หนึ่งในช็อตคลาสสิคของวงการฟุตบอลเยอรมัน เกิดขึ้นในวันที่ 5 มีนาคม 2016 ในเกมที่บาเยิร์น มิวนิค บุกไปเสมอดอร์ทมุนด์ 0-0 ที่เวสต์ฟาเล่น สตาดิโอน

90 นาทีจบลงไป ไม่มีดราม่าอะไร นักเตะทั้งสองทีม ยืนจับไม้จับมือกันตามปกติ อย่างไรก็ตาม มีช็อตสำคัญเกิดขึ้น เมื่อเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เดินลงสู่สนาม เขาไม่คุยกับใครทั้งนั้น ก่อนจะเดินตรงไปหาโจชัว คิมมิช ดาวเตะวัย 21 ปีของทีม แล้วยืนตะคอก ดุด่ากลางสนามเกือบ 2 นาที ซึ่งตัวนักเตะได้แต่ก้มหน้า รับฟังอย่างเดียว
เพื่อนร่วมทีมก็เห็นเหตุการณ์ ทั้งฟรองค์ ริเบรี่, อาร์เยน ร็อบเบน และอาร์ตูโร่ วิดัล แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรได้ ใครจะไปกล้าสอดสิ่งที่กวาร์ดิโอล่าพยายามทำอยู่
แบ็กกราวน์เรื่องนี้เป็นอย่างไร และเป๊ปพูดอะไร เราต้องย้อนกลับไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่แรก


โจชัว คิมมิช เกิดที่หมู่บ้านเล็กๆในเยอรมันชื่อโบซิงเก้น เขาลงเล่นอยู่กับสโมสรเยาวชนท้องถิ่น โดยไอดอลของคิมมิช คือกองกลางที่คอนโทรลเกมได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่น ซีเนอดีน ซีดาน, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ และ โทมัส โรซิคกี้


ตอน 9 ขวบ ทีมโบซิงเก้นลงสนามพบกับทีมเยาวชนของสตุ๊ตการ์ตซึ่งเป็นทีมระดับบุนเดสลีกา ปรากฏว่าผลการแข่งขันกลับพลิกล็อค เมื่อโบซิงเก้นชนะ 3-2 และเกมนั้นคิมมิช ยิงคนเดียว 3 ประตู
เมื่อฟอร์มโดดเด่นขนาดนั้น ทำให้สตุ๊ตการ์ตยื่นข้อเสนอขอดึงตัวคิมมิชไปร่วมซ้อมกับทีมอะคาเดมี่ของตัวเอง แต่คุณพ่อของนักเตะปฏิเสธโดยอธิบายเหตุผลว่า สตุ๊ตการ์ตอยู่ห่างจากบ้านเกิดเป็นร้อยกิโลเมตร และถ้าคิมมิชย้ายไป ก็ต้องอยู่ห่างจากครอบครัว เด็กวัย 9 ขวบ เป็นไปไม่ได้ที่พ่อแม่ จะยอมปล่อยไปแบบนั้น
หรือถ้าจะให้พ่อแม่ขับรถไปส่งทุกวัน จากบ้านกับสโมสร ระยะทางร้อยโลก็กินเวลาไปกลับหลายชั่วโมง ตัวเด็กซึ่งอายุแค่ 9 ขวบ ต้องอยู่บนรถตลอดเวลาขนาดนั้น คงน็อกกันพอดี
คิมมิชเสียดายโอกาส เพราะมันยากที่ทีมระดับบุนเดสลีกาจะยื่นโอกาสดีให้ร่วมซ้อมกับทีมเยาวชนของสโมสร แต่พ่อยังไงก็ไม่ให้ไป พร้อมบอกว่า "ถ้าใครสักคนต้องการอะไรจากเราจริงๆ เมื่อนั้นพวกเขาจะกลับมาหาเราเสมอ"
เวลาผ่านไป คิมมิชเฝ้ารอว่าสตุ๊ตการ์ตเมื่อไหร่จะยื่นข้อเสนอมาให้อีกรอบ แต่สโมสรก็ไม่ยอมยื่นให้เสียที จนผ่านไป 3 ปีเต็ม คิมมิชตอนแรกจะหมดหวังแล้ว แต่สตุ๊ตการ์ตก็กลับมา ถามอีกครั้งว่าสนใจจะไปร่วมซ้อมกับทีมอะคาเดมี่หรือไม่


