แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ อาจเป็นทัวร์นาเมนต์ที่มีความยิ่งใหญ่ แต่ก็เป็นรายการที่สร้างความปวดหัวให้กับวงการฟุตบอลมากที่สุดรายการหนึ่ง เพราะการแข่งขันที่ต้องจัดขึ้นในช่วงต้นปี ซึ่งไม่ตรงกับตารางการแข่งขันของฟุตบอลลีกยุโรป หรือ รายการนานาชาติชื่อดังทั้ง ฟุตบอลโลก และ ฟุตบอลยูโร



แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ อาจเป็นรายการที่แฟนบอลยุโรปชิงชัง เนื่องจากเป็นรายการการแข่งขันที่ขโมยนักเตะตัวเก่งไปจากสโมสรของพวกเขาหมดสิ้น แต่ความจริงแล้ว แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ถือเป็นรายการที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานและมีความสำคัญมากต่อโลกฟุตบอลรายหนึ่ง

ทัวร์นาเมนต์นี้เริ่มต้นเมื่อปี 1957 ถือเป็นการแข่งขันฟุตบอลประจำทวีปที่เก่าแก่ที่สุดอันดับสองของโลก เป็นรองเพียง โคปา อเมริกา และมีความเก่าแก่กว่าฟุตบอลยูโร

การเริ่มต้นของ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ดำเนินไปพร้อมกับกระแสการประกาศตัวเป็นเอกราชของประเทศในแอฟริกาจากเจ้าอาณานิคมยุโรป เหตุผลหลักที่ฟุตบอลรายการนี้เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1957 จึงหนีไม่พ้นเรื่องเป็นการปลุกกระแสชาตินิยมของประเทศหน้าใหม่ในแอฟริกาที่เพิ่งก่อตั้ง เพราะชัยชนะในเกมกีฬาสามารถสร้างความภูมิใจในความเป็นชาติให้กับประชาชนในประเทศได้



เตะแบบไม่แคร์สายตาชาวโลก
เหตุผลที่ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ เลือกแข่งขันในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ และไม่ยอมเลื่อนการแข่งขันให้ตรงกับฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโร ไม่ได้มีแค่เรื่องประวัติศาสตร์อันยาวนานและวัฒนธรรมที่ผูกพันกับชาวแอฟริกันทั้งทวีปเท่านั้น แต่ยังเป็นเรื่องความยิ่งใหญ่ของฟุตบอลแอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ซึ่งครั้งหนึ่งนั้นทัวร์นาเมนต์นี้สำคัญต่อชาวแอฟริกันมากกว่าฟุตบอลโลกเสียด้วยซ้ำ



นี่คือความสำคัญของ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ที่อยู่ตรงนั้นเพื่อชาวแอฟริกันมาตลอดมา จนกลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ อิสซา ฮายาตู (Issa Hayatou) ประธานสหพันธ์ฟุตบอลทวีปแอฟริกา ซึ่งดำรงตำแหน่งนี้มายาวนาน 29 ปี นับตั้งแต่ปี 1988 ถึงปี 2017 ไม่เคยมีความคิดจะปรับเปลี่ยนตารางการแข่งขันของ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ให้สอดคล้องกับฟุตบอลยุโรป เนื่องจากฟุตบอลรายการนี้มีความสำคัญต่อชาวแอฟริกันมาก นับตั้งแต่ที่ชาวยุโรปไม่เห็นคุณค่าในตัวพวกเขา

และสำคัญที่สุดแม้แต่ในวันที่เรื่องของเงินตรากับผลกำไรยังไม่มีอิทธิพลต่อโลกฟุตบอลมากนัก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ คือรายการที่มีความสำคัญและมีความหมายต่อชาวแอฟริกันมากที่สุด เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ จะต้องปรับเปลี่ยนตารางการแข่งขัน เพียงเพราะว่าทุกวันนี้สโมสรจากทวีปยุโรปซื้อตัวนักเตะจากแอฟริกาไปใช้งานในลีกของพวกเขา



