ยุคโควิดแต่ทำไมอายุน้อยๆเงินเดือนเยอะกันจังครับ

ทำไมมีแต่ตอบสาย IT DEV Engineer เยอะ ไม่ค่อยมีอาชีพอื่นเลย แต่ที่จริงผมว่าอาชีพของพวกคุณน่าสนใจและดูมีอนาคตดี ไม่ใช่ชนชั้นแรงงาน หมอ พยาบาล เนี่ยแรงงาน คือถ้าวันนั้นไม่ตรวจ ไม่อยู่เวร ก็ไม่มีรายได้หรือได้น้อยลงพอสมควร

ผม 32 ปี หมอทั่วไปเอกชนตจว.100k มีคลินิกแต่คนก็ลดลงนะ
คลินิกบวกไม่ได้เมียเฝ้าตัง เมียไม่ทำงานอื่น ดูแต่คลินิกแยกบัญชีอีก แต่ใช้บัตรเครดิตด้วยกัน ผมเนี่ยจ่าย กู้บ้าน ผ่อนรถ หนี้ทั้งหลายก็ผมเนี่ย ถ้าหนีผมไปนี้ลำบากแน่ๆ

อายุกำลังจะ 29

เงินเดือน 48k รวมงานนอกด้วย 60-70k

ตำแหน่ง Mobile Developer (iOS/React Native) อยู่เชียงใหม่คร้าบบ

ปล. สาย IT เยอะเหมือนกันแหะใน SS

ต้องบอกว่ามันเป็นสายงานที่ได้รับผลกระทบเชิงบวกจากโควิดด้วยครับ คือก่อนหน้านี้สาย IT Dev ก็รายได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนไทยในตลาดอยู่แล้ว (ในอายุ/ระดับงานที่ใกล้ๆกัน) แล้วพอยิ่งเจอโควิด หลายๆบริษัทก็ต้องเปลี่ยนการทำธุรกิจมาอยู่บนโลกออนไลน์มากขึ้น dev ก็เป็นที่ต้องการมากขึ้น ไหนจะสตาร์ทอัพที่ผุดกันขึ้นมาอีก มันยิ่งผลักให้ demand มันสูงขึ้น ขณะที่ supply ยังไม่ได้เพิ่มมากพอ ก็เกิดการจ่ายให้สูง เพื่อดึงดูดแรงงานจากในตลาดเข้าบริษัทครับ (ก็เป็นเรื่อง supply/demand ตามปกติ)

ปล.จริงๆสาย data scientist/engineer ได้สูงกว่านี้อีกนะครับ แต่มันเป็นเรื่องใหม่ในไทย เพราะถ้านับเด็กที่จบสายตรงด้านนี้ผมว่ายังไม่น่าจะมีเกิน 10 รุ่นครับ เราเลยยังไมค่อยเห็นข้อมูลจากกลุ่มนี้เท่าไหร่ เพราะ supply ในตลาดมีน้อยถึงน้อยมากครับ แล้วบางที่นี่ตามตำแหน่งแล้วเป็นแค่ Specialist หรือ mid-level manager รายได้นี่ชนกับรายได้ผมแล้วครับ ถ้ายิ่งเป็น director นี่แซงผมสบายๆเลยครับ

อายุ 33 ตำแหน่ง Business Development วงการ Oil and Gas เงินเดือน 160k มีค่าคอม เฉลี่ยๆ น่าจะ 30k ต่อเดือน ครับ

Fulltime trader อายุ 42
ผลงานปีที่แล้วกับปีนี้

อายุ 26 หมอคลินิกความงามช่วงปกติ 280k +- ไม่เกิน2หมื่น แล้วแต่เดือน

ถ้ารวม hospitel อีกก็ 380-400k ทำ hospitel เช้า เข้าคลินิกบ่ายต่อ

ช่วงโควิดตอนนี้ประมาณ 120k เงินจาก hospitel ล้วนๆ คลินิกโดนสั่งปิดหมด TT

โชคดีไม่มีหนี้ ผ่อนรถ ecocar เดือนละ 7000

ทำไมมีแต่คนรวยๆมาตอบ คนฐานนะกลางๆหรือขี่แกรบ ไม่มีมาตอบเลยแหะ

ทำไมคุณจบ dent เร็วจัง

หรืเดวนนี้คลินิกความงามเขารับแพทย์ GP ด้วย

ไม่ได้เรียนเด้นครับ ตั้งใจมาสายนี้ตั้งแต่เป็น นศพ

เป็น GP training เอา ทั้งพวก ปโท คอร์สสั้นๆ ครับ

เทรนเด้นเรียน disease ล้วนๆ ไม่ได้ทำ cosmetic ครับ

ตลาด in general ต้องการผลงานมากกว่าวุฒิ ครับ( ตลาดความงาม )

