“สวยนะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ซิง”
“สวยนะ แต่น่าเสียดายที่ไม่ซิง”
ข้อความจากสเตตัสออนไลน์จากนิรนามที่หนึ่งกำลังโด่งดังทั่วโลกโซเชียล ทำให้สังคมเกิดการตั้งคำถามว่า ปี 2021 แล้วนะ แค่มีเซ็กซ์แล้วคุณค่าของคนจะต้องลดลงเหรอ? ทำไมผู้หญิงต้องพิสูจน์คุณค่าตัวเองด้วยเรื่องบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์? โลกเป็นอะไรนักหนากับร่างกายของผู้หญิง? ทำไมนางสีดาต้องลุยไฟ? ทำไมต้องบูชาพรหมจรรย์? ถึงเวลาแล้วหรือยังที่ต้องเลิกบูชาพรหมจรรย์วัดค่าผู้หญิงด้วยความ 'ซิงหรือไม่ซิง’ โดยในปี 2019 ‘Miley Cyrus' - นักร้องอเมริกันชื่อดังได้ออกมาโพสต์ภาพบนอินสตาแกรมของเธอว่า "Virginity Is a Social Construct" เพื่อแสดงว่าความซิงนี่แหละ มันคือสิ่งประกอบสร้างทางสังคม หาใช่คุณค่าอะไรเลย
SPECTROSCOPE - Stop Virginity Worship ‘ความซิง’ - วัดค่าผู้หญิงไม่ได้
‘ซิง’ = ยังบริสุทธิ์ ไม่เคยมีเซ็กซ์ แต่คำแสลงนี้ทำไมถึงมาเกี่ยวอะไรกับเซ็กซ์ บริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ จริงๆ ที่มาของคำแสลงนี้สามารถตีความได้ว่า มันอาจจะเริ่มมาจากประโยคคำถาม ‘Are you single?’ โสดหรือไม่โสด แล้วก็เอาคำมาตัดตอนพลิกแพลงเป็น ‘ซิงหรือไม่ซิง’ เพื่อลอบถามเป็นนัยว่าเคยมีเซ็กซ์มาก่อนหรือยัง ท้ายที่สุดแล้วมันก็ยังไม่มีจุดเริ่มต้นชัดเจนว่ามาจากไหน แต่มันก็นำไปสู่คำถามอื่นที่ว่า ซิงหรือไม่ซิงมันต่างกันยังไง แล้วจะเอาซิงไปทำอะไร?
#เอาซิงไปทำอะไร? คำถามนี้มีคำตอบและคำอธิบายในช่วงจีนสมัยปราชวงศ์ฉิน (260-210 ก่อนคริสตศักราช) จักรพรรดิจิ๋นซีสร้างคติธรรมตีตราผู้หญิงว่า ผู้หญิงที่ดีควรทำตัวอย่างไร และหนึ่งในคุณสมบัติที่ดีก็คือ การรักนวลสงวนตัว ทำให้ ‘พรหมจรรย์’ ถูกผูกติดกับคุณค่าความดีงามของผู้หญิง และพวกเธอต้องหาทางรักษามันไว้ เพื่อที่จะได้รับความเคารพในสังคมหรือในยุคสมัย ดังนั้น ความซิงจึงกลายมาเป็นสิทธิเสียงทางสังคมจีน เพราะมันสามารถต่อรองทางอำนาจและได้รับสิทธิพิเศษทางสังคมบางอย่าง เช่น ครอบครัวนั้นอาจจะไม่จำเป็นต้องส่งผู้ชายไปเกณฑ์ทหาร หรือ ได้รับซุ้มประกาศเกียรติคุณที่รักษาพรหมจรรย์ไว้ได้ ถ้าหากผู้หญิงไม่ซิง พวกเธอก็สามารถถูกลิดรอนสิทธิทางสังคม และถูกเลือกปฏิบัติหรือถูกเหยียด