ปัญหาเรื่องสภาพอากาศกำหนดอนาคต

แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ปรับเปลี่ยนการแข่งขันของพวกเขาให้สอดคล้องกับตารางสากลเพียงครั้งเดียว นับตั้งแต่ ให้ อิสซา ฮายาตู อยู่ในตำแหน่ง นั่นคือการเลื่อนมาจัดการแข่งขันในปีที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ นับตั้งแต่ปี 2013 เพื่อไม่ให้ชนกับฟุตบอลโลก ซึ่งในเวลานั้นฟุตบอลโลกกลายเป็นทัวร์นาเมนต์ลูกหนังอันดับหนึ่งของชาวแอฟริกันเหมือนกับผู้คนทั่วโลกไปเรียบร้อยแล้ว

ดูเหมือนว่า แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ จะไม่มีความเปลี่ยนแปลงอะไรอีก จนกระทั่งปี 2017 ที่ อิสซา ฮายาตู พ่ายแพ้การเลือกตั้งตำแหน่งประธานสหพันธ์ฟุตบอลทวีปแอฟริกาให้แก่ อาหมัด อาหมัด (Ahmad Ahmad) ผู้บริหารหัวสมัยใหม่ที่มีความคิดสอดคล้องกับแนวทางสากลของฟีฟ่า มากกว่าจะยืนกรานกับแนวทางเดิมของตัวเองแบบฮายาตู

สามเดือนหลังรับตำแหน่ง อาหมัด อาหมัด ประกาศว่า แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ จะลงแข่งขันในช่วงเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม เหมือนกับฟุตบอลโลกและฟุตบอลยูโร โดยเริ่มต้นจาก แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2019 ที่จะจัดขึ้นในประเทศอียิปต์ ซึ่งการแข่งขันที่ประสบความสำเร็จด้วยดี และดูเหมือนว่า แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ที่แข่งขันในช่วงกลางปีจะกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติใหม่ของรายการนี้ไปแล้ว

แต่เพียงหกเดือนหลังจากการแข่งขันดังกล่าวเสร็จสิ้น สหพันธ์ฟุตบอลทวีปแอฟริกาประกาศว่า แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2021 จะกลับมาจัดการแข่งขันในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ อีกครั้ง เนื่องจาก "ปัญหาเรื่องสภาพอากาศ" เพราะถ้าหากจัดการแข่งขันตามกำหนดเดิมในช่วงกลางปี 2021 ทัวร์นาเมนต์นี้จะคาบเกี่ยวกับฤดูฝนในประเทศแคเมอรูน (ก่อนจะเลื่อนการแข่งขันอีกครั้งสู่ปี 2022 เนื่องจากวิกฤตโควิด-19)

หากคุณจินตนาการภาพไม่ออกว่าฤดูฝนในประเทศแคเมอรูนเป็นอย่างไร เราขอนำข้อมูลปริมาณนํ้าฝนที่ตกในประเทศแคเมอรูนกับประเทศไทยในช่วงเดือนมิถุนายนมาเปรียบเทียบกัน เราจะพบว่าแคเมอรูนมีปริมาณฝนที่ตกลงมามากกว่าประเทศไทยเสียอีก โดยแคเมอรูนมีปริมาณนํ้าฝนโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 161 มิลลิเมตร ส่วนประเทศไทยอยู่ที่ 133 มิลลิเมตรในเดือนมิถุนายน

สำหรับใครที่เคยผ่านประสบการณ์ชมไทยลีกกลางสายฝนคงเข้าใจได้ไม่ยากว่า ทำไม แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ 2021 จึงถูกเลื่อนกลับไปสู่ช่วงต้นปีอีกครั้ง เพราะความจริงแล้วสภาพอากาศของแคเมอรูนมีลักษณะคล้ายคลึงกับประเทศไทย และช่วงเวลาที่เหมาะสมกับการจัดแข่งฟุตบอลมากที่สุดคงหนีไม่พ้นฤดูหนาว คือช่วงปลายปี-ต้นปี

