อ้างอิงจากบทเรียนเรื่อง บ้าน และ เมือง ในสมัยผมเรียน Thai Soc

สังคมไทยบ้านเราแบ่งออกหลักๆ เป็น 2 สังคมด้วยกันคือ

1. สังคมเมือง
2. สังคมชนบท

เข้าเรื่อง

สังคมเมือง หรือ กลุ่มคนในเมือง

มีค่านิยมที่มักจะถูกปลูกฝังกันมาคือ เรียนหนังสือเยอะๆ

สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ เพื่อไปหางานดีๆทำ

ยกตัวอย่างเช่น กระแสหลักในการเรียนเพื่ออยากให้ลูกได้เป็นหมอ ได้เป็นวิศวะ

ในขณะที่สังคมชนบทเขาก็ถูกปลูกฝังมาให้เรียนเหมือนกัน

เพียงแต่กำลังใครไหว ก็กัดฟันสู้ไป แต่ส่วนใหญ่ก็อย่างที่เราเห็นๆกัน

คือหลายคนเรียนจบ แต่ไม่มีโอกาสได้ไปต่อ หลายคนไม่มีโอกาสในการเรียน

หลายคนพากันเกาะกลุ่ม เกเร มีลูกแต่ยังเด็กก็มี เป็นต้น

ในขณะที่ส่วนใหญ่ของกลุ่มคนในสังคมเมือง พากันเรียน สอบเข้ามหาวิทยาลัยต่างๆได้

ก็จะมีกลุ่มคนที่สอบไม่ได้ รวมถึงไม่ได้ไปสอบต่อ ทำให้บางคนเบนหนีออกจากเส้นทาง

ในการเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อประกอบอาชีพในสายวิทย์ และ สังคม

ดังนั้นตัวเลือกชีวิตของเขาเหลืออะไรบ้าง

1. หาทางเรียนต่อให้ได้ ( ใครมีปัจจัยอะไรก็ไปจัดการเอาเอง เช่น เรื่องเงิน เรื่องที่บ้าน )
2. เลิกเรียน ไปหาอาชีพทำ หารายได้เลี้ยงตัวเอง แล้วอาชีพมีอะไรบ้าง

- รับจ้างรายวัน
- ช่วยที่บ้าน
- ตำรวจ/ทหาร
- อื่นๆ

เอาจริงๆเพื่อนผมในสมัยที่เรียน ม.ปลายด้วยกัน ก็มีคนเก่งๆ เลือกเรียนนายร้อย

แต่ % มันน้อยมากๆ ไม่เกิน 5 % จากคนเกือบ 7-8 ร้อยคนต่อรุ่น

ซึ่งอันนั้นเก่งจริง ก็ต้องยอมรับกันไป

แต่ถ้าเทียบกับจำนวนประชากรของตำรวจ และ ทหารทั้งหมดแล้ว ก็ถือว่าเป็นส่วนน้อยอยู่ดี

กลับมาที่กลุ่มคนที่ไม่ติด/ไม่มีโอกาสในการเรียนมหาวิทยาลัยต่อ

ในเมื่อไม่ไปสอบต่อเข้ามหาลัย เพราะ ไม่มีโอกาส/จังหวะชีวิตไม่ได้

เขาก็หันไปสมัครอาชีพดังกล่าวข้างบนเพื่อหาเลี้ยงชีพ

โดยมีตำรวจ / หทาร เป็นหนึ่งในตัวเลือกด้วย

พอจะสรุปได้ไหมว่า

1. ตำรวจ ทหาร ส่วนใหญ่ก็คือคนคุณภาพการศึกษาต่ำ

ที่สอบไม่ติดมหาวิทยาลัย หรือ ไม่มีโอกาสในการศึกษาต่อ หรือ ไม่มีเงินในการเรียนมหาวิทยาลัย

ดังนั้นเขาจึงหันเหความสนใจไปหาตัวเลือกที่ง่ายกว่านั้นก็คือการสมัครตำรวจ และ ทหาร

เพื่อหารายได้เลี้ยงชีพ จึงส่งผลให้


2. ภาพลักษณ์ที่คนส่วนใหญ่เห็น หรือ มีต่อตำรวจ และ ทหาร

จึงค่อนข้างคล้ายกับคนการศึกษาน้อย

ทำตัวเหมือนเด็กแว๊นในเครื่องแบบ

ส่วนพวกเก่งๆ ก็ไม่ได้ลงมาพื้นที่ด้วย คอยสั่งการอยู่แต่ข้างบน

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมอ้างอิงจากวิชาที่เคยเรียน และ เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวเท่านั้นนะครับ