ซิง = ผู้หญิงศักดิ์สิทธิ? - พรหมจารี (Virginity) เป็นคำที่ถูกผูกติดกับคำว่า บริสุทธิ์ (Purity) เพราะมันมีรากศัพท์มาจากภาษาละติน 'Virgo' ที่มีความหมายว่า ผู้หญิงเยาว์วัยและยังไม่มีประสบการณ์เรื่องเซ็กซ์มาก ต่อมาคำภาษาอังกฤษได้ทำให้มันกลายเป็นคำที่รวมถึงบุคคลที่ยังไม่มีเซ็กซ์ แทนรากศัพท์ละตินที่จำกัดไว้เฉพาะผู้หญิงแทน คำนี้ถูกนำไปผูกติดกับพระนางมารีย์ (Virgin Mary) มารดาผู้ให้กำเนิดพระเยซูจากการตั้งครรถ์ที่ไม่เคยมีเซ็กซ์มาก่อน และถูกยกย่องให้เป็นผู้หญิงศักดิ์สิทธิ ภรรยา แม่ ตลอดจนผู้หญิงดีมีคุณค่า
ปี 1983 มีนักเขียนเฟมินิสต์อเมริกัน 'Barbara G. Walker' ได้เสนอความหมายของคำว่า 'Virginity' โดยดั้งเดิมแล้ว มันคือผู้หญิงเยาว์วัยที่มีอิสระในตัวเอง ผู้หญิงที่สามารถมีอิสระในร่างกายของตัวเองและมีเซ็กซ์โดยไม่ถูกตีตราวัดคุณค่าว่าร่านหรือไม่ร่านต่างหาก แต่ไบเบิ้ลได้นำความหมายนี้ดัดแปลงให้มันหมายถึงผู้หญิงบริสุทธิ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะให้กำเนิดพระเยซูได้ เพื่อที่จะสร้างให้เกิดค่านิยมการรักนวลสงวนตัวให้บริสุทธิ์ก่อนแต่งงาน และหากผู้หญิงใดไม่ปฏิบัติตามค่านิยมนี้ พวกเธอก็จะถูกแปะป้ายตีตราว่าร่าน (Slut-Shaming) และเป็นผู้หญิงไม่ดี ไม่มีคุณค่าพอให้แต่งงาน เป็นคนรัก แม่ และภรรยาที่ดีไม่ได้
คำว่า ‘หญิงพรหมจารี’ อ้างอิงจากความหมายตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 มีความหมายว่า ผู้หญิงที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์มาก่อน คำนี้เริ่มเข้ามาในไทย และกลายเป็นค่านิยมคำสอนผู้หญิง ให้รักนวลสงวนตัวในช่วงยุคสมัยรัชกาลที่ 4 ที่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดในโลกตะวันตก สมัยพระนางวิคตอเรียที่สร้างบรรทัดฐานทางสังคมว่า เซ็กซ์เป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องส่วนตัวควรถูกสงวนไว้หลังแต่งงานเท่านั้น
จุดร่วมกันของทั้ง 2 ความเชื่อในการบูชาพรมจรรย์ได้นำไปสู่การสร้างคุณค่าควบคุมร่างกายผู้หญิงว่า ผู้หญิงที่ไม่ซิง คือ ผู้หญิงที่ไม่มีคุณค่าควรจะเป็นภรรยาหรือคนรัก ไม่ซิงก็คือร่าน ไร้ค่า การมีเซ็กซ์จะทำให้คุณค่าของคนลดหายไป ทั้งๆ ที่เซ็กซ์และคุณค่าคนไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย การมีเซ็กซ์เป็นเรื่องปกติและมันไม่ใช่เรื่องน่าละอายใจ ร่างกายและคุณค่าของผู้หญิงไม่ได้จะต้องถูกยืนยันค่าด้วยการเป็นภรรยา แม่ หรือเมียสำหรับผู้ชาย ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านทางความเชื่อในไทยหลายๆ อย่าง เช่น
