สืบเนื่องจากพรี่เรืองไกรรถเบนซ์ ที่เพิ่งได้ทำการชงเรื่องให้กกต.แทงเรื่องไปศาลรัฐธรรมนูญว่าจะยุบพรรคก้าวไกลดีไหมจากกรณีการอภิปรายงบส่วนพระองค์ หลายคนอาจรู้จักพรี่เรืองไกรจากกรณีรถเบนซ์และชูป้ายเชียร์ลุงตู่ให้อยู่ยาว แล้วคงคิดว่าไอ้หมอนี่มันตัวโจ๊กหรือเปล่า ไม่น่ามีเครดิตอะไร แต่ๆๆ ช้าก่อนครับ มารู้จักกับชายผู้นี้ที่ได้รับฉายา "แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์" กันก่อน เขาทำอะไร ทำไมถึงเป็นแจ๊คผู้ฆ่ายักษ์ เรามาทำความรู้จักกับ "นักร้องอาชีพ" คนนี้กัน


เอาแบบย่อไม่ยาวมากนัก
เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ พื้นเพเป็นคนบุรีรัมย์ เกิดปี2504
- เริ่มเป็นที่รู้จักจากการฟ้องกรมสรรพากรประเด็นเรื่องหุ้นของโทนี่ ปี49
- ต่อมาลงสมัคร ส.ว. ปี49 แต่ไม่ได้รับเลือก
- ได้เป็น ส.ว แบบสรรหา ในปี 51
- ผลงานชิ้นโบว์แดงจนทำให้พรี่แกได้รับฉายาว่าเป็น "แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์" มาจากการยื่นเรื่องวินิจฉัยการจัดรายการ "ชิมไปบ่นไป" ของสมัคร สุทรเวช ว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ และผลคือป๋าหมักต้องกระเด็นจากเก้าอี้นายกฯไปแบบช็อคคนไทยกันทั้งประเทศ
- แต่แล้วในปี 53 เรืองไกรก็ได้เริ่มไปเข้าชุมนุมกับกลุ่มนปช.หรือที่เรามักเรียกกันติดปากว่าม็อบเสื้อแดง จนหลายคนสงสัยกับจุดยืนของพรี่แกว่า ยังไงซิ?
- ต่อมาเรืองไกรได้กลายเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย และได้รับเลือกเป็นส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของ"พรรคเพื่อไทย" ในปี 57 ก่อนที่ผลการเลือกตั้งจะเป็นโมฆะในเวลาต่อมา
- เมื่อไม่นานมานี้เขายังเป็นสมาชิกพรรคไทยรักษาชาติอีกด้วย พอทษช.โดนยุบก็กลับมาเพื่อไทย
- แต่จุดเปลี่ยนอีกครั้งของพรี่เรืองไกรที่ทำให้พรี่แกไม่ทน ขอลาออกจากค่ายเพื่อไทย คือ พรี่แกชวดโควต้ากรรมาธิการงบประมาณปี64 ของพรรคเพื่อไทย โดยมีข่าวว่าผู้ใหญ่ภายในพรรคเข้ามาเกี่ยวข้องทำให้แกอด
- หลังจากนั้นเรืองไกรจึงขอคิดบัญชีฝั่งเพื่อไทย ยื่นเรื่องตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของ ส.ส.เพื่อไทยหลายคน เช่น พี่โจ้ ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร สมพงษ์ อมรวิวัฒน์
- นอกจากนี้เรืองไกรยังกลับได้อยู่ในโควต้าอนุกรรมาธิการงบประมาณปี64 ของพรรคเสรีรวมไทย ของป๊าเสรีพิสุทธ์อีกด้วย
- และในปีนี้เอง พรี่เรืองไกรได้ come back และ debut ปังๆเปิดตัวเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐอีกด้วย ประเดิมการกลับมาด้วยเรื่องรถเบนซ์ผู้ใหญ่ให้มากันแบบเรียกได้ว่าล่อเป้าให้คนมาด่าได้ดีนัก ชูป้ายเชียร์นายก และแน่นอนพี่แกได้เป็นกมธ.งบประมาณ ปี65 สมใจในโควต้า พปชร. และได้มาชูป้ายเชียร์ลุงตู่อยู่ยาวๆอย่างที่เราเห็นกัน
- ผลงานชิ้นล่าสุดคือการร้องเรียนยุบพรรคก้าวไกลประเด็นเรื่องการอภิปรายงบสถาบันนี่แหละครับ

เรียกได้ว่านักร้องอาชีพคนนี้ประมาทไม่ได้นะครับ เพราะเคยล้มรัฐบาลสมัครได้มาแล้ว รอบนี้พรี่แกกลับมาแล้ว ในฝั่งตรงข้ามซะด้วย สุดท้ายต่อให้เรื่องที่ร้องเรียนล่าสุดผลจะออกมาเป็นยังไง รอด/ไม่รอด ถึงรอดแต่ต่อจากนี้พรรคฝ่ายค้านเวลาจะทำอะไรคงต้องระมัดระวังในสภากันมากขึ้น โดยเฉพาะพรรคก้าวไกล ที่เรียกได้ว่าน่าจะโดน "หมายหัวจากผู้ใหญ่ใจดี" ไว้แล้วนั่นเอง

แหล่งข่าว: https://www.thansettakij.com/politics/482527
https://www.prachachat.net/politics/news-685094
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B8%A3_%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%B0

เมื่อก่อนเคยคิดว่า ความเห็นทางการเมืองของคนมีแค่ 2 ประเภท

ประเภทแรก..คือให้น้ำหนักของเนื้อหาและเหตุผล ผิดก็คือผิด ถึงจะเป็นฝั่งการเมืองที่ตัวเองเชียร์ ยังงัยก็ต้องตัดสินด้วยมาตรฐานเดียวกัน

ประเภทที่ 2..คือเลือกแต่ฝั่ง แล้วอคติ 2 มาตรฐานกับทุกเรื่อง ถ้าฝั่งตัวเองทำคือถูกหมด ถึงผิดก็มีข้อแก้ตัวให้

กลับกันถ้าเป็นฝั่งตรงข้ามนี่ถึงทำถูกก็คือผิด ถ้าทำผิดนี่กระทืบซ้ำไม่ให้ได้ผุดได้เกิด

พอมาอ่านอันนี้ ผมนี่เห็นประเภทที่ 3 เลย..นี่คือคนที่ไม่สนเหตุผล แถมไม่สนฝั่งด้วย ไม่ต้องใช้วิจารณญาณอะไร ไม่ต้องคิดว่าอยุ่ฝั่งไหน

เหมือนขยะที่สามารถทำทุกอย่าง อยู่ได้ทุกข้าง ได้เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง (คล้ายๆไอ้โบ้เลย)

สังเกตุมานานละ
คนที่ทำงานกับเพื่อไทย-พลังประชารัฐ
ลักษณะนี้เยอะมากจริงๆ
ไม่มีอุดมการณ์แสวงหาผลประโยชน์ล้วนๆ

ลิโป้ ชัดๆ

คือทำตัวแบบเป็นนักบอลอาชีพเลยนะ ย้ายทีมแล้วก็ต้องเล่นให้ต้นสังกัดใหม่เต็มที่แม้ว่าเจอทีมเก่า ถ้ายิงทีมเก่าได้มันจะดีใจมั้ย

เฮแน่นอนครับ เพราะน่าจะได้อัดฉีดเยอะ

ดีไม่ดี มีวิ่งมาตบตูดเยาะเย้ยทีมเก่าที่มุมธงอีกครับ คนพรรค์นี้