ซุปตาร์โอลิมปิก
Status: word not enough to talk about football

: 0 ใบ

: 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 Jun 2010
ตอบ: 18794
ที่อยู่: Urban Forest
โพสเมื่อ: Wed Sep 08, 2021 13:54
จอร์จ เบสต์ อัจฉริยะผู้อ่อนไหว
บทความนี้ผมก็อปมาจากเพจวิเคราะห์บอลจริงจังนะครับ
Maradona - Good
Pele - Better
George - Best
นี่คือมุกที่ฝรั่งใช้สรรเสริญ จอร์จ เบสต์ นักเตะผู้ที่ครั้งหนึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของโลก เขาได้ทั้งแชมป์ลีก แชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ และบัลลงดอร์ พร้อมทั้งลีลาการลากเลื้อยที่ไม่มีใครเหมือน มันทั้งแข็งแกร่ง เร็ว สวยงาม และมีประสิทธิภาพมาก
เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเคยบอกว่า ในโลกนี้ไม่มีใครแทนเบสต์ได้ ต่อให้ไรอัน กิ๊กส์เก่งแค่ไหน ก็ยังเทียบเคียงกับเบสต์ไม่ได้ เขาคือความมหัศจรรย์ที่เหนือจินตนาการทั้งปวง
เรื่องความสามารถไม่มีใครโต้เถียง ถ้าเบสต์ไม่เก่งจริง คงไม่มีใครกล้ายกเขาไปเทียบกับเปเล่ และมาราโดน่าแน่ๆ แต่ปัญหาที่ทำให้ช่วงเวลาแห่งความสุดยอดของเบสต์จบลงเร็วกว่าที่ควรจะเป็น นั่นคือพฤติกรรมนอกสนาม
เบสต์เป็นพวกแพ้ใจตัวเอง จิตใจอ่อนไหวมากเกินไป เวลาอะไรไม่ได้ดั่งใจเขาจะหันหน้าเข้าบาร์ ไปดื่มเหล้าให้เมา ซึ่งจากพิษของสุรานี่ล่ะ ทำให้ชีวิตเขาพังพินาศแบบที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดกับนักเตะระดับโลกได้เลย
เบสต์ อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มา 11 ปี แต่สุดท้ายมาโดนขับไล่ออกจากสโมสร ในวันที่ 4 มกราคม 1974 โดย ณ วันนั้น ทีมปีศาจแดงมีโปรแกรมลงแข่งเอฟเอคัพ กับพลีมัธ อาร์ไกล์ ซึ่งจริงๆ เบสต์ต้องออกสตาร์ตเป็นตัวจริง แต่จน 10 นาทีสุดท้ายก่อนแข่งนั่นแหละ เบสต์จึงมาถึงสนาม ด้วยอาการเมาค้าง จุดนั้นเอง ทำให้สโมสรตัดสินใจแตกหัก แยกทางกับเบสต์ทันที เพราะมันชัดเจนว่าคุณไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของตัวเองเลย
จากนักเตะที่ควรจะได้รับเทสติโมเนียล แมตช์ อย่างยิ่งใหญ่ และลงเล่นกับสโมสรเดียวจนเลิก ชีวิตของเขาต้องพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ และจุดเริ่มต้นของ "ขาลง" ในชีวิตของเบสต์ ก็เริ่มจากจุดนี้เป็นต้นไป
------------------------
