หลวงพ่อปาน ผีอีวอกหน้าขาว ตำนานผีบ้าแห่งบางไทร
"หลวงพ่อปาน สยบฤทธิ์ ผีอีวอกหน้าขาว..! ตำนานผีบ้าแห่งบางไทร จ. อยุธยา"
"หลวงพ่อปาน โสนันโท" แม้ว่าท่านนั้นจะมรณภาพไปนานเกือบ 80 ปี แล้วก็ตาม แต่นามของท่านยังเป็นที่กล่าวขวัญของลูกศิษย์และผู้คนทั่วไปอยู่ โดยเฉพาะชาวเมืองกรุงเก่าต่างรักและหวงแหนในมงคลวัตถุของท่านเป็นอย่างยิ่ง และแทบทุกครัวเรือนต้องมีภาพถ่ายของท่านบูชาไว้เป็นมงคลเสมอ
ส่วนชีวประวัติของหลวงพ่อปานนั้นก็เคยได้ถูกจารึกเอาไว้ ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา โดยเรื่องราวบางตอนของหลวงพ่อได้ถูกเล่าผ่านพระเดชพระคุณท่านหลวงพ่อฤาษีลิงดำ อีกทีหนึ่ง ซึ่งถือเป็นศิษย์เอกผู้เคยตามติดหลวงพ่อปานในการออกธุดงค์ด้วยกันหลายครั้งหลายครา...
และหนึ่งในเหตุการณ์ที่หลวงพ่อปานได้ไปพบเจอมาที่อำเภอบางไทร จังหวัดอยุธยานั้น เป็นเรื่องราวตำนานผีอีวอกหน้าขาว ผีบ้าแห่งบางไทร..!
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณร้อยปีที่แล้ว ซึ่งเมื่อก่อนบางไทรยังไม่ได้เจริญแบบทุกวันนี้ วิถีชีวิตและสภาพท้องที่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นเทือกสวนไร่นาและท้องร่อง ชาวบ้านจะไปมาหาสู่กันก็ต้องไปทางเรือเป็นหลัก สังคมคนชนบทไม่กว้างใหญ่ ถ้าอยู่หมูบ้านเดียวกันก็จะรู้จักกันหมด
ณ อำเภอบางไทร ขณะนั้น..มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่าน้อย เธอนั้นเป็นหญิงสาวที่รูปโฉมงดงามยิ่งนัก ใครเห็นก็ต่างหมายปองอยากได้เธอกันทุกคน น้อยนั้นไม่เคยคิดรักใคร่ จนกระทั่งต่อมาเธอได้ไปพบรักกับชายหนุ่มที่มาจากกรุงเทพ เป็นหลานกำนันที่มาเที่ยวในหมู่บ้าน
และจากนั้นไม่นานน้อยก็ยอมเสียตัวให้เขา โดยก่อนที่หนุ่มกรุงเทพจะกลับไป เขาได้ให้สัญญามั่นกับน้อยว่า อีกหนึ่งเดือนเขาจะกลับมาพร้อมพาผู้ใหญ่มาสู่ขอเธอ และก่อนไปเขาได้ให้ตลับทาแป้งไว้ให้น้อยได้ดูต่างหน้าด้วย
ต่อเมื่อเวลาผ่านไปจนครบกำหนด น้อยก็ไปยืนรอชายหนุ่มคนนั้นที่ท่าเรือ แต่ปากฏว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้มาตามที่ให้คำสัญญาไว้ เธอออกตามไปที่บ้านกำนัน กำนันก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
น้อยนั้นรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเธอจะไปยืนรอชายหนุ่มคนนั้นที่ท่าน้ำบางไทรทุกวัน โดยที่ทุกครั้งเธอจะปะแป้งหน้าขาวออกมายืนรอ จนชาวบ้านที่รู้ข่าวก็นินทากันไปต่างๆนานา
น้อยยึดมั่นต่อรักไม่เสื่อมคลาย เธอจึงเสียใจและไม่นานก็กลายเป็นคนบ้าเสียสติไป บางคนเห็นน้อยเรียกเธอว่า "อีวอกหน้าขาว อีบ้าทาแป้ง" แต่เธอก็ยังมายืนรออยู่ที่ท่าน้ำทุกวันจนกระทั่งค่ำ
กระทั่งวันหนึ่งขณะที่น้อยกำลังเดินกลับบ้าน เธอก็ถูกคนร้ายฉุดไปข่มขืน ก่อนที่คนร้ายจะฆ่าเธอและได้ทิ้งศพไว้ที่ป่าปรือข้างทางตรงท่าเรือนั่นเอง..!
