ลืมไปหรือยัง! อดีต 10 แข้ง "สุดปัง" ตลาดหน้าหนาว
ตลาดซื้อขายพรีเมียร์ลีกหน้าหนาวในเดือนมกราคม ส่วนใหญ่แล้วจะไม่มีดีลที่น่าสนใจหรือสร้างความฮือฮามากมายนัก ด้วยระยะเวลาสั้นๆเพียงแค่ 1 เดือนที่ต้องดำเนินการแบบเร่งรีบ แรงกดดันมหาศาล มีการซื้อแข้งราคาแพงที่ผิดพลาดแบบมหันต์เกิดขึ้นมาแล้วในช่วงเวลานี้ของปี
เราต่างคุ้นเคยกับความยากลำบากที่ แอนดี้ แคร์โรลล์ และ เฟร์นานโด ตอร์เรส ต้องเผชิญมาแล้วกันเป็นอย่างดี อย่างไรก็ตามบริบทนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเสมอไป และนี่คือ 10 นักเตะที่ย้ายทีมในตลาดหน้าหนาวและทำผลงานสุดปังในสนามได้อย่างน่าเซอร์ไพรส์ มีหลายชื่อที่อาจจะลืมไปแล้ว เรานำกลับมาให้ได้หวนคำนึงกันอีกครั้ง...
1. จอห์น สโตนส์ (บาร์นสลีย์ ไป เอฟเวอร์ตัน, 2013)
ในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา "เจ้าตูบ" บาร์นสลีย์ เป็นหนึ่งในสโมสรที่มีชื่อกระเดื่องในเรื่องของการปั้นกองหลังดาวรุ่งอนาคตไกล แข้งรุ่นกระทงอย่าง อัลฟี่ มอว์สัน, เจมส์ บรี และ เมสัน โฮลเกท ต่างได้รับโอกาสโชว์ความสามารถทีถิ่นโอ๊คเวลล์และจากทีมไปตั้งแต่หัววันตามรอย จอห์น สโตนส์ ที่มูฟออนในวันสุดท้ายของตลาดเดือนมกราคม 2013 โดยเขาถูกขายให้กับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยราคาแค่ 3 ล้านปอนด์
ทอฟฟี่สีน้ำเงินไม่ได้รีบร้อนที่จะใช้งานเขาในทีมชุดใหญ่ กว่าจะได้ลงเดบิวต์ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดแรกก็ต้องรอจนถึงเดือนกันยายนในปีนั้น แต่ใช้เวลาไม่นานเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเจ้าของความสูง 188 เซนติเมตร ก็สามารถปรับตัวกับเกมระดับสูงสร้างความมั่นใจให้กับตัวเองว่าเป็นหนึ่งในกองหลังเชิงสูงที่มีเทคนิคและทักษะระดับหัวแถวของเมืองผู้ดี ทีมจากเมอร์ซี่ย์ไซด์ฟันกำไรอื้อซ่าเมื่อขาย สโตนส์ ให้กับ "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคาแพงลิบลิ่้ว 47.5 ล้านปอนด์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2016 กลายเป็นกองหลังค่าตัวแพงที่สุดในโลกเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ ด้วยอายุเพียงแค่ 21 ปีในตอนนั้น
2. อันเดรส ดาเลสซานโดร (โวล์ฟสบวร์ก ไป ปอร์ทสมัธ, ยืมตัว, 2006)
กุนซือหน้าง่วง แฮร์รี่ เรดแนปป์ มีความสามารถพิเศษแปลกๆ อยู่เสมอ ทักษะการจัดการคนของเขาเป็นที่รู้จักมากกว่าความรู้ด้านแท็คติกซะอีก นักเตะแบดบอยที่เอาแต่ใจอย่าง ราเวล มอร์ริสัน, เปาโล ดิ คานิโอ และ ราฟาเอล ฟาน เดอร์ ฟาร์ท เมื่อเข้ามาอยู่ในสังกัดของลุงแฮร์รี่ต่างถูกจัดการได้แบบ "อยู่หมัด" และมีความมุ่งมั่นที่จะโชว์ฟอร์มในสนามได้ตามมาตรฐานของตัวเอง