ตัวคิมมิชอยากไปร่วมซ้อมด้วย เพราะสตุ๊ตการ์ตเป็นทีมชั้นดี สโมสรเพิ่งคว้าแชมป์บุนเดสลีกามาสดๆร้อนๆ และนักเตะระดับโลกหลายคน ก็เริ่มต้นอาชีพจากสตุ๊ตการ์ตก่อน อย่างฟิลิป ลาห์ม ก็เป็นหนึ่งในนั้น การที่ลาห์มก้าวไปสู่ระดับโลกได้ เชื่อว่าช่วง 2 ปีที่บาเยิร์นปล่อยให้สตุ๊ตการ์ตยืมตัว ส่งผลให้นักเตะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด คิมมิชเองก็เลยเชื่อว่า ที่สตุ๊ตการ์ตเขาจะเก่งขึ้นได้แบบนั้น
ปัญหาคือ ทางสตุ๊ตการ์ตเอง ไม่ได้มองเขาเป็นตัวเลือกที่สำคัญอะไรนัก กล่าวคือทาบทามก็จริง แต่ไม่ได้ให้สัญญาแบบ Full-time ถ้าอยากมาก็ต้องจัดการเรื่องที่พักอาศัย และการเดินทางเอง
ซึ่งหลังจากที่บ้านปรึกษากัน สุดท้ายก็ยอมตกลงรับเงื่อนไขของสโมสร ในแต่ละวัน คิมมิชต้องตื่น 7 โมงเช้าเพื่อไปเรียน พอเรียนเสร็จพ่อจะขับรถ 100 กิโลเมตร พาไปซ้อมที่สตุ๊ตการ์ตที่อยู่คนละเมือง จากนั้นก็ขับกลับบ้าน กว่าจะถึงก็ 4 ทุ่ม คิมมิชก็เหนื่อยจัดต้องนอนทันที วันๆผ่านไป โดยไม่ได้ทำอะไรอย่างอื่นเลย แต่เขาก็กัดฟันสู้เพื่อความฝัน


จนเมื่อถึงในปี 2009 ตอนคิมมิชอายุ 14 นั่นแหละ เขาจึงได้สัญญาแบบ Full-Time ที่สโมสรจะจัดการจ่ายค่าที่พักให้ทั้งหมด คราวนี้เขาจึงได้ย้ายมาอยู่หอพักสักที โดยไม่ต้องไปกลับเป็นร้อยกิโลทุกวันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว
คิมมิช ถือว่าเป็นดาวรุ่งที่ฝีเท้าโอเค เขาติดเยาวชนทีมชาติชุดเล็ก ตั้งแต่ u-17 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าเขายังไม่ได้เด่นอะไรขนาดนั้น ไม่เหมือนกับเคสของมาริโอ เกิตเซ่ ที่เป็นดาวรุ่งอัจฉริยะในรอบ 30 ปี เห็นปั๊บรู้เลยว่าเด็กคนนี้เก่งแน่ แต่คิมมิชก็อยู่ในระดับกลางๆ ไม่ได้รู้สึกว้าว ขนาดที่ทุกทีมแย่งกัน
เข้าสู่ปี 2013 คิมมิชอายุ 18 ปี เจ้าตัวแจ้งความจำนงกับสโมสรว่า เขาพร้อมแล้วที่จะขยับจากทีมอะคาเดมี่ ไปลงเล่นให้ทีมสตุ๊ตการ์ต ชุดสำรอง ที่เล่นในดิวิชั่น 3 ของเยอรมัน อย่างไรก็ตามสโมสรปฏิเสธ โดยบอกว่า "นายยังไม่แกร่งพอ และมีนักเตะ 2-3 คนในตำแหน่งนี้ที่เล่นดีกว่านาย ซึ่งนายไม่มีโอกาสหรอก ที่จะเอาชนะพวกเขาเหล่านั้นแล้วแย่งตัวจริงได้"