ขอบคุณครับ

พอดีคุยกับเพื่อนเห็นมันใช้ทุนรอเรียน dent ศัลฯพลาสติก เพื่อมาทำคลินิกอยู่

นึกว่าต้องคลินิกจะรับแต่พวกเฉพาะทาง

Agoda แทบจะเป็นคนสร้างมาตรฐานเลยครับ

เข้ามาสาย Dev + Data Start 50k ทีนี้ปีแรกๆดูดเด็กจบใหม่ไปได้เยอะมาก

คือเข้าไปแทบจะเป็น ฬ สาขา 2 เลย

บ อื่นๆ ก็ต้องอัพราคามาให้พอสู้ได้บ้าง ไม่งั้นหาคนไม่ได้

อีกอย่างคือตลาดต่างประเทศมันไปง่ายสำหรับสายคอม ถ้าไปได้แทยการันตี 150k

คือเอาง่ายๆ Top10 สายคอมของคณะ ในแต่ละปีมีครึ่งนึงไม่อยู่ไทยแล้วครับ

ปัญญาของสายคอมหลักๆที่ผมเจอมาคือ

การสื่อสารในทีมครับ เจอพวก อีโก้จัดนี้ทำงานด้วยลำบากชิบหาย

ยิ่งประเภทเสียหน้าไม่ได้นี้ปวดกะบาล เลย

เห็นเปิดตำแหน่งวิศวกรอยู่ กำลังชั่งใจว่าจะสมัครดีมั้ย

ผมไม่แน่ใจว่าเป็นที่ SA กับ BA ด้วยหรือเปล่า

ถ้าสองตำแหน่งนี้ไม่แข็ง แทบจะเถียง Tech สู้กับ Dev ไม่ได้เลย เขาว่าไงก็ต้องตามนั้น

ในฐานะคนคุมทีม IT ในบริษัท non-IT มาหลายที่ อันนี้เป็นความจริงครับ คน IT ส่วนใหญ่มักจะมีปัญหาด้าน communication 555 (เราจะตัดบ.เทคออกไปก่อนนะครับ เพราะพวกนั้นคนในองค์กรจะค่อนข้างมีความรู้ด้านเทคฯบ้างไม่มากก็น้อย เช่น Allianz Tech, Agoda, SCB10x, Thomson Reuters, etc…)

ฟีดแบคที่ได้ยินจากฝั่ง business ค่อนข้างบ่อยคือ
1. IT คุยไม่รู้เรื่อง เหมือนพูดคนละภาษา อันนี้คือความจริง นั่นคือสาเหตุที่หลายๆบริษัทเริ่มมีตำแหน่ง IT Business Partner ขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างทีม IT <> non-IT ครับ เพราะในมุมของคน IT ก็จะมีหลายๆครั้งที่บอกว่า user คุยไม่รู้เรื่องด้วยก็มี
2. เด็กๆรุ่นใหม่หลายคน (ทั้ง IT/non-IT เอง) ก็จะมีปัญหาในเรื่องความเชื่อมั่นในตัวเองค่อนข้างสูง ซึ่งบางคนคุยรู้เรื่องก็มี บางคนก็ต้องสอนแบบ stick & carrot เพื่อให้จำก็มี หรือบางคนก็ต้องปล่อยให้เฟลไปเองก็มีครับ
3. ในขณะที่ IT ที่สูงอายุหน่อย เก๋าหน่อย ก็จะชอบโบ้ยไปว่า เห้ยพวกคุณผิดเองหรือเปล่า ฝั่งผมไม่ผิด ระบบผมรันได้ ไม่มี error อะไรแน่นอน ฯลฯ

อันนี้ผมพูดรวมๆนะครับ ไม่ได้พูดถึงแค่ในสาย dev/QA หรือเจาะจงอะไร แต่พูดถึงในภาพรวมมากกว่า เพราะเวลามี Steering Committee ทีไร ผมก็ต้องคอยบอกน้องๆตลอดว่าให้ใช้คำเทคนิคัลให้น้อยที่สุด ให้พูดภาษาคนมากกว่าที่สุด เพราะ business ไม่ได้เข้าใจในเชิงลึก เหมือนกับที่เราไม่ได้เข้าใจว่าภาษาพวกเค้าเหมือนกัน (เช่น GMV หรืออะไร แล้วจาก CLP -> PDP ต้องไปทำอะไรเป็นต้น หรือกระทั่งการคำนวน costing เราก็ไม่ได้เหมือนฝั่ง finance เค้า)

สุดท้าย มันก็ต้องปรับเข้าหากันแหล่ะครับ แต่ต้องวางอคติลงทั้งสองฝั่งด้วยครับ