น้องใหม่ ปอร์ทสมัธ ชนะการเลื่อนชั้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกด้วยการสรรค์สร้างของจอมทัพตัวเก๋าอย่าง พอล เมอร์สัน ที่ใกล้รีไทร์ และเมื่อพวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายต่อการร่วงตกชั้นจากลีกสูงสุดในอีก 3 ปีต่อมา เรดแนปป์ ก็ยกหูโทรศัพท์ไปที่ปลายสายผู้ลึกลับ อันเดรส ดาอเลสซานโดร
นี่คือหนึ่งในการการเซ็นสัญญาในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมที่บ้าบอดีเหมือนกัน เพลย์เมคเกอร์อาร์เจนไตน์ ผู้มีพรสวรรค์อันเอกอุ ผู้มีเท้าซ้ายที่เปรียบเสมือนพระเจ้าส่งมาเกิด ผู้มีฉายา "นิวมาราโดน่า" เคยนำทัพฟ้าขาวคว้าแชมป์โลกยู-20 และซิวเหรียญทองโอลิมปิค 2004 ที่เอเธนส์ มาคล้องคอ หลังการมาของเขา "เดอะ ปอมปีย์" คว้าชัย 6 จาก 10 นัดหลังสุด ทำประตูสุดสวยในเกมกับ ชาร์ลตัน พาทีมจากแดนใต้อยู่รอดปลอดภัยได้ในที่สุด เป็นการยืมตัวช่วงสั้นที่มีประสิทธิผลเต็มเปี่ยม
3. เซบาสเตียน ลาร์สสัน (อาร์เซนอล ไป เบอร์มิงแฮม, 2007)
ก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองสโมสรจะ "หมองมัว" หลังเหตุการณ์สุดช็อก มาร์ติน เทย์เลอร์ กองหลัง เบอร์มิงแฮม ซิตี้ เสียบโหดใส่ เอดูอาร์โด ดา ซิลวา หัวหอกอาร์เซนอล จนขาหักสะบั้่น ตามด้วยการวิจารณ์อย่างหนักของ อาร์แซน เวนเกอร์ บิ๊กบอสปืนใหญ่ต่อเซ็นเตอร์ฮาล์ฟเดอะ บลูส์ อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ อาร์เซนอล มักส่งตัวแข้งดาวรุ่งให้เบอร์มิงแฮมยืมตัวไปใช้งานอยู่เป็นนิจ
ในฤดูกาล 2006/07 ทีมของสตีฟ บรูซ เลื่อนชั้นกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้อึกครั้ง ด้วยกำลังหลักอย่าง นิคลาส เบนด์เนอร์, ฟาบริซ มูอัมบา และ เซบาสเตียน ลาร์สสัน
กองกลางสวีดิช ย้ายถาวรมาเล่นในถิ่นมิดแลนด์เมื่อเดือนมกราคม 2007 ด้วยราคาแค่ 1 ล้านปอนด์ ลาร์สสัน โชว์ฟอร์มได้อย่างสุดยอด คุมเกมกลางสนามให้ทีมทั้งการจ่าบบอลที่แม่นยำ และมีทีเด็ดจากลูกตั้งเตะอีกด้วย ลงสนามให้เดอะ บลูส์ไปมากกว่า 200 นัด อีกทั้งพาทีมเอาชนะทีมเก่า อาร์เซนอล ในนัดชิงลีก คัพ ปี 2011 เป็นถ้วยแชมป์ใบที่ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสร
4. แดนนี่ ดริงก์วอเตอร์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไป เลสเตอร์, 2012)
เช่นเดียวกับนักเตะอีกหลายๆคน ดริงก์วอเตอร์ ผ่านระบบเยาวชนของทีมผีแดง และเมื่อเส้นทางสู่ทีมชุดใหญ่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในช่วงการย้ายแบบยืมตัว 2-3 ครั้ง "ดื่มน้ำ" ได้พิสูจน์ตัวเองว่าเป็นมิดฟิลด์ระดับเต้ยที่สามารถกำหนดทิศทางการเล่น และขับเคลื่อนทีมไปข้างหน้าได้