สามคำที่คิมมิชจำขึ้นใจจากสตุ๊ตการ์ตคือ "นายอ่อนแอเกินไป ตัวเล็กเกินไป และช้าเกินไป"
เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงขึ้นบัญชีขอย้ายทีมทันที "มันยากที่จะยอมรับนะ เมื่อได้ยินแบบนั้นผมต้องการพิสูจน์ให้ผู้คนเห็นว่า ผมทำได้ และถ้าสโมสรแห่งนี้ไม่เชื่อใจผม ผมก็อยากย้ายไปอยู่สโมสรที่เชื่อใจผมแทน"
สตุ๊ตการ์ตปล่อยคิมมิชแบบไม่คิดมาก ไม่ได้ยื้ออะไร ให้สโมสรไลป์ซิก ทีมในระดับดิวิชั่น 3 ในฤดูกาล 2013-14 ด้วยราคา 500,000 ยูโร โดยมีอ็อปชั่นซื้อกลับมาได้ในราคา 750,000 ยูโร
เมื่อย้ายทีมผลงานของคิมมิชก็โอเค เขาลงสนาม 26 นัด ช่วยไลป์ซิกเลื่อนชั้น จากดิวิชั่น 3 มาเล่น ดิวิชั่น 2 ได้สำเร็จ


เมื่อจบฤดูกาล คิมมิชเล่นดีใช้ได้ จึงมีกระแสข่าวว่าสตุ๊ตการ์ตควรซื้อขาดกลับมาหรือไม่ก่อนเริ่มฤดูกาล 2014-15 แต่สุดท้ายสตุ๊ตการ์ตก็ไม่สนใจ จะเอาคิมมิชกลับมาทำไม เอามาก็ไม่มีตำแหน่งลงอยู่ดี
ตัวคิมมิชรู้สึกผิดหวัง กล่าวคือสตุ๊ตการ์ตซึ่งเป็นสโมสรที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมาแท้ๆ กลับไม่ได้เชื่อมั่นในตัวเขาเลย เหมือนกับมองว่ายังไงเขาก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จได้ อ็อปชั่นซื้อกลับแค่ 750,000 ยูโร แต่ยังไม่ยอมใช้อีก
เข้าสู่มกราคม 2015 ระหว่างที่คิมมิช ยังเล่นฟุตบอลในระดับดิวิชั่น 2 กับไลป์ซิก เขาได้รับสายโทรศัพท์จากเอเยนต์ส่วนตัว กับข้อความที่เขาเองก็คาดไม่ถึง
"มีสโมสรสนใจนาย" เอเยนต์เริ่ม
"สโมสรไหน"
"บาเยิร์น มิวนิค อยากได้ตัวนายไปอยู่ด้วย"
"อย่ามาล้อฉันเล่น"

แต่เมื่อเอเยนต์พูดว่าบาเยิร์นสนใจจริงๆ คิมมิชก็ไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไร เพราะเขาเองเป็นแค่นักเตะในระดับดิวิชั่น 2 ไม่เคยเล่นบุนเดสลีกาแม้แต่เกมเดียว มันไม่มีเหตุผลอะไรที่บาเยิร์น ที่จะซื้อใครก็ได้ในโลกต้องมาสนใจอะไรในตัวนักเตะโนเนมแบบเขา