#สีดาลุยไฟ นี่คือเหตุการณ์ในเรื่องราวในวรรณคดี ‘รามเกียรติ์’ ที่สีดาต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเธอหลังจากถูกสงสัยจากพระรามว่า เธอถูกลักพาตัวไปโดยทศกัณฐ์ เธอนอกใจและไม่บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว พวกเขาไม่เชื่อคำพูดของสีดาและพยายามปิดปาก ทำให้เธอต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการเดินลุยไฟเพื่อแค่จะให้สังคมและผู้ชายเชื่อว่าเธอบริสุทธิ์ สีดาเองก็คือ เหยื่อของปิตาธิปไตยและการบูชาพรมจรรย์ที่เข้ามาควบคุมร่างกายวัดคุณค่าของเธอโดยสังคมชายเป็นใหญ่
#ให้สาวซิงต้องปักตะไคร้ไล่ฝน - เมื่อพูดถึงความเชื่อไทยและผู้หญิงซิง คนก็จะนึกถึงมุกตลกขำขันที่ล้อเลียนว่า ผู้หญิงคนนี้ปักตะไคร้ไม่ได้ เพราะเธอไม่บริสุทธิ์และฝนจะตก ความเชื่อที่ว่าสาวซิงจะปักตะไคร้ไล่ฝนได้นั้นมาจากการส่งต่ออิทธิพลความเชื่อทางศาสนาพุทธ ผู้หญิงพรหมจรรย์เท่านั้นที่สามารถกวนข้าวทิพย์บูชาพระพุทธเจ้าได้เพราะผู้หญิงซิงมีศีลธรรม จิตใจ และวิญญาณที่ต่อรองกับสิ่งศักดิ์สิทธิได้ แต่ในบางพื้นที่ก็จะใช้หญิงหม่ายแทนในการปักตะไคร้ ไม่จำเป็นต้องให้ผู้หญิงบริสุทธิ์ปักตะไคร่ไล่ฝนเสมอไป และความเชื่อไล่ฝนก็ยังมีอีกมากมายที่ไม่จำเป็นต้องผูกติดกับผู้หญิงซิงปักตะไคร้
องค์กรอนามัยโลก WHO ก็ได้ตอบคำถามนี้ ว่าด้วยการระบุความหมายของพรหมจรรย์ว่า "พรหมจรรย์ ไม่ใช่คำศัพท์ทางการแพทย์และทางชีววิทยา" กล่าวคือ มันไม่ใช่เรื่องธรรมชาติที่ผู้หญิงจะต้องมีเลือดออกจากเยื่อพรหมจารีหลังจากการมีเซ็กซ์ครั้งแรกเสมอไป และร่างกายของผู้หญิงไม่ได้จะมีความเปลี่ยนแปลงไปหลังจากมีเซ็กซ์ หรือมีคุณค่าใดลดน้อยลงหลังจากมีเซ็กซ์ โดยตั้งแต่ปี 2018 WHO เองก็ได้ออกแคมเปญให้ทั่วโลกหยุดการตรวจพรหมจรรย์ เพราะมันเป็นการละเมิดสิทธิผู้หญิงและสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ตลอดจนเรื่องเซ็กซ์ ความซิงหรือไม่ซิง มันไม่ควรถูกเอามาวัดคุณค่าของผู้หญิงเลยด้วย
https://www.facebook.com/showyourspectrum/photos/a.276495186375492/725990158092657/
#StopVirginityWorship
#VirginityIsASocialConstruct
#StopControllingWomanBodies
Content by Phattharadon Werachaianrong
Graphic by Napaschon Boontham
สนทนาเรื่องเพศได้ที่กลุ่ม ‘เพศ’:
https://bit.ly/2LKTzTg
อ่านคอนเทนต์เรื่องเพศอื่นๆ:
https://bit.ly/3hhRUzp
อ้างอิง
WHO:
http://bit.ly/3rdqAHs
Slipa-Mag:
https://bit.ly/35d6R0u
Arsomsiam:
https://bit.ly/2U9xQVJ
BBC:
http://bbc.in/386X12D
SBS:
http://bit.ly/3bYes6C
Cosmopolitan:
https://bit.ly/2FERMwd
Mgronline:
https://bit.ly/3qcZsXN
Bangkokbiz:
https://bit.ly/3bNqjEx
ภาพ:
https://bit.ly/3kFXJZF