หลังจากประสบความสำเร็จที่บาร์นสลีย์ และโชว์ฟอร์มเยี่ยมในเกมที่เจอกับเลสเตอร์ ในเดือนมกราคม 2012 เขาก็เข้าร่วมทีมจิ้งจอกด้วยค่าตัวที่ไม่เปิดเผย ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ที่ราวๆ 1 ล้านปอนด์ หลังจากใช้เวลาปรับตัวแค่ไม่กี่อึดใจ ดริงก์วอเตอร์ ก็สถาปนาตัวเองเป็นคีย์แมนคนสำคัญในถิ่นคิง เพาเวอร์ พาทีมเลื่อนชั้นมาเล่นในลีกสูงสุด และสร้างประวัติศาสตร์ระบือโลกด้วยแชมป์พรีเมียร์ลีกในยุคของกุนซือเคลาดิโอ รานิเอรี่ ก่อนย้ายไป เชลซี ด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ในเดือนกันยายน 2017 เขาไม่สามารถแจ้งเกิดได้อีกในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ และการถูกยืมตัวไปที่ แอสตัน วิลล่า และ กาซิมปาซา ในตุรกี ก็ไม่ได้สร้างอิมแพ็คอะไร แต่สิ่งที่เขาทำกับ เลสเตอร์ ทั้งหลายทั้งมวลนั้่นจะอยู่ในความทรงจำที่ยาวนานตลอดไป
5. คลินท์ เดมป์ซีย์ (นิว อิงแลนด์ เรฟโวลูขั่น ไป ฟูแล่ม, 2007)
ฟูแล่มประสบความสำเร็จกับนักเตะจากตลาดเมืองมะกันไม่น้อยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น คาร์ลอส โบคาเนกรา และ ไบรอัน แม็คไบรด์ ที่ยึดพื้นที่ในทีมชุดใหญ่ไว้ได้ แต่สำหรับ เดมป์ซี่ย์ มีความพิเศษมากกว่านั้น หลังย้ายมาจาก นิว อิงแลนด์ เรฟโลูชั่น ด้วยราคา 2 ล้านปอนเด์ เมื่อปี 2007 เขาทำผลงานได้โดดเด่นตลอดทั้ง 5 ฤดูกาลครึ่งในถิ่้นคราเวน ค็อตเทจ
เดมป์ซี่ย์ เป็นนักเตะที่เปี่ยมไปด้วยทักษะ และยังมีร่างกายที่แข็งแกร่งไม่มีการหวาดหวั่นต่อเกมปะทะหนักในแบบฉบับของพรีเมียร์ลีก กองกลางตัวรุกจากเมเจอร์ลีกปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและกลายเป็นแข้งคนสำคัญของทีมต่อเนื่องยาวนานหลายปี
ลูกชิพสุดคลาสสิคของเขาที่เป็นประตูชัยให้ฟูแล่มล้มยูเวนตุส กรุยทางให้ทีมผ่านเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศยูโรป้า ลีก ในปี 2010 เขาทำได้รวม 36 ประตูใน 2 ฤดูกาลหลังสุดกับฟูแล่ม ก่อนย้ายข้ามฟากลอนดอนไปที่ ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ ในปี 2012 ด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์
6. เดวิด เบนท์ลีย์ (อาร์เซนอลl ไป แบล็คเบิร์น, 2006)
อาชีพค้าแข้งของเขาไม่ได้ยาวนานอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อต้องแขวนสตั๊ดไปด้วยวัยเพียงแค่ 29 ปีเท่านั้น แต่นั่นก็ไม่สามารถบั่นทอนความเก่งกาจของ เบนท์ลีย์ ไปได้ทั้งหมด กับช่วงเวลาหนึ่้งที่ถูกยกย่องว่าอาจจะก้าวขึ้นมาเป็นทายาทสิงโตคำรามของสุดหล่อเจ้าพ่อลูกนิ่งอย่าง เดวิด เบ็คแฮม