ความเป็นจริงก็คือ บาเยิร์นเองก็ไม่ได้อยากได้คิมมิช เพราะพวกเขามั่นใจในนักเตะอะคาเดมี่ของตัวเองอยู่แล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องไปเอานักเตะอะคาเดมี่จากที่อื่นมาปั้นต่อ ยกเว้นคุณจะเป็นสตาร์ระดับโลกแบบเกิตเซ่นั่นก็อีกเรื่อง แต่กับคิมมิชเนี่ยนะ? เขาจะต่างจากดาวรุ่งทั่วๆไปอย่างไรล่ะ
แต่ประเด็นที่ทำให้บาเยิร์นต้องยอม เพราะคิมมิชคือ wunschspieler หรือนักเตะที่โค้ชร้องขอสโมสรว่าต้องซื้อ
ตั้งแต่เป๊ป กวาร์ดิโอล่าย้ายมาบาเยิร์น มีนักเตะแค่ 3 คนเท่านั้นที่เขาขอสโมสรว่ายังไงก็ต้องซื้อให้ได้ ประกอบด้วย มาริโอ เกิตเซ่, ติอาโก้ อัลคันทาร่า และ โจชัว คิมมิช


สองคนแรกใครๆก็เข้าใจ เกิตเซ่คืออัจฉริยะ ส่วนติอาโก้ เป็นผู้เล่นที่เข้าใจระบบทุกอย่างของเป๊ปที่บาร์เซโลน่า แต่กับคิมมิชที่ยังไม่เคยมีผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีใครทราบเหตุผลว่าทำไมกวาร์ดิโอล่าถึงอยากได้นัก แต่เมื่อโค้ชขอมาแบบนั้น ผู้บริหารก็ไม่มีทางเลือก ใครจะไปกล้าขัดใจเป๊ปได้ล่ะ
คิมมิชเองยังคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องตลก คนอย่างเป๊ปเนี่ยนะ จะมาสนใจเขา เขาพูดกับเอเยนต์ว่า "ฉันต้องการได้ยินจากปากของเขา ถึงจะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง"


เมื่อคิมมิชว่ามาแบบนั้น กวาร์ดิโอล่าจึงนัดคิมมิชมาคุยกันที่ออฟฟิศของบาเยิร์น มิวนิค ถึงจุดนี้คิมมิชรู้แล้วว่า มันไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เป๊ปศึกษาเขามาอย่างละเอียดที่สุด บอกจุดแข็ง และจุดอ่อน พร้อมกับยืนยันว่าจะช่วยให้คิมมิชเป็นนักเตะที่ดีขึ้น และรู้จักการเล่นฟุตบอลหลายสไตล์มากกว่านี้
และคำพูดที่โดนใจที่สุด ที่กระทบใจคิมมิชอย่างจังจนถอนตัวไม่ขึ้นก็คือ "ฉันต้องการนายในทีมนี้นะ"
มันคือสิ่งที่เขาไม่เคยได้รับอย่างแท้จริงจากใครเลย แล้ววันหนึ่งโค้ชระดับโลกอย่างกวาร์ดิโอล่าบอกว่าอยากได้เขาจริงๆ เขาจะกล้าปฏิเสธคำพูดนี้ได้อย่างไรล่ะ


สำหรับสตุ๊ตการ์ตทันทีที่ได้ยินว่าบาเยิร์นอยากได้ตัวคิมมิช ก็รีบใช้อ็อปชั่นซื้อกลับทันที จ่ายให้ไลป์ซิก 750,000 ยูโร เพื่อดึงคิมมิชกลับมา คราวนี้ถ้าบาเยิร์นอยากเจรจาซื้อขาย ก็ต้องมาคุยกับพวกเขาแทน
ตอนแรกมีการประเมินว่าถ้าบาเยิร์นซื้อตรงจากไลป์ซิกนักเตะอาจมีราคาแค่ 2-3 ล้านยูโร แต่พอกลับมาอยู่กับสตุ๊ตการ์ต จึงโดนโก่งราคาไปถึง 7 ล้านยูโร ซึ่งผู้บริหารของเสือใต้ทำอะไรไม่ได้ 7 ล้านก็ต้อง 7 ล้าน เพราะนี่เป็นคนที่กวาร์ดิโอล่าอยากได้


สุดท้ายบาเยิร์น จ่าย 7 ล้านยูโรซื้อตัวคิมมิชจากสตุ๊ตการ์ต แต่ปล่อยให้ไลป์ซิกใช้งานไปก่อนจนครบซีซั่น จากนั้นค่อยย้ายมาร่วมทีม ก่อนเริ่มฤดูกาล 2015-16
----------------------------