นี่คือพาร์ทจบ EP.8 ของ ซีรีส์จอร์จ เบสต์ จริงๆแล้ว ผมเขียนลง Manchester is Red ไปแล้ว คนที่ซื้อหนังสือคงได้อ่านกันไปแล้ว แต่มีลูกเพจทักมาว่า ผมก็ควรเอาลงในเพจด้วย เพื่อคนที่ไม่ได้ซื้อ ซึ่งก็จริงนะ ดังนั้นผมจึงขอเอามาลงไว้ ณ โพสต์นี้นะครับ
------------------------
วันที่จอร์จ เบสต์ โดนขับไล่ออกจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขามีอายุแค่ 28 ปีเท่านั้น ว่ากันแฟร์ๆ อายุยังถือว่าน้อยมาก และสามารถลงเล่นฟุตบอลอาชีพได้อีกหลายปี
แต่ประเด็นคือ คนอย่างเบสต์ที่อยู่ในจุดสูงสุดของโลกมาแล้ว ไม่เหลือแรงจูงใจใดๆ ให้เล่นฟุตบอลอย่างจริงจังอีก เขายังหนุ่มยังแน่น สู้ใช้เวลาชีวิตที่เหลือสนุกสนานให้เต็มที่ดีกว่า
เรื่องดื่มเหล้า เบสต์เมาหัวราน้ำเหมือนเดิม มันถือวิถีชีวิตของเขาไปแล้ว นอกจากนี้เบสต์ยังมีกิจกรรมใหม่เพิ่มเข้ามาอีก นั่นคือการเข้าบ่อนเล่นคาสิโน กิจวัตรของเบสต์ตอนนั้น เขาจะตื่นราว 4 โมงเย็น เพื่อไปดื่มเหล้ากับเพื่อนสนิท จากนั้น 4 ทุ่มจะย้ายไปที่ไนท์คลับสแล็คอลิซ ที่เขาเป็นเจ้าของ อยู่ดูแลร้านจนปิดเวลาตี 2
จากนั้น ถ้าไม่ไปคั่วหญิง ก็เข้าบ่อนคาสิโนเล่นไพ่ยันเช้า จากนั้นกลับบ้านนอน แล้วตื่นอีกที 4 โมงเย็น มันเป็นวัฏจักรชีวิตที่ไม่มีฟุตบอลมาเกี่ยวข้องเลย
ไนท์คลับสแล็คอลิซ ถือว่าป็อปปูลาร์ไม่เบา เป็นร้านที่คนดังในเมืองชอบไปรวมตัวกัน แต่รายได้ทั้งหลายของเบสต์ ก็ถูกละลายไปกับการเข้าบ่อนการพนัน ส่งผลเบสต์ต้องหาเงินมาหมุนจนเหนื่อย และวิธีหารายได้เพิ่มที่เขามั่นใจว่าทำได้ดีที่สุด คือการเตะฟุตบอล โดยชื่อเสียงของเบสต์ ยังสามารถขายได้สบายๆ ใครๆ ก็อยากเห็นเขาเล่นฟุตบอลทั้งนั้น
ทีมแรกที่ไม่ใช่แมนฯ ยูไนเต็ด ที่เบสต์ลงเล่น คือสโมสรจิววิช กิลด์ ในแอฟริกาใต้ โดยจิววิช กิลด์ เสนอเงิน 11,000 ปอนด์ พร้อมโรงแรมหรู 5 ดาว ทุกอย่างฟรีหมด ขอเพียงแค่เบสต์มาลงเล่นเพียง 8 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งเบสต์ตอบตกลงทันที
แน่นอนว่าช่วงเวลาที่อยู่แอฟริกาใต้ เขาไปปาร์ตี้ทุกคืน ส่วนฟุตบอลก็เล่นแบบสบายๆ ระดับฟุตบอลของที่นั่นไม่ได้สูงมากอยู่แล้ว เหมือนเป็นบอลโชว์ตัวซะมากกว่า
จากแอฟริกาใต้ เบสต์กลับมาที่อังกฤษอีกครั้ง ก่อนจะเดินสายเตะบอลกับทีมต่างๆ ตั้งแต่ดันส์เทเบิ้ล ทาวน์ ทีมนอกลีก, สต็อกพอร์ท เคาน์ตี้ ในดิวิชั่น 4 และ คอร์ก เซลติค ในลีกไอร์แลนด์ โดยรับค่าจ้างนัดละ 300 ปอนด์บ้าง 600 ปอนด์บ้าง อะไรที่ได้เงินเขาทำหมด คือสโมสรต่างๆ จ้างเบสต์ยังไงก็คุ้ม เพราะคนดูจะแห่เข้ามาดูเบสต์แบบมืดฟ้ามัวดินเสมอ
