เกริ่นก่อน ผมกับแฟนคบกันมา 7 ปี (ตั้งแต่สมัยเรียน) ตั้งแต่สมัยคบกันก็อยู่บ้านผมมาตลอด

เพราะว่าผมอยู่บ้านคนเดียวพ่อแม่อยู่ตจว. พี่มีบ้านของตัวเอง ทีนี้หลังจากเรียนจบ เราก็มาทำธุรกิจด้วยกัน (ค้าขาย)

ช่วงปีที่ผ่านมานี้ก็มีคุยเรื่องจะแต่งงาน แล้วอยู่ด้วยกันอย่างจริงจัง ทีนี้ แฟนผมอยากจะอยู่กับพ่อแม่ เพราะแก่แล้ว

ซึ่งพ่อแม่เธอมีบ้านอยู่แล้ว และให้เงินมารีโนเวทก้อนหนึ่ง แต่จรกที่คิดกันคือเงินดังกล่าวไม่น่าพอ

เลยเกิดปัญหาว่า เธอบอกให้ผมช่วยจ่ายค่าทำบ้านของเธอ เพราะเธอบอกว่ายังไงมันก็คือบ้านของเราในอนาคต

แต่ในมุมผมกำลังคิดว่า ใจนึงก็อยากจ่ายแต่อีกใจคือ มันเป็นบ้านของเธอ พ่อแม่เธอก็อยู่ อนาคตก็ชื่อเธอ

และพ่อแม่ผมจะมาอยู่ก็ไม่ได้เพราะมันดูน่าเกลียดไม่ใช่บ้านผมเอง

ผมเลยคิดว่าผมควรจ่ายไหม หรือว่า ยังไงดีช่วยคิดทีครับ (ประมาณ 3-5 แสนบาท)

เพราะยอดดังกล่าวบอกตามตรงเงินเก็บผมไม่น่าพอ ถึงพอเงินแต่งงานหรือที่จะเก็บไว้ใช้ก็คงไม่คล่องหากฉุกเฉิน

เลยทำให้ยังคิดไม่ตกว่ายังไงดีครับ

เรื่องนี้ละเอียดอ่อนจริงๆ
ถ้าช่วย เงินแต่งก็จะลำบาก

ลองเสนอว่า ค่อยๆ ปรับปรุงไปทีละนิดได้ไหม

ต้องแบ่งเงินไว้เผื่อแต่งงานและฉุกเฉินด้วย

ท่านคบกันมานาน เรื่องนี้ผมว่าน่าจะพอคุยกันได้ครับ

ไม่ได้จะยุให้เลิกนะครับ แต่แค่อยากบอกว่าเรื่องพวกนี้แหละที่ทำให้คนคบกันนานๆต้องเลิกกัน

เรื่องเงิน เรื่องบ้านก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องอนาคต อยากให้ค่อยๆคิดนะครับ
คือถ้าลงเงินไปแล้ว คุณก็ต้องมั่นใจแล้วนะว่าอยู่ด้วยกันได้ มันเป็นการแต่งเข้าบ้านเขาแล้วละ

ปัญหามันก็เรื่องเดิมๆของคนแต่งเขาบ้าน ไม่ว่าคุณจะลงอะไรไปเท่าไหร่ สุดท้ายตอนออก มันก็ไม่ใช่ของคุณอยู่ดี

ไม่นะ อย่างบ้านผมก็ซื้อหลังที่ติดกับพ่อแม่ได้อยู่ใกล้ๆท่าน เห็นหน้ากันทุกวัน แต่เวลาซ่อมบ้าน รีโนเวท แกไม่เคยให้ผมช่วยออกสักบาท แกบอกบ้านนี้ถือเป็นบ้านแก แกรับผิดชอบเอง ทั้งๆที่ตอนนี้ผมกับแฟนก็อยู่หลังเดียวกับพ่อแม่เนี่ยแหละขี้เกียจย้าย บ้านที่ซื้อไว้ก็แค่เอาไว้ทำงานแค่นั้น