ไม่ได้จะมาดราม่าอะไร

อยากสอบถามความเห็นของท่านอื่นๆว่า คิดเห็นเช่นไรบ้าง

หรือมีข้อมูลมาเสริม มาหักล้าง ก็ตามสบาย

ขอบคุณครับ

ผมว่าต่อให้คนเก่งสอบเข้าสองอาชีพนี้ สังคมภายในนั้นมันก็บีบให้คุณใช้กำลังแก้ปัญหามากกว่าใช้สมองอ่ะ ดูตัวอย่างจากที่ 1 ของรุ่นในอาชีพทหารสิ

ผมว่าต่อให้คนเก่งสอบเข้าสองอาชีพนี้ สังคมภายในนั้นมันก็บีบให้คุณใช้กำลังแก้ปัญหามากกว่าใช้สมองอ่ะ ดูตัวอย่างจากที่ 1 ของรุ่นในอาชีพทหารสิ

ก็จริงอย่างที่ท่านว่า ชั้นประทวนใช้วุฒิ ม.6 สมัคร สอบติดก็ได้เป็นแล้ว ปัจจุบันคนจบปริญญาก็เข้ามาเป็นกันเยอะ เพราะงานเรามีให้เลือกน้อย ข้าราชการก็เป็นอาชีพที่มั่นคงในแง่ของ ไม่อดตาย และมีเบิกจ่ายให้พ่อแม่ สิ่งที่มันสะท้อนออกมาก็คือ ประเทศเราไม่ใช่รัฐสวัสดิการแบบสุขสบาย มีสามสิบบาท มีประกันสังคม แต่สิทธิมันต่างกับการเบิกจ่ายของข้าราชการอยู่ดี พ่อแม่ยุคเบบี้บูมจึงพยายามโน้มน้าวให้คนเจ็นใหม่เข้าไปเป็นเพื่อเอาสิทธิเบิกจ่าย ต้องทนอยู่กับระบบ กฎระเบียบที่มันยุบยิบ ผมเชื่อว่าถ้าใจไม่รักจริงๆ ไม่มีใครอยากเป็นสองอาชีพนี้เท่าไหร่ แต่ทำเพื่อครอบครัว เมื่อเอาครอบครัวเป็นเดิมพัน คนพวกนี้ก็ไม่ call out สรุปเขาจะออกมาแสดงออกก็ต่อเมื่อ เขาลำบากหรือจวนตัว (เหมือนการบินไทย หรือพวกกรีซ เวเน)

เคยดูในทีวี ข้อสอบนายสิบ
มันโคตรแห่งความงี่เง่าเลย
อย่าว่าแต่เป็นตำรวจเลย
จะเป็นคน ที่ผ่านป.1 -ม.6 ภาคบังคับ
มันไม่ควรจะมีปัญญญาทำข้อสอบแค่นี้

เพื่อนผมที่เก่งๆไปเป็นทหารก็มีครับ แต่จะไปอยู่ทหารเรือกับทหารอากาศ ทหารบกกับตำรวจนี่ 0 คนถ้วน

แล้วทหารเรือเพื่อนหรือรุ่นพี่ผมเนี่ย ด่าทหารบก ด่าตำรวจ เชียร์ม๊อบ 5555

ถูกครับ ลองจินตนาการดู

1. การศึกษาต่ำ + 2. ระบบเอานาย

จะออกมาเป็นแบบไหน

แล้วดันกลายเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ด้วย

ของเพื่อนผม จบ ป.โท มาไปเป็นทหารก็มีครับ

แต่ไปเป็นทำไม อันนี้ไม่เข้าใจเหมือนกัน

เลยต้องอ้างอิงว่า เป็นกลุ่มคนส่วนน้อย ไว้ครับ เพราะน้อยมากจริงๆ

ทั้งชีวิตพึ่งเจอ 1 คน

โรงเรียนนายร้อย รับคนที่จบ ม.4-6 โรงเรียนนายสิบ และ โรงเรียนพลตำรวจ รับคนที่จบ ม.ปลาย หลังจากนั้นก็ไปเรียนในแบบ ตำรวจหรือทหารเพียวๆ