ปี 1976 เบสต์กลับมาเล่นฟุตบอลอย่างจริงจังอีกครั้ง โดยย้ายไปอยู่ทีมลอสแองเจลิส อัซเท็คส์ ใน NASL หรือลีกฟุตบอลอาชีพสหรัฐฯ ด้วยความที่ฟุตบอลในอเมริกามีระดับฝีเท้าอยู่ในเกรดสมัครเล่นเท่านั้น ทำให้แม้เบสต์จะมีน้ำหนักมากขึ้น และความฟิตน้อยลง ก็ยังเล่นได้เหนือชั้นกว่าคนอื่นอยู่ดี เขาลงสนามไป 23 นัด ซัดไป 15 ลูก หลายๆเกม ใช้ทักษะการเลี้ยง กระชากแนวรับคู่แข่งกระจุย เบสต์ก็คือเบสต์ เขาเรียกเสียงฮือฮาได้เสมอ
ที่ลอสแองเจลิสนี่เอง เขามีโอกาสได้เจอผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ แองเจล่า แมคโดนัลด์-เจนส์ นางแบบสาวชาวอังกฤษ ที่ไปใช้ชีวิตที่อเมริกา ด้วยความที่เธอหุ่นดี หน้าสวย มีผมสีทอง ตรงสเป็คของเบสต์ทุกอย่าง ทำให้เขาเริ่มจีบ และกลายเป็นแฟนกันในที่สุด โดยตลอดชีวิตของเบสต์ที่คั่วสาวไม่ซ้ำหน้า เขาจริงจังกับแองเจล่ามากที่สุดแล้ว
ในภาพรวมชีวิตของเบสต์เหมือนจะดีขึ้น ฟุตบอลก็เล่นได้ดี มีคนชื่นชมมากมาย แถมยังมีแฟนสาวเป็นตัวเป็นตนอีกต่างหาก ในที่สุดจอมสำมะเลเทเมาก็น่าจะมีชีวิตเป็นฝั่งเป็นฝาเสียที
ตอนนั้นเบสต์เดินสาย รับงานควบสองจ๊อบ เขาเตะบอลกับทีมอัซเท็คส์ แต่ก็ไปเซ็นสัญญากับฟูแล่ม สโมสรในดิวิชั่น 2 ของอังกฤษด้วย เพราะบอลลีกอังกฤษ กับสหรัฐฯ จะเตะคนละช่วงเวลากัน แล้วในตอนนั้น ฟีฟ่ายังไม่มีกฎว่านักเตะห้ามเล่นพร้อมกันหลายทีม ทำให้เบสต์สามารถโกยเงินได้จาก 2 สโมสรพร้อมๆกัน
แต่ปัญหาชีวิตที่เบสต์เอาชนะมันไม่ได้เสียที คือโรคติดเหล้า เขาอดไม่ได้ที่จะดื่มมัน แม้รู้ว่ามันจะทำให้ชีวิตของเขาดิ่งเหวก็ตามที ในปี 1977 เขาเมาหนัก จนขับรถไปชนเสาไฟฟ้า เบสต์หัวทะลุพุ่งออกมานอกกระจก จนต้องเย็บแผลถึง 57 เข็ม แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเข็ดหลาบแต่อย่างใด
เซอร์เอริค มิลเลอร์ ประธานสโมสรฟูแล่ม ได้ออกมาเตือนเบสต์ว่าถ้าปล่อยไว้แบบนี้ ชีวิตเขาจะพังทลายแน่ และสโมสรอาจไม่ต่อสัญญาอีก ปรากฏว่าเบสต์ได้ชวนประธานมิลเลอร์ มาดื่มเหล้าด้วยกันเพื่อเคลียร์ปัญหาใจ สุดท้ายประธานมิลเลอร์กลายเป็นก๊วนกินเหล้าของเบสต์ไปอีกคนซะอย่างนั้น