เมื่อไม่ได้ลงเล่นมากนักกับอาร์เซนอล เขาถูกยืมตัวไปที่แบล็คเบิร์นในปี 2005 หลังจากเริ่มต้นได้ดีในถิ่นอีวู้ด ปาร์ค ให้กุนซือมาร์ค ฮิวจ์ส ได้ประทับใจ กุหลาบไฟไม่รอช้าซื้อขาดทันทีในเดือนมกราคม 2006 ด้วยเงินประมาณ 1 ล้านปอนด์ หลังจากนั้น 2 วัน เบนท์ลีย์ ระเบิดแฮตทริกพาทีมโค่น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 4-3 ได้อย่างสุดประทับใจ
เขามีเท้าขวาที่จ่ายบอลได้อย่างแม่นยำ ครอสบอลเข้าเขตโทษได้อันตรายอยู่เสมอ แต่โชคไม่ดีสำหรับเขาเมื่อกราฟชีวิตค้าแข้งต้องดิ่งลงหลังจากที่ย้ายไปไวท์ ฮาร์ท เลน ในปี 2008 ด้วยค่าตัว 15 ล้านปอนด์ ก่อนประกาศเลิกเล่นในช่วงซีซั่น 2013/14 หลังไม่มีทีมไหนสนใจเซ็นสัญญา ผันตัวไปเปิดร้านอาหารที่ประเทษสเปน
7. ยาคูบู (มัคคาบี้ ไฮฟา ไป ปอร์ทสมัธ, 2003)
ปอมปีย์ กำลังอยู่ในเส้นทางที่ดีในการเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกในเดือนมกราคม 2003 และแม้ทีมจะมีกองหน้าชั้นดีอยู่แล้วอย่าง สเวโทสลาฟ โทโดรอฟ แต่บิ๊กบอสแฮร์รี่ เรดแนปป์ ก็ไม่สามารถละเลยโอกาสงามในการคว้าตัว ยาคูบู ที่ยิงประตูได้อย่างสม่ำเสมอกับ มัคคาบี้ ไฮฟา ในอิสราเอล และมีสโมสรใหญ่ของยุโรปหลายทีมจับตามองกองหน้าไนจีเรียนที่เล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และกดแฮตทริกได้ในเกมกับ โอลิมเปียกอส
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่น่าเซอร์ไพรส์อย่างมาก เมื่อเขาถูกยืมตัวมาที่ ปอร์ทสมัธ และทำประตูได้ภายในเวลาแค่ 4 นาทีจากการลงสนามเป็นตัวจริงครั้งแรกในเกมกับ กริมสบี้ หลังจากนั้น ยาคูบู ยิง 7 ประตูจากการลงเล่น 14 นัด ก่อนเซ็นสัญญาถาวรกับทีมในช่วงซัมเมอร์ 2003 และในอีก 9 ปีต่อมา "ยาค" ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกทีไม่ได้สังกัดทีมยักษ์ใหญ่ท็อปโฟร์
8. พอล ชาร์เนอร์ (บรานน์ เบอร์เก้น ไป วีแกน, 2006)
ดาวเตะชาวออสเตรียเกือบจะได้ย้ายไปที่ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ แต่สุดท้ายติดปัญหาเรื่องค่าตัวที่ตกลงกันไม่ได้ เดฟ วีแลน ท่านประธานของ วีแกน พร้อมจ่าย 2.5 ล้านปอนด์ให้กับทีมจากนอร์เวย์ ชาร์เนอร์ กลมกลืนไปกับฟุตบอลอังกฤษได้อย่างฉับไว เพียงแค่ประเดิมสนามนัดแรกก็ซัดประตูชัยให้ เดอะ ลาติกส์ เอาชนะ อาร์เซนอล 1-0 ในเกมถ้วยลีก คัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก
เขาใช้เวลา 6 ปีในเมืองผู้ดี และกลายเป็นฮีโร่ให้กับทั้ง วีแกน และ เวสต์บรอมวิช สร้างชื่อให้ตัวเองว่าเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ เล่นได้แทบทุถตำแหน่งในสนาม ก่อนสุดท้ายจะรีเทิร์นกลับมาที่ถิ่นเก่าอีกครั้ง พร้อมทั้งพา วีแกน แอธเลติก คว้าแชมป์เอฟเอ คัพ ในปี 2013 ด้วยการเอาชนะ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในนัดชิงชนะเลิศได้อย่างสุดน่าทึ่ง
9. เบน มี (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไป เบิร์นลี่ย์, 2012)
ช่วงเวลาของ เอ็ดดี้ ฮาว กุนซือหนุ่มอนาคตไกลกับ เบิร์นลี่ย์ ไม่ได้เป็นที่น่าจดจำเหมือนตอนที่เขาคุมทีมแดนใต้อย่าง บอร์นมัธ แต่อย่างน้อยเขาก็มีการเซ็นสัญญาที่ยอดเยี่ยมในถิ่นเทิร์ฟ มัวร์เมื่อเดือนมกราคม 2012 ด้วยสองกองหลังดาวรุ่งฝีเท้าจัดจ้านจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้
คีแรน ทริปเปียร์ และ เบน มี ถูกยืมตัวมาที่ เบิร์นลี่ย์ ก่อนได้รับสัญญาระยะยาวหลังจากนั้น ในขณะที่ ทริปเปียร์ ได้ย้ายต่อไปที่ ท็อตแน่ม ฮอต สเปอร์ จนถึงขั้นติดทีมชาติอังกฤษไปสร้างชื่อในฟุตบอลโลกปี 2018 ส่วนทาง เบน มี ยังคงปักหลักอยู่กับ เบิร์นลี่ย์ ต่อไป และต่อไป
เขาเป็นหัวใจสำคัญของทีมชุดที่ได้เลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก 2 ครั้ง เป็นคีย์แมนในแนวรับของเดอะ คลาเร็ตส์ ในยุคของกุนซือฌอน ไดซ์ มาอย่างยาวนานจนถึงปัจจุบันนี้ในฐานะกัปตันทีมวัย 32 ปี
10. ไนเจล รีโอ-โคเกอร์ (วิมเบิลดัน ไป เวสต์แฮม, 2004)
ตอนที่ โทนี่ อดัมส์ ได้รับการแต่งตั้งเข้าคุมทีม กรานาด้า ครั้งแรก และเขาได้เรียก คีแรน ริชาร์ดสัน และ ไนเจล รีโอ-โคเกอร์ มาร่วมทดสอบฝีเท้า หลายเสียงบอกว่ามันเป็นเรื่องน่าตลกสิ้นดี แต่สำหรับนักเตะทั้งสองคนแล้วมันคือเรื่องซีเรียสมากกว่า
รีโอ-โคเกอร์ เป็นกองกลางสไตลบ็อกซ์ทูบ็อกซ์ บุกทะลวงอย่างเมามันที่ วิมเบิลดัน จนถึงช่วงเดือนมกราคม 2004 เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ใช้ประโยชน์จากสภาพทางการเงินที่สั่นคลอนของทีมจอมโหด เซ็นสัญญาคว้าตัวแข้งทีมชาติอังกฤษรุ่นอายุต่ำกว่า 21 ปี ด้วยราคาค่าตัวที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
กุนซืออลัน พาร์ดิว แต่งตั้งให้เขาเป็นกัปตันทีมชุนค้อนแม้ว่าอายุยังน้อยแค่ 22 ปีเท่านั้น เพื่อกันท่า แมนเขสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่กำลังสนใจอยากได้ตัว เขาพาทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก และเข้าชิงเอฟเอ คัพในปี 2006 รีโอ-โคเกอร์อยู่ที่ลอนดอน 3 ปีก่ อนย้ายไป แอสตัน วิลล่า ด้วยค่าตัว 8.5 ล้านปอนด์เมื่อปี 2007
แก้ไขล่าสุดโดย C_Phoenix เมื่อ Tue Jan 18, 2022 12:53, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
: 0 ใบ
: 0 ใบ
My Locker