การจ่ายเงินซื้อนักเตะดิวิชั่น 2 โดนสื่อมวลชนวิจารณ์ยับเยิน โดยนิตยสารคิกเกอร์ ระบุว่า คิมมิช คือนักเตะดีที่สุดอันดับ 53 ในดิวิชั่น 2 และนึกไม่ออกว่ากวาร์ดิโอล่าคิดอะไรอยู่ ทำไมเอาผู้เล่นเลเวลนี้มาอยู่ด้วย
สื่อบางสำนักบอกว่า สำหรับนักเตะที่เกิดในปี 1995 คิมมิชอยู่ห่างไกลจากคนอื่นตั้งเยอะ มีตัวดังๆที่น่าจะเวิร์กกว่าเยอะแยะ เล่นลีออน โกเร็ตซ์ก้า หรือ มักซ์ เมเยอร์ ขณะที่รุ่นน้องอย่างติโม แวร์เนอร์ ที่เกิดปี 1996 ดูมีแววความเป็นซูเปอร์สตาร์มากกว่าอีก


ฮุบ สตีเว่นส์ โค้ชของสตุ๊ตการ์ตกล่าวอย่างแฮปปี้ว่า "ผมก็อยากลองใช้งานเขาดูนะ แต่เงิน 7 ล้านยูโร กับนักเตะที่ไม่เคยเล่นบุนเดสลีกาเลยสักเกมเดียว มันก็เป็นตัวเลขมหาศาลนะ"
ส่วนเว็บไซต์ยาฮู วิจารณ์ว่า "เขาสูง 177 หนัก 69 กิโลกรัม จุดอ่อนของเขาเห็นๆคือความแข็งแกร่งของร่างกาย"
ขณะที่เว็บ Bleacher Report กล่าวว่า "คิมมิชไม่ใช่ผู้เล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ เขาไม่ใช่นักเตะกองกลางที่เก่งที่สุดในรุ่นด้วยซ้ำ แต่ทีมอย่างบาเยิร์น มิวนิค ไม่เคยลงทุนถ้าไม่มั่นใจว่าจะได้ของดี และเวลาจะเป็นคำตอบว่าการตัดสินใจของพวกเขาถูกหรือผิด"


แม้จะโดนคำถามมากมายจากโลกฟุตบอล แต่กวาร์ดิโอล่ารู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ซึ่งตอนย้ายมาใหม่ๆ คิมมิชเคยถามกวาร์ดิโอล่าว่า เขาจะเล่นได้จริงๆหรือ ท่ามกลางนักเตะซูเปอร์สตาร์ระดับโลกอย่างนี้ แต่เป๊ปก็ย้ำให้มั่นใจ ว่าคิมมิชจะได้ลงสนามบ่อยกว่าที่ตัวเองคิดแน่ๆ
สิ่งที่กวาร์ดิโอล่าเห็นในตัวคิมมิช คือเป็นนักเตะที่มีความเข้าใจเกมสูงมาก เชื่อมเกมระหว่างเพื่อนได้ดี และมีการจ่ายบอลยาวที่แม่นยำ ซึ่งคุณลักษณะแบบนี้ สามารถยืนตรงไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเล่นมิดฟิลด์อย่างเดียว
"ผมบอกเขาว่า นายจะยืนตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น ถ้านายตั้งใจจริงๆก็สามารถเป็นกองหลังที่เก่งที่สุดในโลกได้" กวาร์ดิโอล่ากล่าว