เบสต์เมาไร้สติบ่อยครั้ง จนเป็นที่เวทนาของผู้พบเห็น บางครั้งเขานอนอยู่หน้าบันไดบ้านของแองเจล่า จนไม่เหลือสภาพของสตาร์ดัง บางครั้งเขาก็จำวันเวลาไม่ได้ นี่คือโรคพิษสุราเรื้อรังที่ชัดเจนมาก
สุดท้ายแองเจล่าขอเลิก เธอทนไม่ไหวอีกแล้ว ที่มีแฟนขี้เมาแบบนี้ ก่อนตัดสินใจไปคบกับริกกี้ มาร์ติน ลูกชายของดีน มาร์ติน นักร้องชื่อดังชาวสหรัฐฯ ที่ดูจะเป็นคนดีกว่า และน่าจะทำให้ชีวิตของเธอมีความสุขมากกว่าเบสต์
มกราคม 1978 เบสต์เห็นรูปในหนังสือพิมพ์ที่แองเจล่าไปควงกับริกกี้ มาร์ติน ทำให้เขาหึงหวงอย่างรุนแรง จึงไปง้อแองเจล่าให้กลับคืนมาหาเขา โดยควักไม้เด็ดด้วยการขอแองเจล่าแต่งงานและสัญญาว่าจะจัดการเรื่องเหล้าให้จบสิ้นให้ได้ สุดท้ายแองเจล่าใจอ่อน เธอไปบอกเลิกกับริกกี้ มาร์ติน และกลับมาคืนดีกับเบสต์ โดยแองเจล่ากล่าวในภายหลังว่า "มันเจ็บปวดที่ต้องเลือกคนใดคนหนึ่ง สุดท้ายริกกี้ต้องหัวใจแตกสลาย เขาบอกว่าไม่อยากเชื่อที่ฉันเลือกนักเตะไอริชขี้เมา แทนที่จะเลือกเขา"
สิ่งที่เบสต์พยายามพูด สุดท้ายมันก็เป็นแค่ลมปากเท่านั้น เขาไม่สามารถรักษาสัญญาเรื่องเลิกเหล้าได้ เบสต์จะมีข้ออ้างในการดื่มหนักเสมอ ซึ่งสุดท้ายมันส่งผลต่อชีวิตในส่วนอื่นด้วย
ในเดือนตุลาคมปี 1979 สโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ประกาศว่าจะไม่จัดเทสติโมเนียล แมตช์ ให้เบสต์ ซึ่งเบสต์อยู่กับสโมสรมา 11 ปี และได้ลงสนามถึง 464 เกม ซึ่งนี่เป็นเรื่องผิดวิสัยมาก เพราะโดยปกตินักเตะที่เล่นกับสโมสร 10 ปี ต้องได้รับเกียรติให้จัดเกมเทสติโมเนียล แมตช์ หนึ่งครั้ง
แต่ด้วยภาพลักษณ์ที่ย่ำแย่ ดื่มเหล้าเมามายไร้สติ และไม่เป็นแบบอย่างที่ดีกับเยาวชน ทำให้สโมสรไม่ยอมจัดเกมเกียรติยศให้ ซึ่งเรื่องนี้ทำให้เบสต์เจ็บใจมาก เพราะแม้แต่แพดดี้ ครีแลนด์ ที่ลงเล่นแค่ 304 เกม น้อยกว่าเขาเป็นร้อยนัด ยังได้จัดเทสติโมเนียล แมตช์เลย แล้วเขาซึ่งอยู่มานานกว่า ลงเล่นมากกว่า แถมเป็นขวัญใจแฟนบอลมากกว่า กลับโดนสโมสรปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยขนาดนี้
เมื่อเห็นชีวิตของสามีตกต่ำ แองเจล่า พยายามทุกอย่างเพื่อให้เบสต์เลิกเหล้า เธอยึดเงินเขาหมด ล็อกกุญแจขังไว้ในห้อง และเคยแม้กระทั่งใส่ยานอนหลับในถ้วยกาแฟ เบสต์จะได้หลับไปเลย ไม่ต้องไปหาเหล้าดื่ม แต่มันก็ไม่มีอะไรได้ผลเป็นชิ้นเป็นอัน