ถึงจะมีหลักสูตร วิศวะ หรือ วิทยาศาสตร์ ผสมบ้าง แต่ก็เป็นการเรียนที่แยกตัวออกจากสังคมปกติ

ซึ่งประเด็นนี้ผมคิดว่า การที่แยกการศึกษาทั้งหมดไปเรียนกันเอง ทำให้ไม่รู้ว่าคนอาชีพอื่นสายการเรียนอื่นเค้ามีชีวิตอยู่กันยังไง

ช่วงเวลาที่เราจะเรียนรู้การใช้ชีวิตกับคนที่แตกต่าง กับเพื่อนที่ไม่เหมือนกับเรา มากที่สุดก็ตอนมหาลัย

แต่โรงเรียนทหารตำรวจสอนให้เหมือนกันพร้อมเพรียงกัน คิดเหมือนกัน เชื่อฟังคำสั่ง

แถมวัฒนธรรมการใช้อำนาจกดขี่ก็มีอย่างเข้มข้นระหว่างรุ่น ซึ่งต่างกับการเรียนมหาลัย อย่างสิ้นเชิง

ดังนั้นผลผลิตของโรงเรียนเหล่านี้ ไม่น่าแปลกใจที่จะออกมาไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา

เพื่อนผม จบ ป.ตรี วิศวะไฟฟ้า เกรียตินิยม มข. ทำงานสายวิศวะได้ 2-3ปี ลาออกไปสอบทหารอากาศ ตอนนี้ก็เป็นทหารอากาศ

โรงเรียนนายร้อยไม่ใช่แน่ พวกเอาวุฒิตรี/โทไปสอบก็ไม่ใช่

พวกโรงเรียนนายสิบอ่ะ พอจะเข้าสมมุติฐานนี้ได้

คือพวกนี้mindsetแบบรัฐราชการอ่ะ นึกอะไรไม่ออกกูเป็นราชการไว้ก่อน

แว๊นติดยศ แล้วพวกนี้จะโลกทัศน์แคบ เพราะแค่ฟังคำสั่งนายแม่งก็หมดวันแล้ว

ไม่มีเวลานั่งคิด วิเคราะห์ แยกแยะ หรือไปสนใจเรื่องอื่นๆ

ผมว่าคนติดนายร้อยนี่เก่งอยู่นะ แต่อาจจะแบบ เข้าไปแล้วโดนระบบกลืนกิน

แต่พวกนายสิบนี่ทรงงี้แหละ

ไม่เชิงครับ คนเก่งหรือคนมีการศึกษาสูงๆ ส่วนใหญ่จะได้งานฝ่ายบริหารครับ ส่วนงานคุมกำลังคนหรือคนตัดสินใจจะมาจากรุ่นหรือกลุ่มเดียวกันครับ เลยเป็นอย่างที่เห็น หรือที่เราแซะว่ามีนายพลเยอะๆ นั่นละ จะมีคนจากฝ่ายบริหารขึ้นมาเป็นกันพอสมควร แต่ไม่มีอำนาจอะไรครับ ว่าง่ายๆ เอายศเพื่อเพิ่มเงินเดือนนั้นละ จะต่างกับสายคุมกำลัง อันนี้ได้ทั้งอำนาจและเงินครับ

ที่ผมรู้จัก เป็นเพื่อนเก่าที่เป็นหัวโจก สมัยเรียน ม.ปลายทั้งนั้นครับ

ไม่ต้อง ทร. หรือ ทอ. หรอกครับ เพื่อนผมกับคนที่ผมรู้จักเกือบทุกคน ทั้ง ทบ. และ ตร. ก็ด่า รบ. แล้วก็ให้กำลังใจพวก นศ. ทั้งนั้นครับ เว้นแต่พวก ผบช. ชั้นสูงที่มาจากสายหลักแหละครับที่มีความเห็นตรงกันข้าม

รสนิยมต่ำด้วย เสื้อผ้า หน้า ผม แม่งแทบจะเหมือนกันหมด

ยิ่งเข้าไปดูในติ๊กตอก เมียนี่สก๊อยขายครีมล้วน