สิ่งที่กวาร์ดิโอล่าทำคือจับให้คิมมิชเรียนรู้ทุกตำแหน่งที่น่าจะเวิร์ก ซึ่งตัวคิมมิชก็ก้มหน้าก้มตาซ้อมโดยไม่บ่น เขาได้ยืนตรงไหนก็ไปเล่นหมด "ทุกตำแหน่งมันแตกต่างกัน และสำหรับนักเตะเยาวชน ยิ่งได้เล่นหลายตำแหน่ง ก็จะยิ่งได้เห็นเกมจากมุมมองที่แตกต่าง การยืนแต่ละตำแหน่งก็ใช้ทักษะที่ต่างกันออกไป"
ตั้งแต่ย้ายมาบาเยิร์น ในปีเดียว คิมมิชเล่นไปแล้ว 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย มิดฟิลด์ตัวรับ, มิดฟิลด์ตัวกลาง, แบ็กขวา, ปีกขวา และ เซ็นเตอร์แบ็ก ถ้าเป็นนักเตะหลายคนเจอหมุนวนแบบนี้ อาจแสดงความไม่พอใจแล้ว แต่คิมมิชทำงานของตัวเองต่อไป เขาไม่รังเกียจไม่ว่าจะยืนในตำแหน่งไหนก็ตาม ทุกวันคือการเรียนรู้


มีสถิติที่น่าสนใจในฤดูกาล 2015-16 ปีนั้นบาเยิร์นได้แชมป์ลีก โดยแพ้แค่ 2 นัด ทั้งฤดูกาล คือเกมเจอกลัดบัค กับไมนซ์ ซึ่งทั้งสองเกมนั้น เป็นเกมที่คิมมิชไม่ได้ลงสนาม แต่ถ้าเป็นเกมอื่นที่คิมมิชลง ทีมไม่เคยแพ้


คิมมิชเป็นนักเตะที่ทำให้เป๊ปประหลาดใจที่สุดในช่วงเวลาที่คุมทีมในเยอรมัน ครั้งหนึ่ง ชาบี เอร์นันเดซ ตำนานของบาร์เซโลน่าเล่าให้ฟังว่า "ผมเคยคุยกับเป๊ป แล้วเขาก็อวดด้วยความภูมิใจว่า 'ในทีมฉันมีนักเตะคนหนึ่งที่เล่นได้ทุกตำแหน่งในสนาม' ผมถามกลับไปว่าใคร เขาบอกชื่อมา และบอกตามตรงผมไม่เคยได้ยินชื่อเด็กคนนั้นมาก่อนเลยในชีวิต"
----------------------------
ย้อนกลับไปที่ เหตุการณ์ต้นเรื่องที่ ที่เราเกริ่นเอาไว้ คือวันที่ 5 มีนาคม 2016 บาเยิร์น บุกไปเสมอดอร์ทมุนด์ 0-0 โดยไลน์อัพ แผงหลังสี่คน มีแบ็กขวาเป็นฟิลิปป์ ลาห์ม, แบ็กซ้ายเป็นเบร์นาต ส่วนคู่เซ็นเตอร์แบ็กเป็น ดาวิด อลาบา กับ โจชัว คิมมิช ส่วนสองมิดฟิลด์ตัวกลางเป็น อาร์ตูโร่ วิดัล กับชาบี อลอนโซ่
เกมก็สู้กันอย่างสูสี จนช่วงทดเจ็บอลอนโซ่มีอาการบาดเจ็บต้องเปลี่ยนตัวออก กวาร์ดิโอล่าส่งเมห์ดี้ เบนาเตียที่เล่นเซ็นเตอร์แบ็กลงแทน


ตามหลักแล้ว เมื่อเบนาเตียลงแทน คิมมิชต้องรู้ทันทีว่าเขาต้องขยับไปยืนกองกลางแทนอลอนโซ่ แต่ในครั้งนั้นเขาไม่แน่ใจว่าควรจะขยับไปยืนกองกลางจริงๆหรือ เพราะในช่วงท้ายเกมที่เจ้าบ้านดอร์ทมุนด์กำลังโหมบุก ถ้าเผื่อโดนยิงขึ้นมา ทีมก็จะแพ้สองนัดรวดทันที เพราะเกมก่อนหน้านี้ก็เพิ่งแพ้ไมนซ์มาแล้ว ดังนั้นคิมมิชจึงยืนถอยมาในแดนหลัง เล่น 3 เซ็นเตอร์ร่วมกับ อลาบา และเบนาเตีย