เข้าสู่ช่วงกลางปี 1980 แองเจล่าตั้งครรภ์ และเบสต์กำลังจะเป็นพ่อคน นั่นทำให้เธอคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้ว ที่เบสต์จะเลิกเหล้า คือคนเราจะเหลวแหลกแค่ไหน แต่ถ้าต้องเพื่อลูกของตัวเองที่กำลังจะเกิดมาล่ะก็ เบสต์ต้องยอมทำแน่นอน
5 กุมภาพันธ์ 1981 ก่อนกำหนดการคลอด 1 วัน เบสต์นอนห้องขังเพราะโดนตำรวจจับคดีเมาแล้วขับ แต่โชคดีที่เขาได้ประกันตัวออกมา จนได้ไปอยู่กับแองเจล่าในวันคลอดพอดี ซึ่งแองเจล่าให้กำเนิดลูกชาย "คัลลัม เบสต์"
เมื่อได้เห็นหน้าลูก นี่อาจเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เบสต์ตระหนักว่า เขาต้องเลิกเหล้าได้แล้ว พอลูกชายคลอดได้ 3 สัปดาห์ เบสต์เข้ารับบำบัดการติดแอลกอฮอล์ ที่โรงพยาบาลไวเปอร์ ที่เป็นสถาบันรักษาผู้ติดสุราโดยเฉพาะ ซึ่งสำหรับแองเจล่าเมื่อเห็นเบสต์ตั้งใจจะเลิกเหล้าจริงจังขนาดนั้น เธอเองก็รู้สึกตื้นตันในใจ
2 มีนาคม 1981 เบสต์ยุติการดื่มเหล้าได้สำเร็จ นี่เป็นโมเมนต์แห่งความสุขที่แองเจล่ารอมานานแล้ว เบสต์ไม่แตะแอลกอฮอล์เลย จากนั้นก็แสดงความใส่ใจลูกชายเต็มที่ เขาพาแองเจล่าไปช็อปปิ้ง ไปดูหนัง เหมือนสามี-ภรรยาทั่วไป ซึ่งในเวลานั้น โลกฟุตบอลก็ดีใจตามไปด้วย ที่เทวดาลูกหนังจะกำจัดเหล้าออกไปจากชีวิต และกลับมาวาดลวดลายในสนามตามเดิม
ในช่วงที่เลิกเหล้าสำเร็จแล้ว เบสต์ลงเล่นกับทีมซานโฮเซ่ เอิร์ธเควกส์ ในลีกสหรัฐฯ และผลงานโดยรวมก็ถือว่าไม่แย่เกินไป ในซีซั่น 1981 เขาลงสนาม 30 นัด ยิงได้ 13 ประตู ถือว่าพอรับได้ คือถ้าเบสต์ไม่ดื่มเหล้าล่ะก็ เขาก็ยังเป็นผู้เล่นที่ดีคนหนึ่ง
แต่จุดเปลี่ยนในชีวิตของเบสต์เกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงต้นปี 1982 ณ เวลานั้นทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ สร้างประวัติศาสตร์ไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายได้สำเร็จ ซึ่งแม้เบสต์จะอายุ 35 ปีแล้ว แต่เขามั่นใจว่าตัวเองดีพอที่จะติดทีมชาติได้ ชีวิตนี้เขาไม่เคยไปบอลโลกสักครั้ง และในฐานะนักฟุตบอลเขาก็ไม่อยากพลาดโอกาสนี้
แต่ด้วยอายุที่มากแล้ว และร่างกายเพิ่งจะฟื้นสภาพจากโรคติดเหล้า ทำให้บิลลี่ บิงแฮม ผู้จัดการทีมชาติไอร์แลนด์เหนือ ไม่เรียกเขาติดทีม นั่นทำให้เบสต์ทรมานใจอย่างมาก สุดท้ายมีนาคม 1982 หลังจากเลิกเหล้าได้ถึง 12 เดือน เบสต์จึงกลับไปดื่มอีกครั้ง เหมือนว่ามันเป็นทางออกเดียวที่ทำให้ชีวิตเขาลืมความทุกข์ที่เคยเกิดขึ้น