ส่วนเรื่องอนาคต แม่ก็บอกไว้แล้วว่ายังไงบ้านก็ตกเป็นของผมกะน้อง ก็ไม่เห็นต้องไปรับผิดชอบอะไร

ถ้าท่านหวังบ้านหลังนี้ในอนาคตจะช่วยก็ไม่แปลก แต่ถ้าไม่ได้คาดหวังต้องการอยู่แล้วการจะไม่ช่วยก็ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียด เพราะท่านไม่ได้ต้องการ

ผมว่าต้องนั่งคุยกันจริงจังแหละครับ ว่าถ้าท่านเอาเงินเก็บออกมาใช้ ท่านกังวลอะไรก็ว่าไป หรือให้พ้นงานแต่งก่อน แล้วค่อยดูเงินอีกทีก็ได้ ว่าสามารถรีโนเวทส่วนไหนได้บ้าง ค่อยๆทำทีละน้อยก็ได้

ถ้าคิดจะแต่งงานกัน ครอบครัวแฟนก็คือครอบครัวเรา ต้องดูแลกันไป แต่ติดปัญหาตรงท่านจ่ายไม่ไหวใช่ป่าวคับ ตรงนี้อาจจะต้องคุยกันว่าไหวแค่ไหน

คุยกัน รีโนเวทเฉพาะจุดก่อนครับ

ยังไงก็ต้องมีเงินเก็บไว้ยามฉุกเฉินครับ

ถ้ามีแพลนจะแต่งงานแน่นอน ถ้าเรื่องสินสอดพร้อมแล้ว ถ้าผู้ใหญ่รับทราบกันแล้ว มีแผนย้ายเข้าบ้านเขา
ผมยอมครับ เราย้ายไปใช้ชีวิตอยู่บ้านเค้า บ้านไม่ไปไหนหรอกฮะ ถ้าพ่อแม่เขาตาย
เรามีลูก ก็เป็นของลูกเรา

นึกถึงข่าวนี้เลย

https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_1567904

ขายมรดกตัวเอง มาสร้างในที่ดินของเมีย ชื่อเมีย เค้าไม่มีชื่อในนี้ สุดท้ายโดนหักหลัง ตัวเองไม่เหลือทรัพย์สินอะไรเลย

ผมไม่ได้บอกว่าแฟนท่านจะทำนะ แต่ข่าวนี้มันสอนผมเยอะมาก เป็นอุทาหรณ์สอนใจอย่างยิ่ง ผมจำขึ้นใจเลย เป็นแนวทางปฏิบัติในอนาคต หาทางป้องกันในส่วนของเราถ้าต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ แนะนำแต่งงานให้เรียบร้อย เอาชื่อท่านเข้าไปถือร่วมกับที่ดินส่วนนั้น แล้วก็ลงเงินอะไรก็ว่าไปครับ

สำหรับผม ผมคิดว่าน่าจะแชร์รายรับรายจ่ายเงินเก็บให้แฟนนะครับ ถ้าจะใช้ชีวิตร่วมกันสิ่งที่สำคัญคือการทำความเข้าใจกันครับ เพราะความเข้าใจผิดมันเกิดขึ้นง่าย ยิ่งเป็นเรื่องของครอบครัว

บอกเลยว่า ย้ายเข้าไม่สนุกแน่นอนครับ

ผมแต่งย้ายออกมาอยู่ด้วยกัน 2 คน หลายๆครั้งยังต้องทะเลาะกันเพราะเรื่องทางบ้านเลย เหมือนความต้องการไม่ตรงกัน บอกตรงๆว่าถ้าอยู่ 2 คนไม่มีทางทะเลาะกันเลย