เกมจบลงด้วยสกอร์ 0-0 ซึ่งจริงๆสำหรับบาเยิร์นการมาเสมอดอร์ทมุนด์ถึงบ้านได้ ก็ไม่ใช่สกอร์ที่แย่ แต่เป๊ปเกิดความโมโหที่ทุกอย่างไม่เป็นไปตามที่ตั้งใจ เขาเดินลงสนาม ระหว่างที่นักเตะสองทีมจับมือกันอยู่
"เมห์ดี้ นายเอาคำสั่งของฉันไปบอกคิมมิชหรือเปล่าว่าให้ขยับมาเล่นกองกลาง" กวาร์ดิโอล่าถาม ซึ่งเบนาเตียบอกว่าเขาบอกไปแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าคิมมิชจะได้ยินไหม เพราะเสียงในสนามดังมาก
จากนั้นกวาร์ดิโอล่าเดินไปหาคิมมิชแล้วดุด่ากลางสนามทันที "นี่นายไม่ได้ยินคำสั่งของฉันจากเบนาเตียหรือ" เป๊ปถาม ซึ่งคิมมิชตอบว่าเขาไม่ได้ยินเลย


"ต่อให้นายไม่ได้ยินแต่ให้ตายเถอะ นายต้องรู้สิว่าต้องขยับไปเล่นมิดฟิลด์ตัวกลาง!" เป๊ปพูด ซึ่งคิมมิชตอบกลับไปว่า เขาขอโทษ แต่เขาไม่ได้ยิน ณ เวลานั้นจริงๆ
"นายต้องขยับไปยืนหน้าแบ็กโฟร์ เพื่อยึดตำแหน่งเอาไว้ ถ้านายทิ้งพื้นที่ตรงนั้นไป เราจะเสียการควบคุมเกม" กวาร์ดิโอล่าใส่เป็นชุด เพราะคิมมิชไม่เข้าใจเลยว่าการยึดพื้นที่ตรงแดนกลาง สำคัญกว่าการถอยไปอุดมากนัก
ดาวิด อลาบาพยายามเข้ามากอด เข้ามาเบรกสถานการณ์ที่เป๊ปไม่สนเขาตำหนิ และแนะนำไปจนเสร็จ ซึ่งคิมมิชได้แต่ก้มหน้า และรับฟังอย่างเดียว


หลังจากที่ดุด่ามาอย่างหนักแล้ว กวาร์ดิโอล่ากอดคิมมิชแล้วบอกว่า "นายคือยอดนักเตะนะจอช นายเก่ง เก่งมากๆ ถ้าฉันบอกนายให้ทำอะไร นายต้องทำให้ได้!"
คิมมิชขอบคุณและขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น ก่อนที่กวาร์ดิโอล่าจะพูดตอนจบว่า "นายมันโคตรสุดยอดอยู่แล้ว นายคือเดอะ เบสต์ จอช นายจะทำให้ฉันภูมิใจแน่นอน!"
การกระทำของเป๊ปนั้นเข้าใจได้ เพราะถ้าคุณเห็นใครสักคนที่มีพรสวรรค์ซ่อนอยู่แบบนี้ คุณย่อมอยากทำให้เขาเติบโตไปให้ไกลที่สุด แม้จะต้องดุด่าแบบ Tough Love มันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ
เรื่องในวันนั้น ฝังอยู่ในใจของคิมมิช เขาบอกว่าไม่เคยโกรธเป๊ปเลย ตรงกันข้ามรู้สึกปลื้มใจด้วยซ้ำที่เห็นโค้ชสักคน ใส่ใจเขามากขนาดนี้