จนถึงตอนนี้การแข่งขัน แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ ครั้งต่อไปที่จะจัดขึ้นในปี 2023 ยังคงถูกกำหนดเอาไว้ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมเช่นเคย แม้ฤดูฝนในประเทศที่เป็นเจ้าภาพอย่างไอวอรีโคสต์ จะโหดร้ายยิ่งกว่าแคเมอรูนเกือบสองเท่า เพราะปริมาณนํ้าฝนในเดือนมิถุนายนของไอวอรีโคสต์อยู่ที่ 266 มิลลิเมตร ซึ่งมากกว่าช่วงมรสุมของประเทศไทยในเดือนกันยายนเสียอีก

อ่านต่อ : https://mainstand.co.th/MS2022AFCONEuropeanFootball






















ถ้าตัดวัฒนธรรมไป ซึ่งมันไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ แต่ถ้านับด้านภูมิศาสตร์แล้ว

สรุปคือ ทวีปแอฟริกา ใหญ่ถึง 30,370,000 ตารางกิโลเมตร ใหญ่กว่าทวีปยุโรปถึง 3 เท่า โดยเป็นรองทวีปเอเชีย การจะจัดแข่งหมุนเวียนเจ้าภาพซึ่งยากลำบาก กว่าฝั่งยุโรป นอกจากประเทศทางอดีตโซเวียต จะไม่ค่อยเกิดปัญหา ถ้าเทียบกับทางแอฟริกา

ในฟุตบอลโลกปี 2010 ณ ประเทศแอฟริกาใต้ แข่งกันช่วงเดือน มิถุนายน - กรกฎาคม ณ ตอนนั้นประเทศแอฟริกาใต้ อยู่ในฤดูหนาว แต่ฝั่งแอฟริกาโซนกลางๆ เป็นฤดูฝน ส่วนทางแอฟริกาเหนือพวกอาหรับ แขกขาว เป็นฤดูร้อน

อีกทั้ง ทวีปแอฟริกา เป็น 1 ใน 3 ทวีป ที่อยู่ในเขตเส้นศูนย์สูตร นอกจากทวีปเอเชีย และทวีปอเมริกาใต้

AFCON 2019 ก็สามารถจัดกลางปีได้ โดยปีนั้นแข่งที่ ประเทศอียิปต์ ในฤดูร้อน ซึงร้อนแห้งที่ดินแดนทะเลทราย ต่างจากร้อนชื้นบ้านเรา ซึ่งร้อนแห้งของทางโซนแอฟริกาเหนือ กับ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้บ้านเราแล้ว ที่เป็นร้อนชื้น

ร้อนชื้นเหงื่อจะออก เพราะไม่ค่อยระเหยจะรำคาญกว่า แต่ร้อนแห้งนี้เหงื่อระเหยเร็ว ทำให้อันตรายกว่า ในการเป็นโรคฮีทสโตรก หรือโรคลมแดด ช่วงหน้าร้อนของเรา ซึ่งจะไม่ค่อยตรงในช่วง ตะวันออกกลาง กับ แอฟริกาเหนือ ฉะนั้น ถ้าเอาฤดูร้อนเราไปเทียบ ช่วงยังไม่ตรงฤดูร้อนทาง ตะวันออกกลางกับแอฟริกาเหนือ ประเทศเราก็จะร้อนกว่า



ทะเลทรายซาฮาร่า เป็นบริเวณที่ร้อนและแห้งแล้งที่สุดแห่งหนึ่งในโลกด้วยพื้นที่ 9,400,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งพื้นที่ใหญ่พอๆกับทวีปยุโรป และ ใหญ่กว่าประเทศไทยถึง 18 เท่า

