้วถ้าเวลาผ่านไป คนเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริงคนรุ่นต่อไปก็จะเข้าใจผิดกันได้ นั่นแหละที่บทความนี้จะสื่อ

เอาเป็นว่าขอตัดจบบทความแค่นี้ก่อน คืนนี้อย่าลืมเชียร์หงส์และ ศิษย์เอกปรมาจารย์โวล์ฟกังแฟรงค์ไปด้วยกัน

รักนะจากเฮีย
(บิดาแห่งสมาคมคนเกรงใจเมียแห่งประเทศไทย)
#YNWA
 


ผมว่าอ่านเพลินดีเหมือนกัน
แก้ไขล่าสุดโดย sixhearts เมื่อ Sat Mar 05, 2022 18:08, ทั้งหมด 2 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ

ออฟไลน์
ดาวซัลโวยุโรป
Status: Don't kick the chair
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 31 Jan 2014
ตอบ: 12108
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 17:35
[RE: ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก]
อวยรังนิคจนซาคคี่่กำหมัดแล้ว
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน



อยู่กับสิ่งที่มี ไม่ใช่สิ่งที่ฝัน........


ออฟไลน์
ผู้จัดการทีมชั่วคราว
Status: ʕ•ᴥ•ʔノLFC.
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 28 Dec 2017
ตอบ: 52600
ที่อยู่: ปีหน้าเรามาแน่ !!!!!!!!!!!! เข้าร่วม: 14 Feb 1993
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 17:37
[RE: ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก]
ตอนแรกนึกว่าเป็นแค่ที่ไทยนะเรื่องล้อริงนิคว่าเป็นครูคล็อปกับทูเคิล

ฝรั่งมันก็ล้อเหมือนกัน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2016
ตอบ: 2813
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 17:55
[RE: ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก]
★จอห์นミเล่นหนอน★ พิมพ์ว่า:
ตอนแรกนึกว่าเป็นแค่ที่ไทยนะเรื่องล้อริงนิคว่าเป็นครูคล็อปกับทูเคิล

ฝรั่งมันก็ล้อเหมือนกัน
 


ทูเคิ่ลอะใช่แน่ๆครับ เด็กก้นกุฎิของแกเลยก็ว่าได้ แต่คล๊อป ก็แค่นับถือกันในทางโค้ชเฉยๆ เหมือนเรื่องของเป๊ปกับบิเอลซ่า เป๊ปชื่นชมการทำงานของบิเอลซ่ามาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า บิเอลซ่าเป็นอาจารย์เป๊บ

เอาจริงๆ เรื่องรังนิค ได้รับอิธพลการเล่นแบบเพรสซิ่งมาจากใคร หาดูแปปๆก็เจอ แกไม่ได้คิดเองอยู่แล้ว 555
แก้ไขล่าสุดโดย NKNG2904 เมื่อ Sat Mar 05, 2022 17:55, ทั้งหมด 1 ครั้ง
3
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ผู้จัดการทีมชุดเยาวชน
Status: Red Devil & Nerazzurri & The Yellow Wall
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Dec 2015
ตอบ: 18514
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 19:56
[RE]ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก
จริงๆ เรื่องของรังนิคนี่เข้าใจผิดกันไปเยอะ สิ่งที่เขาทำคือ ใช้กับทีมตัวเองส่วนนึง เพรสซิ่งก็เอาไอเดียมาจากซาคคี่นั่นแหละ แต่ที่ในเยอรมันที่เค้ายกย่องกันคือแกคล้ายๆ คนผลักดันในเรื่องงานวิชาการ และ ไปคอยสัมมนา เลคเชอร์ กึ่งๆ รณรงค์ ไม่หวงวิชา วิชั่นมองว่านี่คือแนวทางของบุนเดสลีกา เรื่องนี้มากกว่าคนถึงไปเรียกแกว่าโปรเฟสเซอร์ ไอเดียวกับแนวคิดแกแบบเดียวกับแฟรงค์นั่นแหละ แต่คนไปเข้าใจผิดกันไปเองว่าถ่ายทอดวิชาจากการคุมทีม หรือไปสอนกัน

