บอกเล่าตอนไป Old Trafford กับเหตุประท้วงเมื่อคืน
เมื่อคืน (2 พฤษภาคม 64) ช่วง 22.00 น. สาวกแฟนบอลหลายคนคงติดตามการแข่งขันระหว่างแมนฯยูฯ กับ ลิเวอร์พูล ที่สนาม Old trafford โดยเฉพาะเด็กผีที่กำลังลุ้นให้กำชัยในนัดนี้ เพื่อรักษาอันดับ 2 ให้แน่นที่สุด และแฟนหงส์ ที่ลุ้นทำคะแนนเพื่ออันดับการไปบอลยุโรป และมันยังเป็นแมทช์แห่งศักดิ์ศรีของทั้งสองทีม .... ผมก็เป็นอีกคนที่เฝ้ารอการแข่งนัดนี้ (เด็กผี) เคยได้มีโอกาสไปเรียนที่อังกฤษอยู่ปีนึง และเสียดายที่อดดูบอลเมื่อคืน ... ผมเลยอยากเขียนเล่าความรู้สึกของแฟนบอลคนนึงเท่านั้น
.
แน่นอนว่าแฟนบอลบ้านไกลอย่างผมหรืออีกหลายคนก็อยากเห็นทีมรักแข่งขันในทุกสัปดาห์ ชนะก็ดีใจ แพ้ก็เศร้า ๆ คอตกกันไป สัปดาห์หน้าก็เอาใหม่ ... ติดตามข่าวสาร ติชม ตามประสาแฟนบอลทางไกล ที่อยู่บนโลกออนไลน์เป็นหลัก
... แต่กับแฟนบอลที่อังกฤษผมว่ามันต่างออกไปมาก ... ที่นั้นจะเรียกว่าฟุตบอลมัน คือ "วัฒนธรรมของประเทศ" เลยก็ว่าได้ เหมือนคนไทยกินข้าว แน่นอนมันมีคนชอบกินก๋วยเตี๋ยว กินสุกี้ แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าส่วนใหญ่ คือ กินข้าว .... อันนี้ก็เหมือนกัน ฟุตบอล มันซึมเข้าไปในทุกอย่างตัวแต่เด็กคนนึงเกิดมาเลยก็ได้นะ (เท่าที่ผมเห็นนะ)
ฟุตบอล มันแทรกซึมไปในหลายกิจกรรมในชีวิต บทสนทนาที่คุยบนโต๊ะกินข้าว กีฬายามว่างกับเพื่อน สนามบอลเป็นกิจกรรมพักผ่อนของคนหลายหมื่นช่วงวันหยุด และอีกหลายคนที่อยู่ติดจอที่บ้าน ลามไปถึงธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจฟุตบอล ทั้งร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายของ .... ทีมบอลชื่อดัง ก็จะดึงดูดนักท่องเที่ยวมาในเมือง ทำให้คนในเมืองมีรายได้มากขึ้น สโมสรจ้างคนในพื้นที่เข้ามาเป็น staffs ของทีม ... รวมถึงเป็นความฝันสูงสุดของเด็กหลายคนในพื้นที่ เรียกว่าผสมผสานเข้าไปในวิธีชีวิตของคนในเมืองได้เลย ...
... ลองดูบทสัมภาษณ์ของแกรี่ จาก skysport ดูแค่สายตาตอนแกรี่พูด รู้ได้เลยถึงความอัดอั้น (Neville: Honourable thing to sell Man Utd ผมแนบลิ้งไว้ด้านล่าง) ... แกรี่ใช้คำว่า Community มันบอกเลยว่า ฟุตบอล มันไม่ใช่แค่กีฬา มันยิ่งกว่านั้น ... แม้ผมจะไม่ได้อยู่แมนเชสเตอร์ แต่เมืองผมว่าเวลามีบอลแข่งนะ โอ้ คนเดินมุ่งหน้าไปสนามยาวเหยียด เสียงเชียร์ดังลั่น บ้านผมอยู่ห่างจากสนามแข่งเป็นกิโลยังได้ยิน เลยพอเห็นความอินของคนในพื้นที่ .... แล้วถ้าได้ไปเชียร์บอลในบาร์นะ บรรยากาศก็สุดมันไปอีกแบบ
.