"วินาทีแรกผมประหลาดใจนะ แต่ถ้าคุณรู้จักเป๊ป นี่แหละคือสิ่งที่เขาทำ เป๊ปจะบอกคุณทันทีเพื่อให้คุณเป็นนักเตะที่ดีขึ้น ถ้าเขาเห็นอะไรเขาจะบอกคุณเดี๋ยวนั้น มันอาจจะดูแปลกก็จริง แต่สำหรับผมมันดีนะ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขามองเราอยู่ตลอด และใส่ใจจริงๆ"
จบซีซั่น 2015-16 คิมมิชได้ลงสนามทั้งหมด 23 เกมในบุนเดสลีกา ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่เลว สำหรับนักเตะอายุ 20 ปี และช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จ
แม้ในซีซั่นต่อมา กวาร์ดิโอล่าจะย้ายไปทำงานกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่สิ่งที่เขาสร้างเอาไว้ในตัวคิมมิช ก็ค่อยๆผลิดอกออกผล คิมมิชเล่นได้ทุกตำแหน่งจริงๆ ถ้าเล่นแบ็กขวา เขาก็เป็นแบ็กขวาระดับท็อปทรีของโลก หรือถ้าเล่นกองกลางเขาก็เล่นดีจนติดทีมยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่า คิมมิชกลายเป็นผู้เล่น Versatile ที่ปรับเปลี่ยนตัวเองได้ตลอด ยืนตรงไหนก็เก่ง ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่นักเตะน้อยคนนักจะมี


และเวลาผ่านไป การซื้อคิมมิชในราคา 7 ล้านยูโรของกวาร์ดิโอล่า กลายเป็นสุดยอดการซื้อตัว เป็นการค้นหาเพชรที่ยังไม่เจียระนัย เอามาพัฒนาจนก้าวไปสู่เส้นทางของนักเตะระดับโลก คำถามที่คนเคยสงสัย ณ เวลานั้น ว่าเอาเด็กที่เล่นในดิวิชั่น 2 มาทำอะไรกับทีมระดับออลสตาร์ ก็ได้รับคำตอบในที่สุด

เครดิต https://www.facebook.com/jingjungfootball/posts/2734562143425685

ในความคิดเพื่อนๆ คิดว่า คิมมิช ในต่ำแหน่ง กองกลางตัวรับ กับ แบ็คขวา ระดับโลก หรือยัง ??

สำหรับผม ผมใช้คำว่านักเตะระดับโลกละกัน

เพราะตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเทพที่สุดตำแหน่งไหน รู้แต่ว่าลงไปยืนตรงไหนก็เก่งแบบที่เป๊บแม่มบอกจริงๆ

ติดทีมชาติ u17 ยังใช้คำว่าโอเคเหรอ

ดาวรุ่งในวัยเดียวกันกี่หมื่นคนละนั่น จะแทรกไปทีมชาติได้

ปั่นมาขนาดนี้ต้องย้ายไปหาเป๊ปแล้วละ

เดอบรอย คิมมิช กุนโดกัน ลงพร้อมบันเทิงเลย

มาแมนซิไหม

เป๊บปั้นขนาดนี้เสียดายไม่ได้ใช่ต่อ อยากเหนเลยว่เาป๊บสุดท้ายจะเอาเล่นตำแหน่งไหน

เรื่องนี้อ่านกี่ทีก็อบอุ่น

เดอบรอยด์
โรดรี้ คิมมิช

โคตรเก่งอะสำหรับผม

มีพี่กี้เป็นหนึ่งในไอดอลด้วย

ปัจจุบัน กลางคุมจังหวะระดับโลก แบ็คขวาก็เกรดเอ+

อ่านแล้วทึ่ง เป๊บตาแหลมมากดึงตัวที่เป็นเพชรในตมของจริงเลย แต่ก็แปลกใจทำไมสตุ๊ทการ์ทไม่เอา750,000เอง ดูคิมมิชขึ้นมาใหม่ๆในบาร์เยิร์นก็มองว่าเด็กคนนี้มีของเล่นดูมั่นใจ ประสานกับเพื่อนได้ดี

สตุทการ์ท ดึงกลับมา750,000ครับแล้วปล่อยให้พี่เสือ7ล้าน

เป๊ปแม่งเจ๋งจริง

แต่มาเรือไม่ค่อยมีดีลแบบนี้ละ