แนะนำว่าลองย้ายมาอยู่ด้วยกันก่อน ทดลองก่อนเถอะ ถ้าไม่ไหวแต่งออกสถานเดียว

งานแต่งงานจะรู้เลยว่าสิ้นเปลืองมาก เก็บเงินไว้ซื้อบ้านเถอะ

เราไม่เคยอยู่กับเค้า เราปรับตัวไม่ง่ายเลย

เคยได้ยินเรื่องแบบแม่ผัวลูกสะใภ้มั้ยล่ะ เหมือนกันเลย 5555

ผมว่าคำตอบจริงๆ คือ ท่านมองอนาคตของท่านกับแฟนท่านยังไงมากกว่า

ถ้าท่านและแฟน มั่นใจในการใช้ชีวิตร่วมกัน เรื่องพวกนี้จะมีทางออกเสมอ เราจะไม่คิดเล็กคิดน้อยอะไรแบบนี้เลย

อย่างผมกับแฟน มีครอบครัวด้วยกัน มั่นใจว่าเดินไปด้วยกันได้ดี ทุกวันนี้ ก็มีการลงทุนตามพื้นที่ของแต่ละครอบครัวไปไม่น้อยเหมือนกัน

อย่างที่ที่ชุมพรข้างบ้านแฟน ผมก็ร่วมจ่ายกับแฟนนะ ถึงจะเป็นชื่อแฟนก็เถอะ ส่วนแฟนมาอยู่บ้านผม อะไรที่รีโนเวทได้ หรือ ต้องใช้จ่ายเขาก็เต็มที่เสมอ

และล่าสุด ตั้งแต่เรามีลูกแฝด เราก็เริ่มมองหาช่องทางที่จะขยายสร้างบ้านใหม่ หรือ ย้ายถิ่นฐานเพื่ออนาคตลูกเหมือนกัน

แต่ถามว่าเราประเมินการป้องกันเรื่องการเงินไว้บ้างไหม มันก็มีครับ แต่เราก็เฉลี่ยๆเอา ไม่ให้ใครคนนึงถือทรัพย์สินไว้คนเดียว หรือ หนี้่สินไว้คนเดียว มากเกินไป

ผมว่าการเปิดใจคุยสำคัญครับ และ ที่สำคัญสุด เปิดใจกับตัวเองก่อนครับ ว่าพร้อมจะมีครอบครัวกับผู้หญิงคนนี้หรือยัง

ถ้ายังผมว่าก็ไม่ควรไปเสี่ยงครับ

คนสองคน

ต้องคุยกันให้เข้าใจกัน

ต่างคนต่างเสียสละเพื่อกันและกัน ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งให้อย่างเดียว ฝ่ายหนึ่งรับอย่างเดียว

คำถามสำหรับผมนะ เงินที่เค้าให้มาเท่าไหร่ เงินที่ท่านต้องออกเท่าไหร่ ถ้าท่านออกเยอะกว่ามันก็น่าคิด อีกอย่างต้องรีโนเวทเยอะขนาดนั้นเลยเหรอครับ ผมว่าอยู่กันไปก็ค่อยๆทำเพิ่มก็ได้ เพราะอนาคตมันก็ไม่แน่นอนไรสักอย่าง การมีเงินติดกระเป๋า ติดบัญชีในยุคนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่านะ

มันต้องคิดถึงปัญหาที่จะตามมาด้วย what if

ปวดหัวเลยครับ ตอนผมจะแต่งผมก็มาตั้งมู้แนวนี้

ต่อเติม 3-4 แสน เหมือนทำทั้งบ้านเลย ทำอะไรมั่งครับ มันจำเป็นต้องทำตอนนี้เลยไหม

ผมมองว่าพ่อตาแม่ยาย หวังท่านเกินป่ะ เรื่องนี้เราต้องพูดตรงๆกับแฟนเราครับ ว่ามีเงินเท่านี้ ส่วนี้จะเก็บไว้สินสอดงู้นงี้ ถ้าเอามาทำบ้าน ตรงนั้นไม่มีแล้วนะ จดทะเบียนสมรสอย่างเดียวไหมล่ะ การแต่งงานนี่เหมือนการดิลธุรกิจเลยผมมองงี้