ของโซนตะวันออกกลางกับแอฟริกาเหนือซึ่งอยู่ในที่ตั้งทะเลทรายซาฮาร่า ฤดูร้อนนี้ แตะไป 50 องศา เป็นเรื่องปกติ แล้วกลางคืนไม่ใช่ว่าจะหนาวนะ เพราะคิดว่า โซนทะเลทรายกลางวันร้อน กลางคืนหนาว บางทีร้อนไปที่ 40 องศา ในเวลากลางคืน ฉะนั้นไม่เคยไปอยู่ตะวันออกกลาง ดินแดนทะเลทราย ผมก็บอกไม่ถูกว่าอันไหนทรมานกว่ากัน ลองจินตนาการไปอยู่ห้องอบ ไม่มีที่ถ่ายเท คงพอบอกคำตอบได้ระดับหนึ่ง

แต่ปี 2023 จะแข่งที่ ไอวอรี่โคสต์ ฤดูฝน ที่หน้ามรสุมหนักกว่าไทย

ถ้าจะเตะตอนกลางฤดูกาล ก็จัดแค่ที่ แอฟริกาเหนือที่ตรงหน้าร้อนเตะกลางคืน กับ แอฟริกาใต้ ที่อยู่ในฤดูหนาว พวก ไนจีเรีย กาน่า ไอวอรีโคสต์ แคเมอรูน เซเนกัล กินี โตโก ก็ไม่ต้องจัดพอดี เพราะตรงนั้นเป็นแหล่งรายได้ของฟุตบอลทวีปแอฟริกาเป็นแหล่งหลักอีกที เพราะประชากรในโซนนั้น มีมากที่สุดในทวีปแอฟริกา รวมทั้งการเกิดของประชากรที่ผลิตคนออกมาได้เยอะ รวมทั้งคนผิวดำไปที่อยู่ในยุโรป ก็บินมาดูบ้าง

แต่ทางโซน เอเชี่ยน คัพ นี้เดี่ยวเตะกลางปี บ้าง กับ ต้นปีบ้างสลับไปมานะ ไม่นิ่งไม่เหมือนกัน ต่างจากยุโรป เพราะทวีปใหญ่มาก ซึ่งแน่นอนว่า ปีไหนจัดต้นปี เกิดผลกระทบเช่นกัน แต่นักเตะแอฟริกา ดันไปเล่นในยุโรปเยอะกว่าเอเชีย รวมทั้งเป็นตัวหลักสโมสร ยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น ถ้าเทียบกับเอเชีย เลยดูปัญหาเยอะกว่า

แต่สุดท้ายสิ่งที่หลายคนเอือมกับการแข่งขันในรายการนี้ ก็คือ การจัดการ กรรมการ ความปลอดภัย ซึ่งบรมห่วย มีปัญหาทุกครั้ง ทั้งสมาคมแต่ละประเทศ กับประเทศเจ้าภาพที่จัดรายการ รวมทั้งสมาคมฟุตบอลของทวีปแอฟริกา

ถ้านับความสนใจแล้ว ผมว่าฟุตบอลแอฟริกา รูปแบบการเล่นไม่น่าสนใจ หงุดหงิดกว่า เพราะเอาแต่นอน เน้นใช้ความสามารถเฉพาะตัว ใช้กำลังเข้าชน เดี่ยวกรรมการเป่าแบบ งงๆ แต่เรื่องการแข่งขันชิงแชมป์ สูงกว่าทางเอเชีย อเมริกาใต้ เสียอีก เพราะมีหลายชาติเก่งๆ อย่าง ตูนิเซีย อียิปต์ โมร็อคโก แอลจีเรีย เป็นพวกอาหรับ พวกผิวดำก็อย่าง กาน่า ไนจีเรีย ไอวอรี่โคสต์ เซเนกัล แคเมอรูน รวมทั้งการดวลระหว่างนักเตะที่เป็นตัวหลักอย่างทีมใหญ่ในยุโรปนี้ละ เผลอๆระดับโลกนี้