ตอนผมไปเรียนที่อังกฤษ ผมโคตรตั้งใจจะไป Old trafford ให้ได้ ตั้งเป้าว่าจะรีบทำ dissertation ให้เสร็จแล้วจะไปเลย คนเดียวก็ไป .... วันนั้นมาถึง paper ผมเสร็จก่อนถึง deadline หลายสัปดาห์ รีบจองตั๋วรถไฟไปเลย ไปคนเดียวด้วย roommate เชียร์ลิเวอร์ เพื่อนคนอื่นทำงานไม่เสร็จ ฮาาาาา ... ไปถึงลงรถไฟ เปิด uber ตั้งหมุดไป Old trafford ไม่นานพี่แท๊กซี่ก็มารับ ... พอขึ้นรถเป็นพี่แขก จากปากีสถานเป็นคนขับ ขึ้นปุปพี่แขกปากี ถามสวนมาเลยว่า ไป Old trafford หรอ ? แค่นั้นแหละ จากนั้นคุยยาว ยังกับรู้จักกันมาก่อน แบบรู้เลยว่าคนที่อยู่ที่นี้อินเรื่องฟุตบอลจริงจัง ... พอไปถึงยืนถ่ายรูปหน้าสนามสักแปป ผมก็ไปรับตั๋วทัวร์สนาม (จองตั๋วผ่านเวปสโมสรมาก่อน จะได้ล็อคเวลากับรอบที่จะเข้า) เข้าไปก็มีครอบครัวพาลูก ๆ เด็ก ๆ คู่รัก เพื่อน ๆ มาเป็นแก๊ง ๆ อยู่ในรอบเดียวกัน เราก็ไปคนเดียวเหงาชิบเลย ...
... คนพาทัวร์เป็นลุงแก่ ๆ ผมขาว เล่าประวัติ ยิงมุขหยอกล้อกับพวกเราอย่างเป็นกันเอง แต่ละคำที่ลุงพูดนี้แบบ รู้สึกได้ว่าลุงพูดมาเป็นพันรอบแล้วอะ แต่ลุงแบบ passion มากที่จะพูดที่จะเล่าแบบไม่รู้สึกเหนื่อย จนแบบผมอินมาก ... จนมีมุมนึงใน musium ของสนาม เป็นมุมประวัติสโมสรช่วงที่เครื่องบินตกที่มิวนิค ผมก็ยืนอ่านข่าวที่เค้าโชว์ในตู้กระจก .... ผมก็อ่านไปเรื่อย ๆ ถึงช่วงที่ลิเวอร์พูลให้ยืมตัวนักเตะและยื่นมือเข้ามาช่วยเป็นสโมสรแรก ๆ หลังจากเหตุเครื่องบินตก แม้จะเป็นคู่แข่งกันอยู่ตอนนั้น ... จู่ ๆ ผมก็น้ำตาไหล ไหลแบบร้องไห้เลย มันไม่ได้แบบร้องไห้เสียใจ มันแบบว่าทำไมเราอินจังวะ ทั้ง ๆ ที่รู้เรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เคยอ่านมาแล้วตอนอยู่ไทย .... แต่ดีว่าผมเดินแยกมาคนเดียว ไม่มีคนอยู่ด้วย อายคน ...
มีอีกจุดนึงที่ผลประทับใจสโมสร คือ ตรงอัฒจันทร์ ฝั่งไหนผมจำไม่ได้ละ มันจะเป็นพื้นที่โล่ง ๆ ไม่มีเก้าอี้เลย ผมก็งง ว่าตรงนี้ไว้ยืนดูหรือยังไง .... ลุงแกเล่าว่า พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่สำหรับแฟนบอลคนพิการ จะมีเฉพาะผู้ป่วยกับคนดูแลเท่านั้น สโมสรให้แฟนบอลกลุ่มนี้เข้าสนามมาดูบอลได้ "ฟรี" และยังเป็น 1 ใน 2 สโมสรที่ยังทำอยู่จนถึงปัจจุบัน (ตัวเลขนี้ถ้าผมจำไม่ผิดนะ) สโมสรจะรักษาประเพณีนี้เอาไว้และมีแผนจะขยายพื้นที่ของผู้พิการให้ใหญ่ขึ้นอีก ... ถึงตรงนี้ ผมยืนฟังอยู่ รู้สึกแบบโคตรดีใจที่เชียร์ทีมนี้เลย แล้วลุงแกก็พาเดินทัวร์รอบ ๆ สนาม ชี้ให้ดูเก้าอี้โซนนี้ของทีมเจ้าบ้าน ทีมเยือน ผู้บริหารนั่งตรงนี้ บลา บลา .... เล่าถึงการดูแลหญ้าด้วย มีเชือกกั้นไม่ให้เข้าไปในสนาม ผมแอบก้มเอามือไปจับหญ้าทีนึง ฮาาาา .... ตอนออกก็เป็นร้านขายของที่ระลึก ผมก็สอยมาหลายสิ่ง เรียกว่าหมดตูด
.