เมื่อเห็นสามีวนกลับไปหาอบายมุขเดิมอีกครั้ง แองเจล่าร้องไห้ เธอทนไม่ไหวแล้ว และขอหย่า แต่เบสต์ก็ขอร้องเหมือนเดิม ขอโอกาสปรับปรุงตัวอีกครั้ง แองเจล่าก็ยอมใจอ่อนอีก แต่มีเงื่อนไขคือ เบสต์ต้องย้ายกลับไปอังกฤษ และไปอาศัยอยู่ในบ้านของพ่อตา-แม่ยาย ที่เซาธ์เอนด์ แองเจล่าต้องการให้พ่อของเธอช่วยคุมความประพฤติของเบสต์ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
ในช่วงแรกๆ ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร แต่พออยู่ไปนานๆ เบสต์ไปชวนพ่อตาที่ชื่อโจ มานั่งดื่มเหล้าด้วยกัน ไปๆมาๆ เขาทำให้พ่อตา กลายมาดื่มเหล้าหนักด้วยอีกคน
เบสต์กล่าวว่า "ผมแย่ลงทุกที ผมอดเหล้าไม่ได้ คิดว่าเมื่อมีลูกชายแล้วผมจะเปลี่ยนไป แต่ผมไม่เปลี่ยนเลย ผมหยุดดื่มไม่ได้ แม้จะทำเพื่อลูกชายที่ผมรักที่สุด ผมก็ยังทำให้เขาไม่ได้ มันเหมือนมีปีศาจสิงอยู่ในตัวผม และมันเอาชนะผมได้ตลอด เวลาผมเมา ทุกอย่างก็บานปลาย ผมกับแองเจล่าเราทะเลาะตบตีกันเสมอ"
กลางปี 1982 เป็นช่วงที่ชีวิตของเบสต์จมดิ่งที่สุด เขาไม่ได้ติดทีมชาติไปเล่นฟุตบอลโลก ส่วนไนท์คลับสแล็คอลิซก็เจ๊งไม่เป็นท่า นอกจากนั้นสรรพากรที่อังกฤษ ยังไล่บี้เขาอีก โดยเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง 17,996 ปอนด์
ขณะที่เรื่องชีวิตครอบครัว เขาก็ทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก โดยแองเจล่าเล่าว่า "คัลลัมอายุขวบกว่า ฉันไม่ได้เจอจอร์จมาเป็นอาทิตย์ แล้ววันหนึ่งคัลลัมไม่สบาย ฉันขับรถพาเขาไปหาหมอ วันนั้นเป็นวันที่หมองหม่นจริงๆ ฝนตกตลอดเวลา ฉันขับรถมาหยุดตรงทางม้าลาย เพราะมีชายคนหนึ่งเดินโซเซ ข้ามถนนผ่านรถ เขาดูมอมแมมสกปรกเหมือนคนจรจัด ตัวเปียกโชกไปหมด แต่พอเพ่งดูชัดๆ นั่นมันสามีของฉันนี่นา"
สุดท้ายแองเจล่า ก็หย่าขาดจากเบสต์ได้สำเร็จ แต่พอเลิกกันได้ไม่นาน เบสต์ก็มีแฟนใหม่ทันที เธอชื่อแมรี่ สตาวิน อดีตมิสเวิลด์ชาวสวีเดน ที่มีผมบลอนด์สวย เป็นสเป็กของเบสต์ แต่คบกันได้แค่ราวๆ 1 ปี แมรี่ก็ทนไม่ไหวขอเลิกไปอีกคนโดยให้สัมภาษณ์ภายหลังว่า "ฉันรับไม่ไหวแล้ว ถึงจะรักเขาแค่ไหนก็ตาม เขามีแต่ปัญหา ถึงเวลาที่เขาต้องแก้ไขมันเองแล้ว ไม่มีใครอยู่กับขี้เมาอย่างเขาได้ตลอดหรอก"
