ของผมค่าจัดงานเช้าเที่ยงรวมทุกอย่างยกเว้นสินสอดประมาณ 4 แสน แขกประมาณ 200 คนแต่ไม่ได้จัดโรงแรมนะครับ เป็นร้านอาหาร
ส่วนสินสอด 4 แสน + ทองอีกเซตนึง โชคดีมากที่พ่อแม่ภรรยาผมคืนทั้งหมดให้
ค่าจัดต่างๆผมกับแฟนหารกันคนละครึ่ง ใช้เวลาเกือบ 2 ปีเก็บครับ พอเงินเดือนเข้าบัญชีปุ๊บโอนเข้าบัญชีร่วมทันที บัญชีนี้จะเอามาใช้สำหนับจัดงานแต่งงานเท่านั้น
ส่วนค่าสินสอดทองหมั้น ผมขอยืมที่บ้านมาก่อน

ของผมสินสอด คุยกันตั้งแรกเลยว่าเอามาวางเฉยๆ ที่เงินสด 5 แสน ทอง 9 บาท (ยืมแม่มาวาง 4 บาท)
แม่เจ้าสาวคืนให้หลังจบงานเลี้ยงทั้งหมด

ก็เลยขยายงานได้จากตอนแรกอยากเป็นคอกเทล แต่ผมเป็นลูกคนเดียว เจ้าสาวเป็นลูกคนโต รวมกับพ่อแม่ผมเพื่อนเยอะเพราะเป็นครู รวมถึงเพื่อนเค้าก็เห็นผมมาตั้งแต่เล็ก เลยตัดใจจัดโต๊ะจีนไป ประมาณ เกือบ 4 แสน

รวมค่าอื่นๆ จิปาถะก็ แตะ 5 แสน

พอจบงานก็แอบเสียดายที่จัดโต๊ะจีนอยู่นิด แต่เราเห็นพ่อแม่เรามีความสุขแบบที่เราไม่ได้ลำบากมากแบบกู้เงินมาจัด ย้อนเวลากลับได้ก็จะจัดแบบเดิมครับ

สุดท้ายอยู่ที่เราสบายใจครับ แต่ก็อย่าให้ถึงกับกู้หนี้ยืมสินเลย

ยินดีด้วยครับ

ของผมแฟนกับผมทำงานด้วยกันช่วยกันเก็บกองกลางไว้แล้วก็เอามาจัด ส่วนสินสอดพ่อแม่แฟนก็คืน เลยสบายหน่อย

งานแต่งที่ดีควรไม่เป็นหนี้/เงินเก็บทั้งชีวิตหมด ครับ การเริ่มต้นอะไรสักอย่างมีต้นทุน ชีวิตคู่ก้อเช่นกัน

ของผมตอนแรกจะจัด นั่ง list รายการ รายชื่อแขก อาหาร นั่งบวกลบค่าใช้จ่ายแล้วมองหน้ากัน สรุป ไม่จัดดีกว่าเก็บเงินไว้เป็นค่าเทอมลูกเถอะ ซึ่งโคตรโชคดีที่ผู้ใหญ่ 2 บ้านเค้าไม่มีปัญหา แค่มีการมาจดทะเบียนที่บ้านแค่นั้นเลย

ผมเคยคุยเรื่องนี้กับแฟนเก่านะครับ ตอนไปงานแต่งเพื่อนสมัยมหาลัย

เธอตอบกลับมาว่า "เฉพาะสินสอด ขั้นต่ำหนึ่งล้านบาท ไม่ร่วมจัดงาน"

ผมจึงเปลี่ยนความคิดเรื่องแต่งงาน นับตั้งแต่วันนั้น หากต้องดิ้นรนขนาดนั้น

ต้องดูว่า คุณแต่งงานเพื่ออะไรครับ สำหรับผม เอาเงินไปลงทุนให้มันงอกมาดีกว่า

สภาวะแบบนี้ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม คือทุกอย่างติดลบลงเหวสุดๆ
การจัดงาน 1 ล้านบาท ถ้าเป็นแค่ชาวบ้านๆ ผมว่าเกินตัวไปมากครับ

ผมฟังเพื่อนผมบ่นแล้วผมก็หนักใจแทนมันเหมือนกัน

แฟนมันเป็นผู้ชายอินเดีย มันเล่าให้ฟังว่าบ้านเขาคือผู้หญิงต้องมาขอผู้ชาย

แต่บ้านผู้ชายเขาไม่เอาซักบาท ก็คิดว่าดีละสบาย

แม่เพื่อนผมเสือกจะไปเอาเงินเขาอีก

พอทางนั้นรู้ เขาก็ไม่ยอมละมึงเอากุก็เอาอะ

ลำบากลูกสองคนอีก

ยังไม่ทันแต่ง จะต้องขายทรัพย์สินมาแต่งแล้วหรอ

ผมจัดงานแต่งโรงแรม 5 ดาวเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เลี่้ยงโต๊ะจีน 40 โต๊ะ หักค่าใช้จ่ายกับเงินใส่ซองช่วยจากทุกทางแล้ว ติดลบไปไม่กี่หมื่นบาทครับ เพราะบ้านแฟนผมไม่เอาเงินไม่เอาทองอะไรทั้งนั้น ใส่เป็นสินสอดเท่าไหร่ก็คืนมาให้หมด แต่ต้องให้ลูกสาวเค้าไปคุยกันมาให้รู้เรื่องก่อนนะครับ 555

ผมออกตัวก่อนเลยว่า สินสอดไม่ให้นะ เพราะยังไงในอนาคตเราไม่ได้ทิ้งพ่อแม่อยู่แล้วยังไงก็ต้องเลี้ยงดูเค้า ก็เอาก้อนนี้แหละมาเก็บไว้ หรือ ต่อยอดไปทำอย่างอื่น ส่วนงานเลี้ยงผมคิดว่าจะเต็มที่กับญาติทั้งสองฝ่าย อยากกินดีกินเลย ผมถือว่าตอบแทนเค้าทั้งสองฝ่าย แล้วไม่ได้หวังเงินได้คืนจากซองด้วย

ปล.สุดท้ายพอมีงานผมว่าซองที่เค้าใส่ๆมาให้ก็ ถัวๆกันไปนี่แหละคับ แต่แนะนำอย่าถึงขั้นขายทรัพย์สินเผื่อจะแต่งงานขนาดนั้นคับ เสียดายแทนสู้โอนเป็นชื่อว่าที่ภรรยาไป ยังจะดีกว่าขายนะผมว่า

สินสอด 600K ค่าจัดงานประมาณ 300K งานทำบุญเช้าและงานเลี้ยงตอนเย็นโดยค่าจัดงานผมใช้เงินจากซองที่เค้ามาช่วยงานจ่าย ไม่รู้จะเรียกโชคดีได้มั้ยที่เงินช่วยงานได้มาเยอะเพราะตอนไปช่วยงานคนอื่นก็ใส่ไปเยอะไว้เหมือนกัน ส่วนเงินที่เหลือก็เก็บไว้

สินสอดผมไม่ได้รับคืนมา เพราะช่วยกันเก็บเงินมาแต่งทั้ง 2 คน กับภรรยาหลายปีอยู่เหมือนกัน

ถ้าถึงขนาดต้องกู้หนี้ยืมสิน ก็อย่าเพิ่งเลยครับ
ไม่เป็นมงคลชีวิตเลย กับการเริ่มต้นชีวิตคู่จากการติดลบ