แต่ถ้าผลงานการทำงานให้กับทีมผมถึงเรียกอีกฉายาของแกมากกว่า นั่นคือ Architect คืองานวางแบบแปลนโปรเจค พิมพ์เขียวโครงสร้างของกลุ่มเร้ดบลู และ เป็นงานที่แกทำออกมาแล้วออกมาเป็นรูปเป็นร่างที่สุด ผมถึงไม่เคยคาดหวังกับการคุมทีม 6 เดือนนี้ของแกเลย แต่หวังงานที่ปรึกษา 2 ปีที่จะมาช่วยวางโปรเจคมากกว่า
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
7
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวซัลโวฟุตบอลโลก
Status: "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2014
ตอบ: 26991
ที่อยู่: รับบูชาพระเครื่อง วัตถุโบราณ ของแปลก PM
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 20:17
[RE: ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก]
เอาเข้าจริงสไตล์การเล่นของ ราล์ฟ รังก์นิค ไม่ใช่การเล่นแบบเกเก้เพรสซิ่งด้วยซ้ำ อิทธิพลของทำทีมของ ราล์ฟ รังก์นิค คือการเล่นฟุตบอลเป็นทีมแบบสไตล์เยอรมัน แต่วิธีการเล่น ได้แรงบันดาลใจมาจากอาร์เซน เวนเกอร์ ของอาร์เซนอล

รังก์นิค ตอนที่คุม ฮอฟเฟ่นไฮม์ มีสามประสานแนวรุกที่มีผลงาน โดดเด่นขึ้น พวก เดวัด อิบินิเซวิข,คาลอส เอดูอาโด้ ,บา แกเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร บิลด์ ว่า ชื่นชมการทำงานของอาร์เซน เวนเกอร์ มาก เขาเหมือนทำฟุตบอลสนามเล็ก มาเล่นในสนามใหญ่

วิธีการเล่นคือการต่อบอลสั้นแล้วเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว วิ่งทำทางโดยที่ ไม่มีฟุตบอลอยู่กับตัว รวมไปถึงการรับบอลแล้วต้องรู้ว่าจะต้องส่งไปยังจุดไหน เป็นการโจมตีด้วยลูกสั้นอย่างรวดเร็ว

0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน






ออนไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2009
ตอบ: 16261
ที่อยู่: หน้าคอมส์
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 20:18
[RE: ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก]
อ่านแล้วก็เพลินดีชอบๆ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
ซุปตาร์ยูโร
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 04 Sep 2009
ตอบ: 16261
ที่อยู่: หน้าคอมส์
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 20:20
[RE: ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก]
Sigmund•VI พิมพ์ว่า:
เอาเข้าจริงสไตล์การเล่นของ ราล์ฟ รังก์นิค ไม่ใช่การเล่นแบบเกเก้เพรสซิ่งด้วยซ้ำ อิทธิพลของทำทีมของ ราล์ฟ รังก์นิค คือการเล่นฟุตบอลเป็นทีมแบบสไตล์เยอรมัน แต่วิธีการเล่น ได้แรงบันดาลใจมาจากอาร์เซน เวนเกอร์ ของอาร์เซนอล

รังก์นิค ตอนที่คุม ฮอฟเฟ่นไฮม์ มีสามประสานแนวรุกที่มีผลงาน โดดเด่นขึ้น พวก เดวัด อิบินิเซวิข,คาลอส เอดูอาโด้ ,บา แกเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร บิลด์ ว่า ชื่นชมการทำงานของอาร์เซน เวนเกอร์ มาก เขาเหมือนทำฟุตบอลสนามเล็ก มาเล่นในสนามใหญ่

วิธีการเล่นคือการต่อบอลสั้นแล้วเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว วิ่งทำทางโดยที่ ไม่มีฟุตบอลอยู่กับตัว รวมไปถึงการรับบอลแล้วต้องรู้ว่าจะต้องส่งไปยังจุดไหน เป็นการโจมตีด้วยลูกสั้นอย่างรวดเร็ว