ตั้งแต่ปี 1982 เป็นต้นมา เบสต์ติดเหล้าอย่างหนัก และไม่มีสภาพพอจะเล่นฟุตบอลได้อีกแล้ว เขาเซ็นสัญญาไปเล่นโชว์รับเงินเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้เล่นอาชีพอีก คือถามว่าเขายังโด่งดังไหม ก็ใช่ ทุกคนรู้จักเขาอยู่ แต่ทักษะอัจฉริยะที่โลกตะลึง ชนิดที่สามารถเลี้ยงหลบคู่แข่งทั้งทีมได้ มันจบสิ้นไปนานแล้ว
เบสต์พยายามสู้กับอาการติดแอลกอฮอล์หลายหน ในปี 1983 เขาไปรักษาตัวที่คลีนิคบำบัดสุราที่สแกนดิเนเวีย โดยวิธีการรักษานั้นจะเป็นแบบโหด คือฝังยาต้านแอลกอฮอล์ในกระเพาะอาหาร โดยเบสต์ถูกเตือนว่า ถ้าฝังไว้แบบนี้แล้วเขายังดื้อกินเหล้าอีก อาจถึงตายได้เลย
เบสต์กล่าวว่า "ผมถูกฝังยาแล้ว แต่ก็อยากทดลอง ผมจึงดื่มอีก สุดท้ายผมเกือบช็อกตายจริงๆ รูจมูกตีบตันหายใจไม่ออก หัวใจเต้นรัวไปหมด มันเหมือนจะบอกเลยว่าถ้าคุณดื่มอีก คุณตายแน่" สุดท้ายเบสต์ทนไม่ไหว ไปผ่าตัดอีกรอบ ให้เอายาต้านออกจากร่างกาย เขาทนไม่ไหวที่จะต้องเลิกเหล้าไปตลอดชีวิต
มิถุนายน 1984 เบสต์ได้แฟนคนใหม่ ชื่อ แองจี้ ลินน์ เป็นนางแบบผมบลอนด์วัย 26 ปี หลังจากคบกันได้แค่แป้บเดียวเบสต์ไปโดนคดีเมาแล้วขับ ต้องติดคุก 3 เดือน ซึ่งในช่วง 3 เดือนนั้น ก็เป็นอีกครั้งที่เบสต์ได้ห่างจากเหล้า ซึ่งแองจี้ ลินน์ ก็หวังว่าจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตของเบสต์ คือออกจากคุกมา จะได้ทำตัวเป็นคนใหม่ ห่างไกลแอลกอฮอล์ แต่พอออกจากคุกได้แค่ 4 วัน เขากลับไปดื่มว็อดก้าอีกครั้ง
แองจี้ ลินน์กัดฟันทนแฟนขี้เมาได้ 2 ปีเศษ เธอก็ขอเลิกในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1987 เพราะผิดหวังที่เขาไม่เคยเข็ดกับเรื่องเหล้า แต่เบสต์ก็หาได้แคร์ไม่ ถ้าให้เลือกเหล้ากับแองจี้ คำตอบไม่ต้องคิดเยอะ เขาเลือกเหล้าอยู่แล้ว
เบสต์ตอนนี้แทบไม่เหลือเงินเก็บอีกแล้ว เขากำลังจะอดตาย แต่ก็เป็นโชคดีที่เขามาเจอกับสาวคนใหม่ นั่นคือแมรี่ ชาทิล่า สาวสวยลูกครึ่งอังกฤษ-อียิปต์ ซึ่งตอนแรกก็มีแต่คนเตือนแมรี่ว่าอย่าไปเสี่ยงกับเบสต์เลย ชื่อเสียงเขาฉาวโฉ่ขนาดนั้น แต่แมรี่อยากจะลองดูสักตั้ง ทั้งคู่จึงคบหาเป็นแฟนกันในที่สุด โดยแมรี่นั้นเป็นคนเก่ง เธอเปลี่ยนแปลงเบสต์จากมนุษย์ถังแตก ให้เป็นผู้ชายที่มีเงินในบัญชีมากกว่า 1 แสนปอนด์ ได้อย่างมหัศจรรย์
.
.
.
.
ถ้าอยากรู้ว่าเธอทำไงให้เบสต์มีเงินเก็บมากขนาดนี้ และบั้นปลายชีวิตของเขาเป็นอย่างไร
อ่านต่อที่เพจวิเคราะห์บอลจริงจังนะครับ
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