นับจากนั้นก็เริ่มมีเสียงเล่าลือจากชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้กับท่าเรือบางไทรว่า วิญญาณของผีนางน้อยนั้นเฮี้ยนนัก..ผีนางน้อยเริ่มมาปรากฏตัวให้คนเห็น ชาวบ้านที่พายเรือผ่านไปผ่านมาเห็นน้อยมายืนอยู่ที่ท่าเรือ ทาแป้งหน้าขาวเหมือนสมัยที่เธอยังมีชีวิตอยู่ พร้อมกับแลบลิ้นไปมา..!
หรือบางทีชาวบ้านก็เห็นผีนางน้อยมายืนร่ายรำ ร้องไห้สะอีกสะอื้น เรียกแต่ชื่อคนรัก อยู่ตรงท่าน้ำแห่งนั้นเป็นประจำ..!
เล่นเอาชาวบ้านต่างพากันหวาดกลัว และแทบไม่มีใครกล้าผ่านไปขึ้นเรือลงเรือตรงนั้นเลย..!!
จนกระทั่งมีวันนึงหลวงพ่อปานท่านได้รับกิจนิมนต์ให้ไปแถวอำเภอบางไทร ระหว่างที่ท่านกำลังเดินขึ้นจากเรือ ท่านก็เห็นบางสิ่งกำลังนั่งห้อยขาอยู่บนต้นไม้ตอนกลางวันแสกๆ..!!
หลวงพ่อปานจึงได้ถามกับคนที่มารอท่านว่า "ใครกันที่นั่งอยู่บนต้นไม้ ?"
แต่เหมือนว่าชาวบ้านคนนั้นจะรู้ว่าหลวงพ่อปานเจอเข้ากับอะไร จึงเลี่ยงที่จะไม่ตอบ
หลังจากที่หลวงพ่อปานปฎิบัติกิจเสร็จแล้ว ก็ได้ถามเรื่องที่ท่าเรือกับโยมผู้นั้นอีกที โยมจึงได้เล่าเรื่องราวของผีอีน้อยหน้าขาวให้ท่านฟัง หลวงพ่อปานจึงตัดสินใจว่า คืนนี้ท่านจะไปปักกรดนั่งสมาธิที่ตรงท่าเรือแห่งนั้น แม้ชาวบ้านจะพยายามคัดค้านท่านอย่างไรก็ตาม
คืนนั้นขณะที่ท่านกำลังนั่งสมาธิอยู่ที่ริมท่าเรือ ในบรรยากาศที่เงียบสงัดสองหูท่านได้ยินเสียงเหมือนคนเดินมาตามทางเดินท่าน้ำ ก่อนที่เสียงนั้นจะเดินมาทางด้านหลังของหลวงพ่อ แล้วมากะทืบเท้าบนแผ่นไม้เหมือนจะบอกให้หลวงพ่อรู้ว่า ที่นี่คือที่ของเขา..!
หลวงพ่อปานยังคงนั่งเฉย สักพักก็ได้ยินเสียงคนกะทืบเท้าอีก ย่ำไปมาอยู่แบบนั้นในลักษณะที่ไม่พอใจ พร้อมเสียงตวาดใส่ "บอกให้หลบไป..!"
แต่หลวงพ่อท่านก็ไม่หลบ ผีนางน้อยแสดงความไม่พอใจมากขึ้น นางร้องกรีดดเสียงดังลั่นออกมา ก่อนที่จะลอยตัวขึ้นไปบนต้นไม้แล้วห้อยหัวลงมา แหกลิ้นปลิ้นตาใส่หลวงพ่ออีกที..!
ซึ่งในตอนนี้นี่เองที่หลวงพ่อปานท่านลืมตามอง และได้เห็นใบหน้าของน้อยอย่างชัดเจน นางนั้นทาหน้าขาวสมกับที่ชาวบ้านเขาร่ำลือจริงๆ
จากนั้นผีนางน้อยก็ยังแสดงความโกรธ เธอลงจากต้นไม้แล้วก้าวเข้ามาใกล้หลวงพ่อ ก่อนจะเอานิ้วมือยื่นมาหมายจะสะกิดที่หลังหลวงพ่อ แต่พอมือนางถูกจีวรเท่านั้นแหละ ผีนางน้อยก็กรีดดด..จนลั่นเลย เพราะความร้อน ก่อนที่นางจะนั่งทรุดตัวลงด้วยอาการสงบ
หลวงพ่อปานหันไปเพ่งมองดู ก็เห็นหน้านางน้อยที่ขณะนี้ดวงตากำลังแดงกล่ำ แฝงไว้ด้วยความโกรธและความเศร้า หลวงพ่อปานได้บอกกับนางน้อยไปว่า
"รอเขาหรือ.. รอเขาแล้วเขารอโยมไหม.. รักเขาแล้วเขารักเราไหม.. โยมเชื่อเขาแล้วเขาโกหกโยมไหม.. ที่เป็นแบบนี้เพราะอะไร.. เพราะเขาใช่ไหม..?"
ผีนางน้อยซึ่งขณะนี้ดูไม่ก้าวร้าวแบบทีแรก นางนั่งฟังหลวงพ่อด้วยอาการสงบลง.. หลวงพ่อปานพูดต่อว่า
"นางนั้นเป็นผีบ้า บ้าในที่นี้ไม่ใช่จิตที่วิปลาส แต่มันคือบ้าในกิเลส บ้าในรสสัมผัส บ้าในการยืดมั่นถือมั่น บ้าในจิตที่ไม่ยอมรับความจริง..
เขานั้นทิ้งโยมไปแล้วเข้าใจไหม โยมควรกลับมารักตัวเองไม่ดีกว่าหรือ คนเรามาเท่าไหรก็ไปเท่านั้น สิ่งที่จะอยู่กับโยมก็คือตัวโยมเอง ชาตินี้มีวิบากกรมมาบังตา ชาติหน้าก็ขออย่าให้เจอแบบนี้อีกเลย ในชาตินี้โยมได้เจอเจ้ากรรมนายเวรแล้ว เจ้ากรรมนายเวรก็คือผู้ชายคนที่หลอกโยมนั่นแหละ นับจากนี้ตัดใจสะเถิด ไปผุดไปเกิดสะเถอะ..."
พอหลวงพ่อพูดเสร็จ ผีนางน้อยก็น้ำตาไหลอาบสองแก้ม แล้วก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ก่อนที่หลวงพ่อปานท่านจะนั่งลงและแผ่เมตตารวมทั้งยังได้สวดบังสกุลชุดใหญ่ไปให้นางด้วย และนับจากนั้นเป็นต้นมาตรงท่าเรือบางไทร ก็ไม่เคยมีใครพบเห็นผีนางน้อยหน้าขาวมาปรากฏกายหลอนหลอนใครอีกเลย
นั่นคือตำนานผีนางน้อยหรือผีอีวอกหน้าขาว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ที่ถูกบันทึกไว้ในชีวประวัติช่วงนึงของหลวงพ่อปานด้วย ซึ่งแอดมินคิดว่าถ้าหากลองไปถามคนยุคเก่าๆ ที่พื้นเพเป็นคนแถวนั้นก็น่าจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาบ้างครับ
Spoil
เครดิต: สยองขวัญวาไรตี้