ดูจากการเป่านกหวีดหมดเวลาก่อนเวลาของกรรมการ

ก็พอจะนึกออกแล้วว่าเขาไม่ต้องการหมุนตามโลกนี้ไปพร้อมกันๆ 5555

เหตุผลหลักๆคือ สภาพอากาศ เตะกลางปีร้อนตับแตก

นอกจากนี้ จะไปชนกับบอลโลก บอลยูโร

เอเซียและแอฟริกา ถ้าจะจัดกลางปีน่ะได้ แต่ต้องจัด4ปีครั้ง ตัวอย่าง บอลโลก เอเชียนคัพ ยูโร แอฟริกัน มันจะลงรอบพอดี

ปัญหาคือ สภาพอากาศ เอเซียถ้าเจ้าภาพเป็นอสหรัฐ ร้อนตับแตก ไม่ต่างแอฟริกา

ไม่รู้นะความเห็นส่วนตัวของผม

เรื่องสภาพอากาศร้อนมันเป็นปัญหาของคุณที่จะต้องแก้อ่ะ

แบบหาวิธีแก้ที่มันน่าจะดีกว่านี้

ไม่ใช่แก้ปัญหาโดยการสร้างปัญหาให้กับคนอื่น(สโมสร)

จะอ้างโควิดยังได้เลย แต่ก็ยังจะดันทุลังจัดให้ได้

บอลแอฟริกาเขาก็ใช้ปฏิทิน ฝั่งเขาครับ บอลลีกเขาพัก แต่ลีกยุโรปเตะต่อ ฉะนั้นฝั่งลีกแอฟริกา เขาจะไม่เกิดปัญหา ไม่มีอำนาจให้ยุโรปหยุดเตะครับ ลีกยุโรปก็ใช้ปฏิทินของยุโรป โปรแกรมฝั่งลีก แอฟริกา ฟีฟ่า ก็รองรับครับ รองรับแบบสโมสรต้องปล่อย เรื่องนี้ต้องให้ฟีฟ่าไปคุยด้วยครับ

เอเชีย ก็ใช้ปฏิทินตัวเองครับ โดยเฉพาะเอเชียตะวันออก ปีไหนจัด เอเชี่ยน คัพ ฉะนั้นโปรแกรมบอลลีกฝั่งเอเชียจะหยุด แต่ฝั่งยุโรปเตะต่อ จะเตะช่วงเดือนมกราคม ซึ่งเอเชีย ไปอยู่ทีมใหญ่ยุโรปน้อยครับ เลยไม่เกิดเอฟเฟคเท่า แอฟริกา

แต่ละประเทศในแอฟริกา จะจัดเริ่มเตะตอนปลายปี ช่วงเดือน ธันวาคม ครับ จะไปปิด สิงหา โดยบอลทางยุโรปเริ่มเตะช่วงเดือน สิงหา

ส่วนสภาพอากาศ ที่นั้นเจอทั้ง ร้อน กับ ฝน ครับ หน้าฝนที่ แคเมอรูน ไอวอรี่โคสต์ ประเทศคองโกตอนเหนือที่มีป่าฝนอยู่ ป่าชื้นฝนใหญ่ น้องๆ อะเมซอน ที่หนักกว่าไทย ไปตรงกับหน้าร้อนที่ แอฟริกาเหนือครับ

เรื่องนี้ต้องให้ฟีฟ่า ไปหารือ หรือจัดเจ้าภาพแค่ที่ ประเทศที่อยู่ในแอฟริกาใต้ครับ ซึ่งแน่นอนไม่แฟร์กับสโมสรยุโรป แต่ก็ไม่แฟร์ กับชาติทางแอฟริกาครับ เพราะยุโรปคือลีกคนติดตามเยอะ นี้ละ

ขสท โก้ด ดิวัว

แล้วเดี๋ยวครั้งต่อๆไปพอโยกไปเตะกลางปี

ลิเวอร์พูลก็ไม่มีนักเตะแอฟริกาแล้วพอดี

ขอบคุณสำหรับข้อมูลครับท่าน