ถึงตรงนี้เมื่อคืนผมเองก็เสียดายที่อดดูการแข่ง แต่ผมก็เข้าใจได้นะว่าทำไมแฟนบอลที่นั้นถึงประท้วงแบบนั้น ... ผมเองแค่เชียร์อยู่ไกล ๆ ยังอินจนร้องไห้ได้เลย นับประสาอะไรกับคนที่เกิด โต และอยู่ที่นั้นมาทั้งชีวิต .... ผมว่าพวกเขาแค่เรียกร้องให้ เกลเซอร์ ฟังเสียงพวกเขาบ้าง แต่นี้ 16 ปีที่ผ่านมาแทบจะเรียกได้ว่าเงียบกริบ ไม่ดูดำดูดี ไม่แม้แต่จะสื่อสารอะไรมายังแฟนบอลอย่างจริงใจ ... บางคนอาจคิดว่า แมนยูก็รวยอยู่แล้ว จะเอาไรอีก หลายทีมแย่กว่าตั้งเยอะ .... แต่ผมว่าแฟนบอลเค้าไม่ได้เรียกร้องเรื่องเงินนะ เค้าอยากให้เจ้าของแสดงความจริงใจมากกว่านี้ ฟังเสียงจากแฟนบอล ไม่ใช่มาดูดปันผล แล้วโยนภาระหนี้ให้สโมสร มันคงอัดอั้นมานานสิบกว่าปี ... ในคลิปข่าวตอนแฟนบอลประท้วงยังร้องเพลงเชียร์โอเล่อยู่เลย มันเลยพอเข้าใจได้ว่า การไล่เกลเซอร์เป็นจุดประสงค์ของการประท้วง ไม่ได้ไม่พอใจทีม
.... ส่วนเรื่องความรุนแรง การพังประตูบุกเข้าสนาม การไปบุกกั้นไม่ให้ทีมลงแข่ง ... อันนี้ผมว่ามันก็ไม่ควรทำแหละ แต่พอดูในคลิปส่วนใหญ่ที่ลงไปในสนามก็กลุ่มวัยรุ่น คงยากที่จะยับยั้งชั่งใจ และก็กลุ่มนี้แหละที่ทำให้ดูว่าการประท้วงดูไม่สงบไม่เหมาะสม ... แต่ในมุมนึงก็คิดว่า ถ้าไม่ทำขนาดนี้ เกลเซอร์จะฟังแฟนบอลมั้ย ก็คงเงียบ ๆ ไม่สนเหมือนเดิม ... แล้วถ้าฟังคลิปสัมภาษณ์เฮียรอย คีน เฮียแกรี่ ไมการ์ ริดชาร์ต กับเจมมี่ คาร์แรคเกอร์ ทั้งหมดบอกไปในทางเดียวกันว่า "เป็นการประท้วงอย่างสงบ"
ส่วนตัวผมว่ามันก็ไม่สงบ 100% แต่ผมเข้าใจได้ว่าทำไมมันมาถึงจุดนี้ ... ไม่โทษกลุ่มแฟนบอลที่นุ้นที่ทำให้ผมอดดูบอล เอาจริง ๆ ผมลองคิดดูว่า ถ้าเรามีแฟน แล้วเราคุยไรไป แฟนนิ่ง ๆ ไม่สนใจ ฟังหูซ้ายทะลุหูขวา วันนึงเราก็คงระเบิดเหมือนกัน ... พูดแล้วก็อยากกลับไปสนามอีกสักครั้ง ทุกวันนี้ผมยังเก็บเงินปอนด์อยู่ ตั้งใจว่าจะกลับไปใช้ที่อังกฤษ ไม่แลกคืน
Source:
https://www.skysports.com/football/news/29326/12293424/man-utd-protests-gary-neville-says-club-owners-the-glazers-to-blame-for-fan-protest