 
ชอบอิบิเซวิชเสียดายแกเจ็บหนักใช่รึเปล่าครับตอนกำลังยิงเยอะๆเลย
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวซัลโวฟุตบอลโลก
Status: "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2014
ตอบ: 26991
ที่อยู่: รับบูชาพระเครื่อง วัตถุโบราณ ของแปลก PM
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 20:38
[RE: ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก]
kimikase พิมพ์ว่า:
Sigmund•VI พิมพ์ว่า:
เอาเข้าจริงสไตล์การเล่นของ ราล์ฟ รังก์นิค ไม่ใช่การเล่นแบบเกเก้เพรสซิ่งด้วยซ้ำ อิทธิพลของทำทีมของ ราล์ฟ รังก์นิค คือการเล่นฟุตบอลเป็นทีมแบบสไตล์เยอรมัน แต่วิธีการเล่น ได้แรงบันดาลใจมาจากอาร์เซน เวนเกอร์ ของอาร์เซนอล

รังก์นิค ตอนที่คุม ฮอฟเฟ่นไฮม์ มีสามประสานแนวรุกที่มีผลงาน โดดเด่นขึ้น พวก เดวัด อิบินิเซวิข,คาลอส เอดูอาโด้ ,บา แกเคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร บิลด์ ว่า ชื่นชมการทำงานของอาร์เซน เวนเกอร์ มาก เขาเหมือนทำฟุตบอลสนามเล็ก มาเล่นในสนามใหญ่

วิธีการเล่นคือการต่อบอลสั้นแล้วเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว วิ่งทำทางโดยที่ ไม่มีฟุตบอลอยู่กับตัว รวมไปถึงการรับบอลแล้วต้องรู้ว่าจะต้องส่งไปยังจุดไหน เป็นการโจมตีด้วยลูกสั้นอย่างรวดเร็ว

 
ชอบอิบิเซวิชเสียดายแกเจ็บหนักใช่รึเปล่าครับตอนกำลังยิงเยอะๆเลย  


มีช่วงที่เจ็บไป ต้นฤดูกาล 2011 ครับ ฟอร์มแรกๆไม่ค่อยดีก่อนย้ายไปสตู๊ดการ์ด แกเรียกฟอร์มกลับมาได้ พอ เจ็บใหญ่อีกรอบ ช่วง 2014 ประมาณนี้ หลังจากนั้น ฟอร์มทรงๆ ไม่เปรี้ยงเหมือนตอนเล่นให้ ฮอฟเฟ่นไฮม์
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน






ออฟไลน์
นักเตะอบต.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 925
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Mar 05, 2022 21:34
[RE: ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก]
ผมว่าทุกๆคนก็เรียนรุ้ต่อยอดกันไปไม่หยุดนิ่งแหละครับ ใครจะเริ่มยังไงเวลาผ่านไปก็ต้องมีปรับมีเปลี่ยนแปลงให้พัฒนาขึ้น เหมาะกับยุคสมัย จริงๆ การเพรซมันก็มีมานานแล้ว ช่วงคิดค้นแรกๆ อาจจะเพรซกันมั่วๆ แต่นักเตะสมัยนั้นทักษะฟุตบอลอาจจะห่างกันเยอะ ทำให้มันได้ผล

เวลาผ่านไป การเรียนฟุตบอลพื้นฐานมีระบบ มีเทคโนโลยีมากขึ้นมีการเก็บข้อมูล ทักษะเฉพาะตัวนักบอลดีขึ้นเพรซเฉยๆ มันไม่จนละเลยต้องเพรซเป็นระบบ ใช้ข้อมูลวิเคราะห์คู่แข่งเข้ามาช่วยเหมือนกัน ผมว่ามันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆแหละ ครับ

หรืออย่างบอล เป๊บเอง ตอนอยู่บาซ่าใช้ tiki taka ตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้ว ก็เป็นบอลรูปแบบเป๊บเลย
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลถ้วย ง.
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 21 Apr 2008
ตอบ: 5917
ที่อยู่: Old Trafford
โพสเมื่อ: Sun Mar 06, 2022 09:17
[RE]ประวัติศาสตร์ฟุตบอล เกเก้นเพรสซิ่ง by เฮียเล็ก
ตอนเริ่มดูบอลยุค 90 ทั้งบุนเดสลีก้าเล่น 352 กันหมดจริงๆ หลายปีต่อมาก็หันมาเล่นหลัง 4 กันหมด (อาจเว้นบางทีม) แต่ตอนนี้หลายทีมรวมทั้งในอังกฤษก็กลับมาเล่นหลัง 3 กัน
โพสต์บนแอป Soccersuck บน iOS
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
THE THEATRE OF DREAMS
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel